ตอนที่ 617 คนทั่วหล้าตื่นรู้ มีเพียงท่านยังเมามาย
แม่ทัพหลินครุ่นคิดอย่างไม่สบอารมณ์ ‘ที่เจ้ารองชอบกินเผ็ด เพราะเหมือนบิดาอย่างข้าต่างหาก ! ไม่พูดเรื่องอื่น แค่เรื่องหน้าตาก็เหมือนข้าตั้งเจ็ดในสิบส่วนแล้ว เฮ้อ และก็เป็นเพราะแบบนี้ ฮ่องเต้ถึงได้มีรับสั่งไม่ให้ข้าโกนหนวด เมื่อก่อนภรรยารักข้าจะตาย แต่ตอนนี้ไม่สนใจเพราะหนวดเคราส่งผลต่อความหล่อเหลาของข้า ! ’
หลินเว่ยเว่ยคีบซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานให้ ‘พ่อสามี’ “บัณฑิตน้อยก็ชอบกินซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานเหมือนกัน หรือว่าบุตรเขยก็ได้แบบอย่างจากพ่อตา ? ”
หมินอ๋องหันไปทอดพระเนตรร่างกายอัน ‘ผอมแห้ง’ ของเจียงโม่หานด้วยความคิดเล็กคิดน้อย ก่อนจะมุ่ยโอษฐ์พลางตรัสว่า “ได้ยินแค่ว่าบุตรชายบุตรสาวมักเหมือนบิดา ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบุตรเขยก็เหมือนพ่อตาได้ด้วย หลายปีนี้เจ้ากินเนื้อไปอย่างเสียเปล่าหรือไร ร่างกายดูไม่มีกล้ามเนื้อแม้แต่น้อย !”
เจียงโม่หาน “…” เขาเองก็เพิ่งได้กินเนื้ออย่างอิสระในช่วงสองปีมานี้ไม่ใช่หรือ ? ชีวิตก่อนหน้านี้ลำบากมาก…คนเป็นบิดาอย่างท่านช่างไม่เหมาะสมกับตำแหน่งจริง ๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าใครกันแน่ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ ของตน ! คนทั่วหล้าตื่นรู้ มีเพียงท่านยังเมามาย ! ไม่มีอันดับสองแล้ว ! !
หลังจากแทะน่องกระต่ายเสร็จแล้ว แม่ทัพหลินก็หันไปคีบหัวสิงโตน้ำแดง “ร่างกายของบุตรเขยยังพอดูได้ ไม่เหมือนบัณฑิตทางใต้ที่สอบเข้ามาเหล่านั้น แต่ละคนเหมือนสตรีไม่มีผิด ดูเป็นบุรุษน้อยกว่าบุตรสาวเราด้วยซ้ำ ! ”
หมินอ๋องพยักดวงพักตร์ด้วยความเห็นด้วย แต่ดวงเนตรที่มองเจียงโม่หานก็ยังเต็มไปด้วยความจับผิดอยู่ดี “ร่างกายยังพอฝืนใจให้ผ่านได้ แต่ผอมเกินไป เหมือนต้นไผ่ลู่ลม หน้าตาก็ดูงดงามเกินไป เวลาเดินไปไหนดึงดูดสายตาพวกป้า ๆ น้า ๆ แม้แต่ยายแก่ก็ยังต้องมองเขา ! ”
เจียงโม่หาน “…” หน้าตาดีแล้วมันเป็นความผิดของข้าหรือ ?
