ตอนที่ 615 ชดเชยสิ่งที่ขาดหายในชาติก่อน
เจียงโม่หานลุกขึ้นแล้วอุ้มตัวนางออกจากเก้าอี้ จากนั้นยกนางมานั่งบนหน้าตักของตัวเอง หลังพลิกดูสมุดบันทึกแสนพิลึกของนางแล้วเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้าให้ปลัดอำเภอกับพวกเจ้าหน้าที่ไปทำแล้ว เรื่องที่จำเป็นให้ข้าต้องทำก็มีการสร้างซุ้มประตูเชิดชูเกียรติและความคืบหน้าในการซ่อมแซมคลองเท่านั้น พอมีเมล็ดข้าวโพดที่ให้ผลผลิตสูงของเจ้าแล้ว การสร้างระบบชลประทานของฝั่งข้าก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า คูน้ำก็คงไปถึงหมู่บ้านคนบาปแล้ว”
หลินเว่ยเว่ยดีใจสุด ๆ…หากเป็นเช่นนี้ ที่ดิน 1,600 หมู่ ณ ปัจจุบันนี้ของนางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำแล้ว นางดีใจจนลืมตัว “เราสร้างเขื่อนกั้นน้ำหลายเขื่อนได้หรือไม่ ในเวลาปกติที่ไม่ขาดแคลนน้ำก็ปิดเอาไว้ พอถึงฤดูเพาะปลูกที่ต้องใช้น้ำก็ค่อยเปิด แน่นอนว่าสูบน้ำจากแม่น้ำสายย่อยต้าถงก็ต้องซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำไว้รองรับด้วย เพราะอย่างน้อยต้องเก็บน้ำให้ได้ในปริมาณที่ราษฎรหนิงซีเผชิญกับภัยแล้งขั้นรุนแรงในปีนั้น”
“เขื่อนกั้นน้ำ ? ” เจียงโม่หานไม่ได้พูดแทรกนาง เพียงพลิกสมุดในมือไปยังหน้าที่ว่างแล้วใช้พู่กันขนห่านเขียนอักษรลงไป
หลินเว่ยเว่ยตกตะลึงในทันที หลังลังเลไปพักหนึ่งนางก็อธิบายโครงสร้างเขื่อนกั้นน้ำที่ตัวเองรู้…ให้เจียงโม่หานฟังทั้งหมด นางมองบัณฑิตน้อยถือสมุดไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างเขียนไปด้วย…ผ่านไปไม่นาน...ต้นแบบเขื่อนกั้นน้ำก็ถือกำเนิดขึ้นในมือของเขา
“บัณฑิตน้อย เจ้าร้ายกาจมาก ! ” นางก็เข้าใจเรื่องเขื่อนกั้นน้ำเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่คาดไม่ถึงว่าคำพูดแสนธรรมดาของนางจะถูกบัณฑิตน้อยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปจนวาดภาพเขื่อนกั้นน้ำออกมาได้
เจียงโม่หานพูด “ในตำราโบราณก็บันทึกไว้ว่าคนสมัยก่อนเคยลองสร้างเขื่อนกั้นน้ำเช่นกัน แต่เครื่องไม้เครื่องมือไม่เอื้ออำนวย พอมี ‘ความคิดแสนวิเศษ’ ของเจ้าแล้วก็ช่วยชดเชยข้อบกพร่องของรุ่นก่อนได้มาก แต่…วัสดุก่อสร้างที่มีอยู่ตอนนี้ อาจจะต้านแรงกระแทกของน้ำไม่ได้ ! ”
“เราเทปูนกับ…” หลินเว่ยเว่ยอยากจะกัดลิ้นตัวเองในเวลานั้นทันที…บัณฑิตน้อยฉลาดถึงขนาดนี้ นางพูดของที่ไม่มีอยู่ในยุคนี้มากมาย เขาจะต้องสงสัยแน่นอน
“ปูน ? ” เจียงโม่หานนิ่งไปสักพักเพื่อรอให้เด็กน้อยพูดต่อ…จบแล้ว ?
หลินเว่ยเว่ยเห็นเจียงโม่หานมองมา จึงหัวเราะเสียงแห้ง “ปูนอะไร ? ข้าพูดหรือ ? ”
“ปูนก็มีได้ ! ” เจียงโม่หานเห็นท่าทางวิตกกังวลของนาง…คิดจะปกปิดตอนนี้มันจะไม่สายเกินไปหน่อยหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยเกาหน้าผาก…บัณฑิตน้อยผู้ชาญฉลาดจนแทบจะเป็นปิศาจคนนี้ เขาจะไม่ถามนางต่อหรือว่าไปรู้จักคำผิดแปลกมาจากที่ใด หรือหมายความว่าเขารู้ความลับในตัวนางอยู่แล้ว ? แปลกดี เหตุใดเขาถึงไม่ถาม ?
