ตอนที่ 624 เห็นวิธีใช้ชีวิตของนางแล้วก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน
องค์ชายเจ็ดถลึงดวงเนตรใส่นาง “เปิ่นหวางเป็นคนไม่เอาไหนขนาดนั้นหรือ ? เปิ่นหวางทำตามพระราชโองการของฟู่หวง มาทำงานที่อำเภอหนิงซีต่างหาก”
หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างมีความสุข “คงไม่ได้มาเพราะเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหรอกนะเพคะ ? ”
“บัณฑิตน้อยของเจ้าก็รายงานผลผลิตข้าวโพดไปแล้วไม่ใช่หรือ ? ขุนนางมากมายในราชสำนักล้วนไม่เชื่อว่าจะได้ผลผลิตมากขนาดนั้น บอกว่าเขาอยากสร้างผลงาน โลภในตำแหน่งลาภยศ…หรือแม้แต่เรื่องที่เขาซ่อมแซมคลองก็พูดว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบราษฎรภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่หวงจึงส่งเปิ่นหวางมาดูการเพาะปลูกและคลองส่งน้ำ” องค์ชายเจ็ดออกจากเมืองหลวงพร้อมพระราชโองการจึงมีความมั่นพระทัยเต็มเปี่ยม
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ “นี่ยังห่างจากฤดูเก็บเกี่ยวอีกเกือบ 2 เดือนเพคะ ! องค์ชายเจ็ดเดินทางมาไกล คงลำบากมาตลอดทาง เรากลับไปพักผ่อนยังที่ว่าการอำเภอ แล้วหม่อมฉันจะทำอาหารต้อนรับองค์ชายเจ็ดเพคะ ! ”
องค์ชายเจ็ดเห็นนางดูมั่นอกมั่นใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดของเจ้าจะให้ผลผลิตได้ถึง 500 ชั่งจริงหรือ ? ”
“500 ชั่งยังน้อยไปเพคะ ! ปีก่อนที่ดินเพิ่งแผ้วถาง ฝนก็ตกน้อยและยังขาดแคลนปุ๋ย ปีนี้หลังเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วฝนก็ตกลงมาเรื่อย ๆ ปุ๋ยก็มีใช้จนเพียงพอ จะต้องไม่หยุดอยู่แค่ 500 ชั่งแน่นอนเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความตื่นเต้นและมั่นใจ
หลังกลับขึ้นมาบนหลังอาชาแล้ว องค์ชายเจ็ดก็ควบคุมจังหวะให้อยู่ในระดับเดียวกับนาง ทรงตรัสด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ราษฎรส่วนใหญ่เกลียดการเกณฑ์คนของทางการที่สุด แล้วเหตุใดตลอดทางมานี้จึงเห็นชาวบ้านที่กำลังขุดคลองเหล่านั้นไม่บ่นกันเลยสักคำ ? ”
“ต้องยกความดีให้วิธีการ ‘ปกครองราษฎร’ ของสามีหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยทำสีหน้าภาคภูมิใจ “ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีฝนตกน้อย อากาศก็แห้งแล้ง เผชิญกับภัยแล้งทุกปี การขุดคลองส่งน้ำเป็นประโยชน์ต่อราษฎร พอบัณฑิตน้อยติดประกาศเกณฑ์คนแล้ว ราษฎรในภาคตะวันตกเฉียงเหนือก็คิดได้…”
“เจ้าพูดแบบนี้ให้มันน้อย ๆ หน่อย ! ” องค์ชายเจ็ดทนฟังต่อไม่ได้แล้ว “ชาวบ้านภาคตะวันตกเฉียงเหนือเป็นคนหัวแข็ง โดยเฉพาะอำเภอหนิงซีแห่งนี้ นายอำเภอถูกเปลี่ยนมาหลายต่อหลายคนแล้ว นอกจากสร้างผลงานอะไรไม่ได้ ยังมีบางคนที่เอาชีวิตมาทิ้งด้วย เจ้าบอกว่าราษฎรภาคตะวันตกเฉียงเหนือคิดได้ ? จะเอามาหลอกคนโง่หรือไร ? ”
“คนในใต้หล้าล้วนแสวงหาผลประโยชน์ พวกชาวบ้านก็แค่อยาก ‘อิ่มท้อง’ เท่านั้น งานซ่อมแซมคลองมีอาหารให้วันละสองมื้อ ถ้าขยันทำงานแล้วยังได้หมั่นโถวกลับไปให้คนในครอบครัวอีกลูก แล้วพระองค์คิดว่าราษฎรที่อดอยากหิวโหยของอำเภอหนิงซีอยากใช้แรงงานแลกอาหารอันล้ำค่าหรือไม่เล่าเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยยกยิ้มที่มุมปาก
ตั้งแต่อดีต ทุกครั้งที่ถึงช่วงเสบียงอาหารขาดแคลน ชาวบ้านในอำเภอหนิงซีที่หาทางออกไม่ได้อีกต่อไปก็จะผันตัวเป็นโจรและถูกพวกโจรตัวจริงฉกฉวยโอกาสจึงกลายเป็นหายนะอย่างหนึ่ง แต่ปีนี้อำเภอหนิงซีเงียบสงบ เหตุการณ์นี้ย่อมเป็นผลจากการสร้าง ‘ระบบชลประทานต้าซิง’ ของสามีนางอยู่แล้ว !