แม่ทัพหลินรินสุราให้หมินอ๋อง หลังทั้งสองผลัดกันรินสุราแล้วแม่ทัพหลินก็ดื่มด่ำอย่างสุขสม “ถ้าบุตรเขยไม่หน้าตาดี บุตรสาวของเราก็คงไม่ชอบเขา ! ในเมืองหลวงมีใครไม่ชมบุตรเขยเราว่ามีทั้งหน้าตาและความสามารถบ้างพ่ะย่ะค่ะ บุตรสาวเราสายตาแหลมคม ! ลงมือก็ว่องไว ! ”
“ใครเป็น ‘เรา’ กับเจ้า ! นั่นคือบุตรสาวเปิ่นหวาง บุตรเขยเปิ่นหวาง ! ” หลังดื่มสุราหมดแล้วหมินอ๋องยังจะเอื้อมพระหัตถ์ไปคว้าไหสุรา แต่โดนหลินเว่ยเว่ยมือเร็วคว้าไปก่อน
“ตกลงกันแล้วว่าดื่มได้แค่คนละจอก ! นี่ยังรบกันอยู่ ถ้าดื่มมากไปก็อาจทำให้เสียการใหญ่เพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยทำเป็นไม่เห็นท่าทางโมโหของหมินอ๋อง จากนั้นก็ชงชาผลไม้ให้แทน “ดื่มอันนี้เพคะ ยิ่งดื่มยิ่งมีสติ ! ”
“หวานอย่างกับอะไรดี นั่นมันของสตรีดื่มกัน ! เปิ่นหวางไม่ดื่ม ! ” ตอนอยู่ในตำหนักหมินอ๋องโดนพระชายาควบคุม คาดไม่ถึงว่ามาถึงสนามรบแล้วบุตรสาวยังตามมาคุมอีก…ตำแหน่งในบ้านนี้ เฮ้อ…
“ไม่ดื่มก็เสวยอาหารเยอะ ๆ เพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยหลบพระหัตถ์ที่จะคว้าไหสุราของหมินอ๋องแล้วหันไปถลึงตาใส่…‘ทำไม ? ยังอยากลงมือกับลูก ? ระวังลูกจะกลับไปฟ้องหมู่เฟย ! ’
หมินอ๋องได้แต่กลับมานั่งอย่างเศร้าสร้อยแล้วคีบหมูตุ๋นน้ำแดงเสวย “ก็แค่พวกหุยเหอไม่ใช่หรือ ! ถ้าไม่ได้เป็นเพราะกังวลในการฝึกเจ้าทหารพวกนั้น พ่อก็ปราบไปนานแล้ว ! แม้พ่อจะดื่มจนเมามายก็ยังรบกับกองทัพหุยเหอได้แน่ ! ”
สุรเสียงเพิ่งเงียบลง ด้านนอกก็มีเสียงกลองศึกดังขึ้น…ทัพหุยเหอบุกอีกแล้ว !
“ไอ้เดรัจฉานพวกนี้ ! แม้แต่อาหารคืนส่งท้ายปีเก่ายังให้เปิ่นหวางกินอย่างสงบไม่ได้ คอยดูเถิดว่าเปิ่นหวางจะทุบพวกเจ้าอย่างไร ! ” หมินอ๋องคว้ากระต่ายย่างครึ่งตัวที่เหลือในจานแล้วคว้าหอกเหล็กกระโดดขึ้นหลังอาชาและห้อตะบึงไปยังแนวหน้าด้วยโทสะ
‘พรึบ’ หลินเว่ยเว่ยลุกพรวด พอสะพายธนูสุริยันและลูกธนูได้แล้วนางก็รีบวิ่งออกไปนอกกระโจมทันที เจียงโม่หานอยากจะเข้าไปดึงนางไว้ แต่คว้าได้เพียงมุมเสื้อที่ขาดติดมือ เขาจึงรีบตะโกนว่า “เว่ยเว่ย เจ้าจะออกไปทำอะไร ? ”
“เจ้าอยู่ในกระโจม ประเดี๋ยวข้าจะออกไปดูหน่อย…” เสียงของนางเพิ่งเงียบลง เสียงเกือกม้าก็ดังขึ้นแล้ว…เด็กน้อยขี่ม้าไล่ตามหลังบิดาทั้งสองไปแล้ว
หมินอ๋องทรงม้าเร็วมายังแนวหน้าแล้วตรัสถามรองแม่ทัพของพระองค์ว่า “เป็นอย่างไร ? กำราบไอ้ลูกเต่าพวกนั้นได้หรือไม่ ? ”
หลังจากรองแม่ทัพมองด้านหลังของพระองค์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ทูลรายงานว่า “เหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ บุกแล้วก็ถอย หลังจากปะทะแล้วก็เปลี่ยนตำแหน่ง ทำให้คาดการณ์ไม่ได้ ! ทอดพระเนตรเอาเถิด พอไอ้ลูกเต่าเหล่านั้นเห็นท่านแม่ทัพใหญ่มาแล้วก็จะหนีอีก…”
หมินอ๋องกัดกระต่ายย่างดุดันหนึ่งคำโตแล้วโยนให้รองแม่ทัพ “เปิ่นหวางจะไปหยุดไอ้ลูกเต่าเหล่านั้นไว้ให้หมด ! ”
กุนซือตกใจทันที “ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ! สุนัขจนตรอกจะสู้อย่างไม่คิดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้ ทุ่งหญ้ายังเป็นบ้านของพวกหุยเหออีก หากท่านอ๋องตามไปแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร ?
“ถ้าหยุดไว้ทั้งหมดไม่ได้ ก็กำจัดผู้นำของพวกมัน ! ” หลินเว่ยเว่ยโมโหขั้นสุด…ชาวหุยเหอเห็นทหารต้าเซี่ยเบาปัญญามากหรือ ? ปั่นหัวฟู่หวางของนางก็เท่ากับปั่นหัวนางเอง เป็นสิ่งที่ทนไม่ได้แล้ว ! ลุย !