“เอาเถิด ปูนก็คือการใช้ซีเมนต์ ทราย หินและน้ำผสมเข้าด้วยกันตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น มันถูกนำมาใช้ในเวลาก่อสร้าง แข็งแรงยิ่งกว่าอิฐ ส่วนซีเมนต์ที่เอ่ยถึง ข้ารู้แค่ว่ามันทำมาจากหินปูน ดินเหนียวและแร่เหล็ก นำมาบดเป็นผงตามสัดส่วน ตัวซีเมนต์นี้จะมีคุณสมบัติเหนียวและทนทานมาก…” ความลับของหลินเว่ยเว่ยรั่วออกมาหมด ถึงแม้เขาถาม นางก็จะบอกว่ามีเซียนมาบอกในฝัน เขาจะทำอะไรนางได้ ?
เด็กน้อยที่หลอกคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย นอกจากนางก็คงหาคนที่สองไม่เจอแล้ว !
เจียงโม่หานบันทึกต่ออย่างละเอียด แล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปหาช่างก่อสร้างอย่างลับ ๆ จากนั้นก็ให้แม่ทัพเฉาออกไปหาวัตถุดิบเหล่านี้มา แม้ว่าแม่ทัพเฉาจะรับปากแต่ก็เลี่ยงยากที่จะไม่ไปโอ้อวดกับหมินอ๋อง ‘ดูเถิด ธุระของบุตรเขยเจ้า แต่กลับไม่ไปหาเจ้า เขามาหาข้าแทน ดูท่าแล้วในใจของเขาจะเห็นข้าร้ายกาจกว่าพ่อตาอย่างเจ้า ! ’
หมินอ๋องกลับมาจากชายแดนด้วยความโมโหแล้วไปถามหาเหตุผลจากเจียงโม่หานทันที เจียงโม่หานตอบแค่สี่คำ ‘ยิ่งสูงยิ่งหนาว’ ก็ทำให้พระองค์สงบลงได้แล้ว ! ใช่สิ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือผลงานของพระองค์ก็อยู่เบื้องล่างเพียงคนผู้เดียว ถ้าแบกผลงานไว้บนบ่าอีก ชื่อเสียงในหมู่ราษฎรก็คงขึ้นไปถึงศีรษะฮ่องเต้ นี่ไม่ใช่เรื่องดี !
“ต้องยกให้ตาเฒ่าเฉานั่นแล้ว ! ” หมินอ๋องถามแผนการของเจียงโม่หานอย่างละเอียด ต่อมาสายพระเนตรเปี่ยมคำตำหนิก็กลายเป็นชื่นชมทันที…ไม่เลว เจ้าหนู ! สายตาของบุตรสาวดีจริง ๆ !
หลังเข้าเดือนสิบสอง คลองสายหลักก็เกือบจะเสร็จแล้ว อีกทั้ง ‘สถาบันวิจัย’ ชั่วคราวที่ก่อตั้งโดยเจียงโม่หานก็ก้าวหน้าเช่นกัน เขาสร้างคอนกรีตบล็อกออกมาได้ มันแข็งแรงยิ่งกว่าอิฐ ต่อจากนั้นเขาก็ใช้ปูนซีเมนต์เชื่อมระหว่างคอนกรีตบล็อกซึ่งพังทลายได้ยาก…ด้วยเหตุนี้แผ่นดินต้าเซี่ยจึงมีวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ ต่อมาทางราชสำนักใช้วัสดุชนิดนี้สร้างกำแพงเมืองอย่างแพร่หลาย มันช่วยปรับปรุงความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองได้อย่างมาก แต่นี่ยังเป็นเรื่องในอนาคต !