“แรงงานมากมายขนาดนั้น พวกเจ้าไปเอาอาหารมาจากที่ใด ? คงไม่โง่เอาเงินตัวเองมาขุดคูคลองให้ทางการหรอกกระมัง ? ” องค์ชายเจ็ดทำสีพระพักตร์เหมือนกำลังมองคนโง่ พระองค์ก็ไม่คิดบ้างว่าถึงจะออกเงินขุดคลองเอง มันก็ช่วยสร้างความมั่นคงให้บ้านเมืองของตน !
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปยังซุ้มประตูเชิดชูเกียรติที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “เห็นนั่นหรือไม่เพคะ ? รายชื่อบนซุ้มประตูนั้นและเงินที่บริจาคล้วนเขียนไว้อย่างชัดเจน ! จนถึงตอนนี้ยังมีพ่อค้าที่มาร้องไห้ตะโกนอยากบริจาคกันอยู่เลย ขอแค่ชื่อตัวเองได้อยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือแห่งนี้ตลอดไปก็พอ ! ”
“เรือขนส่งสินค้าภายใต้ชื่อตำหนักหมินอ๋องแล้วก็ยังมีเรือขนส่งสินค้าสกุลลู่แห่งเมืองหลวงได้จัดซื้อข้าวสารจากภาคใต้มายังภาคตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อทางการทั้งสิ้น อำเภอหนิงซีจะลำบากแค่สองปีนี้เท่านั้น ต่อไปที่นี่จะกลายเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์หลายพันหมู่ พืชผลที่ราษฎรผลิตได้จะมีกินมีใช้ไม่หมดสิ้น ! และเมื่อถึงเวลานั้น ใครยังกล้าพูดว่าอำเภอหนิงซีของพวกเราเป็นอำเภอห่างไกลความเจริญอีกเพคะ ? ” มือของหลินเว่ยเว่ยชี้ไปยังผืนดินรกร้างอันไร้ขอบเขต…ที่นั่นมีชาวบ้านไม่น้อยกำลังแผ้วถางอยู่ !
ขณะทอดพระเนตรนาง องค์ชายเจ็ดก็ตรัสถามเรื่องที่สงสัยออกมา “เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดให้ผลผลิตสูงนี้ เจ้าไปเอามาจากที่ใด ? ”
“มาจากที่ใด ? ก็ต้องมาจากพ่อค้าต่างแคว้นคนหนึ่งอยู่แล้วเพคะ ตอนนั้นคิดว่าเป็นแค่เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดธรรมดา แต่คาดไม่ถึงว่ามันจะให้ผลผลิตที่ดีมาก กอปรกับที่หม่อมฉันปรับปรุงพันธุ์พืชเก่ง เมล็ดพันธุ์จึงค่อย ๆ พัฒนาขึ้น สุดท้ายก็ให้ผลผลิตสูงจริง ๆ ไม่ใช่หรือเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยประกาศว่าตนชำนาญในงานเกษตร เพราะนางสามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ได้จริง…ทว่าต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน
องค์ชายเจ็ดสำรวจตัวนางอย่างจริงจัง “รู้แล้วว่าเหตุใดเสด็จอาหมินอ๋องถึงชอบตรัสว่าเจ้าเป็นดาวนำโชค ! ถ้าเจ้าทำเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงขึ้นมาได้มากกว่าเดิมจริง ๆ เช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นดาวนำโชคและวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่ของต้าเซี่ย ! ”
หลินเว่ยเว่ยกำหมัดน้อย ๆ ขณะพูดอย่างมีปณิธานสูงส่ง “ชีวิตยังไม่สิ้น ก็เพาะปลูกกันต่อไป ! เป้าหมายของหม่อมฉันคือ…ไม่มีความอดอยากในต้าเซี่ย ราษฎรได้กินจนอิ่มท้อง ! ”
“ดี ! เจ้าต้องการอะไรก็บอกเปิ่นหวางได้เลย เปิ่นหวางจะพยายามหาแรงสนับสนุนและสวัสดิการอย่างดีที่สุดมาจากฟู่หวงให้พวกเจ้า ! ” องค์ชายเจ็ดรู้สึกหทัยพองโต…ราษฎรเป็นสุข ทุกหนทุกแห่งสงบสุข คือความปรารถนาของเจ้าแผ่นดินผู้ชาญฉลาดทุกพระองค์เช่นเดียวกับฟู่หวง