นางยกธนูสุริยันออกมาจากด้านหลัง หยิบลูกธนูขึ้นมาหนึ่งดอกแล้วเหนี่ยวสายธนูจนสุด…
“หืม ? เหตุใดเจ้าจึงตามมาด้วย ? ” หมินอ๋องเห็นนางเล็งเป้าหมายอย่างเอาจริงเอาจังจึงตรัสถามว่า “มืดขนาดนี้เจ้าจะยิงถูกหรือ ? ”
อย่าทำเป็นท่าดีทีเหลว ยิงโดนความว่างเปล่า…
หืม ? เหตุใดบุตรสาวยิงไปดอกเดียวแล้วจู่ ๆ กองทัพอีกฝ่ายถึงได้วิ่งหนีกันอย่างชุลมุน ? แถมยังเหมือนจะร้องตะโกนอะไรบางอย่างด้วย ? เหมือนว่า…
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามโดนยิงตกจากหลังม้าพ่ะย่ะค่ะ ! ” ผ่านไปไม่นาน นายทหารที่อยู่แนวหน้าสุดก็มารายงานข่าวดี นายทหารอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ‘ในกองทัพมีพลธนูฝีมือดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? เหตุใดเขาถึงไม่เคยรู้มาก่อน ? ’
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างแสนองอาจที่ไม่รู้ว่าชายหรือหญิงกำลังยืนอยู่ข้างหมินอ๋องในชุดคนธรรดาและในเวลานี้กำลังเหนี่ยวสายธนูอยู่ด้วย ในขณะที่เสียงวัตถุบางอย่างพุ่งผ่าอากาศดังขึ้น ลูกธนูก็พุ่งออกไป…ไกลขนาดนี้ยิงโดนก็แปลกแล้ว ! นายทหารชั้นผู้น้อยมุ่ยปาก !
สำหรับสายตาของหลินเว่ยเว่ย ค่ำคืนที่มืดมิดไม่ได้ปิดกั้นการมองเห็นของนางเลย ในขณะที่นางกำลังเล็ง เป้าก็เห็นตัวทหารในกองทัพฝั่งตรงข้ามชัดเต็มสองตาขึ้นเรื่อย ๆ…นี่ทำให้นางนึกถึงนิทาน ‘จี้ชางเรียนยิงธนู’ ในบทเรียนสมัยชั้นประถมศึกษาของชาติก่อน จี้ชางฝึกฝนการเพ่งมองวัตถุเล็ก ๆ จนสามปีให้หลังก็สามารถเห็นเห็บเหาบนตัวโคกระบือมีขนาดใหญ่เท่าล้อเกวียน หรือจะเป็นหลักการเดียวกัน ?
ต่อจากนั้นกองทัพของอีกฝ่ายก็สูญเสียนักรบเพิ่มอีกนาย ความโกลาหลจึงรุนแรงมากกว่าเดิม พวกเขาวิ่งหนีเร็วยิ่งกว่ากระต่าย หลินเว่ยเว่ยยังยิงธนูไปอีกสองสามดอก ทว่าลูกธนูยิงโดนเพียงนายทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ด้านหลังแม่ทัพเท่านั้น
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ! ทหารใต้บัญชาของกระหม่อมจับตัวแม่ทัพของอีกฝ่ายได้…ตั้วหลัวหวูเฉียง ฝ่ายตรงข้ามโดนธนูยิงพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในฐานะทัพหน้า แม่ทัพหลินต้องวิ่งฝ่าความโกลาหลเข้าไปและสังหารศัตรูได้อีกมากมาย อีกฝ่ายรีบหนีเกินไป แม้แต่แม่ทัพที่โดนยิงตกจากหลังม้าจึงไม่สนใจช่วยเหลือ !
“ดี ! ในที่สุดก็จับเต่าตัวนี้ได้เสียที ความอัดอั้นในใจของเปิ่นหวางได้ระบายออกมาแล้ว ! ” หมินอ๋องทอดพระเนตรตั้วหลัวหวูเฉียงที่มีสภาพอัปยศและมีลมหายใจรวยริน…ไอ้ลูกเต่าตัวนี้ลื่นอย่างกับปลาไหล “วิ่งสิ เจ้าวิ่งอีกสิ ! ”
จากนั้นก็เลื่อนสายพระเนตรไปทางบาดแผลจากลูกธนูที่ปักทะลุไหล่ซ้ายของตั้วหลัวหวูเฉียง ฮึ ฝีมือยิงธนูของบุตรสาวช่างเหนือชั้นจริง ๆ ถ้าขยับไปอีกนิดก็จะทะลุหัวใจเจ้านี่แทน วิถีการยิงนี้แม้จะยิงคนร่วงได้ก็ยังเหลือลมหายใจอยู่…บุตรสาวเข้าสนามรบครั้งแรกก็เยือกเย็นและอาจหาญได้ถึงขนาดนี้แล้ว สมกับเป็นเมล็ดพันธุ์ตระกูลจ้าวอย่างแท้จริง !