เนื่องจากปูนไม่เหมาะกับการก่อสร้างในอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส ด้วยเหตุนี้หลังเข้าเดือนสิบสองแล้ว แรงงานกว่าครึ่งจึงได้หยุดยาวและกลับบ้านนานนับเดือน หลังฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าแล้วที่ว่าการอำเภอยังเรียกเกณฑ์คนงานใหม่เพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำและเขื่อนกั้นน้ำ
แม้ภาระของแรงงานชุดนี้จะหนัก แต่ในหนึ่งวันมีอาหารให้สองมื้อ สามารถเติมกระเพาะได้จนอิ่ม ต่อมายังมีผักดองแจกให้กินกับข้าวอีกด้วย เมื่อเทียบกับการเกณฑ์คนในสมัยก่อนของทางการแล้ว มันต่างกันราวฟ้ากับเหวชัด ๆ ต้องทราบก่อนว่าแรงงานที่ทางการเกณฑ์มาจะต้องเหนื่อยตาย หรือไม่ก็ล้มป่วยจำนวนมาก ในปีนี้นายอำเภอยังเชิญท่านหมอมาตรวจโรค หากป่วยแล้วไม่เพียงได้ยาไปแบบไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ยังได้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน…
ชาวบ้านที่มาร่วมกันทำงานจึงทุ่มเทอย่างสุดกำลัง แสดงให้เห็นถึงความเป็นพลเมืองดี เพื่อให้ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะได้มีสิทธิ์ทำงานให้กับทางอำเภออีก เนื่องจากปกติฤดูใบไม้ผลิก็ปลูกไม่ได้ผลผลิตอะไรอยู่แล้ว จึงเป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานที่สุดของราษฎร หากทำงานให้ทางการยังได้กินข้าวอิ่มสองมื้อ ช่วยประหยัดอาหารให้ครอบครัวได้ไม่น้อย !
วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก และแล้วก็มาถึงวันขึ้นปีใหม่ ปีนี้บ้านแม่สามีและบ้านฝั่งมารดาของหลินเว่ยเว่ยอยู่ฉลองด้วยกันที่อำเภอหนิงซี ราวกับว่าหลินเว่ยเว่ยที่ออกเรือนแล้วยังพาหมู่เฟยกับมารดาแท้ ๆ ตามมารับตำแหน่งของสามีด้วย ทั่วทั้งใต้หล้านี้คงหาคนที่สองไม่เจอแล้ว
สิ่งที่ทำให้ผู้คนอิจฉาที่สุดคือบ้านแม่ บ้านแม่สามีและบ้านแม่เลี้ยงของหลินเว่ยเว่ยเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน สามารถพูดได้ว่านางได้รับความรักจากมารดาทั้งสาม บางทีสวรรค์อาจจะอยากชดเชยความรักจากครอบครัวที่นางขาดหายในชาติก่อน ถึงให้นางมีโอกาสได้ออกมาท่องโลกต่างมิติเช่นนี้กระมัง ?
อาหารในวันส่งท้ายปีเก่าเป็นอาหารที่หลินเว่ยเว่ยกำหนด แต่ก็เป็นนางและเหมยหยิงที่ร่วมกันทำออกมา โต๊ะอาหารนี้เปรียบได้กับอาหารห้าดาวในชาติก่อน แต่รสชาติของอาหารมีตั้งแต่เหนือจรดใต้
แม้ในคืนส่งท้ายปีเก่าจะคึกคัก แต่ก็มีความเศร้าอยู่บ้าง…บิดาทั้งสองออกไปเฝ้าชายแดน ไม่ได้มาร่วมฉลองด้วย ไม่รู้ว่าพวกหุยเหอจงใจหรือเปล่า เพราะยิ่งใกล้ปีใหม่ก็ยิ่งกวนประสาท ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งเดือน กองทัพทั้งสองก็ปะทะกันไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้ว…ทุกครั้งจะก่อชนวนสงครามขึ้นแล้วก็ถอนกำลัง วิธีรบอันแสนเหลวไหลของแม่ทัพหุยเหอก็เหมือนกับแมลงวันในกระท่อม…ไม่กัดคน แต่น่ารำคาญ !
หลินเว่ยเว่ยกัดเนื้อกระต่ายย่างที่ทั้งเผ็ดและชาลิ้น ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “อาหารจานนี้เป็นของโปรดฟู่หวาง น่าเสียดาย…พระองค์ไม่ได้เสวย…จริงสิ ถ้ารีบขี่ม้าจากที่นี่ไปยังชายแดนก็ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วยามเท่านั้น ข้ารีบขี่ม้าเอาไปส่งก็ยังพอจะให้ฟู่หวางและท่านพ่อได้กินก่อนเที่ยงคืน ! ”
หมินหวางเฟยค้านเป็นคนแรก “ชายแดนกำลังมีศึกสงคราม ถ้าเจอทหารหุยเหอขึ้นมาก็อันตรายจะตายไป อีกอย่างเจ้าก็อย่าไปเพิ่มความวุ่นวายเลย ! ”
หลังเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ว่างยิ่งกว่าอะไร นางไม่อยากพลาดโอกาสแสนคึกคักนี้ “ไม่หรอกเพคะ ลูกจะอ้อมไปจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอหนิงซี หากพวกหุยเหอสามารถเจาะเข้ามาจนถึงหลังค่ายทหารของเราได้ แม่ทัพอย่างฟู่หวางจะปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลวขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ ? ”