ความลำบากหลังจากฟู่หวงขึ้นครองราชย์แล้วนั้น องค์ชายเจ็ดได้เห็นเองกับสองเนตรทั้งหมด แม้หทัยจะลุกเป็นไฟแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากเด็กน้อยคนนี้มีความสามารถเช่นนั้นจริง พระองค์ก็จะคอยปกป้องนางให้ดี ไม่ว่านางอยากได้อะไร พระองค์ก็จะทำให้นางสมปรารถนาโดยไม่ลังเล…
หลินเว่ยเว่ยหันไปมององค์ชายเจ็ดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้คลังหลวงของแผ่นดินไม่ได้มั่งคั่ง อย่าทำให้ฮ่องเต้ต้องใช้เงินเลยเพคะ รอให้ต้าเซี่ยมีอาหารเหลือกินเหลือใช้ ราษฎรเป็นสุข ต่างแคว้นมาเยี่ยมเยือนจากทุกทิศทุกทางแล้วก็คือรางวัลดีที่สุดสำหรับหม่อมฉัน ! ” ถุยถุยถุยถุย ปวดใจจริง ๆ เครื่องประดับ เงินทอง ไร่นา ร้านค้าของนาง…
องค์ชายเจ็ดทอดพระเนตรนางอยู่นานสองนาน ทรงคาดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่เกิดในชนบทจะมีจิตสำนึกและความทะเยอทะยานเช่นนี้ เมื่อเทียบกับนางแล้ว ในฐานะที่พระองค์เป็นโอรสของฟู่หวง ทว่าเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดความสงสัยจึงแสร้งทำเป็นองค์ชายเจ้าสำราญที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ออกไปเที่ยวเตร่ทั้งวัน…พอเห็นวิธีใช้ชีวิตของนางแล้วก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน !
“หลินเว่ยเว่ย เปิ่นหวางเรียนทำการเกษตรกับเจ้าได้หรือไม่ ? ” องค์ชายเจ็ดตัดสินพระทัยแล้ว…ขอแค่มีจิตใจที่มุ่งมั่น ก็จะไม่ถูกดึงเข้าไปแย่งชิงบัลลังก์อีก
พระอนุชารัชทายาทเป็นคนหทัยกว้างขวาง แม้พระองค์ทำผลงานได้ดี รัชทายาทก็ไม่ระแวงแต่อย่างใด…หากรัชทายาทระแวงในพระองค์จริง ๆ ก็ช่างเถิด…ขอเพียงรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ก็พอแล้ว !
“ได้เพคะ ! ปุ๋ยต้องพลิกกลบแล้ว พรุ่งนี้พระองค์ก็มาช่วยแล้วกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ ก่อนจะสั่งให้องค์ชายเจ็ดทำงานที่สกปรกและเหม็นที่สุด…ใครใช้ให้เขาชอบข่มขู่นางและหาเรื่องนางบ่อย ๆ เล่า ?
ตอนที่องค์ชายเจ็ดใช้ผ้าปิดพระนาสิกและพับชายฉลองพระกรขึ้นเพื่อจะพลิกกองปุ๋ย จู่ ๆ ก็ดำริได้ว่านี่เป็นงานสกปรกที่ไม่ต้องใช้ทักษะอะไร พวกลูกน้องหรือคนงานสามารถทำได้ พระองค์เป็นถึงองค์ชายแล้วเหตุใดต้องมาทำเอง ? ถ้าไม่รู้ว่าหลินเว่ยเว่ยกำลังแกล้งอยู่ องค์ชายเจ็ดก็คงไม่มีสมองแล้ว ! ทว่าพระองค์ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น…นี่เป็นการตัดสินพระทัยและก็เป็นการทดสอบตัวเองด้วย ! ถ้าแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ยังทนไม่ไหว แล้วจะพูดถึงเรื่องบ้านเมืองได้อย่างไร ?
พอเห็นองค์ชายเจ็ดกลับมายังที่ว่าการอำเภอพร้อมกลิ่นเหม็นทุกวัน หมินหวางเฟยก็ตำหนิหลินเว่ยเว่ยว่า “เจ้าช่างใจกล้าจริง ๆ ถึงขั้นกล้าใช้องค์ชายเจ็ดทำงานที่สกปรกแบบนั้น ! ถ้าเจ้าขาดแคลนเงินจ้างคนงาน แม่จะช่วยจ่ายให้เจ้าเอง ! ”