ตอนที่ 644 ด้านหน้ามีคนตะโกนเปิดทาง ด้านหลังมีคนคุ้มกัน ยิ่งใหญ่จะตายไป
เจียงโม่หานแกล้งถามอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าเช่นนั้น…หนังสือที่เจ้าอ่านเจอได้บอกไว้หรือไม่ว่าข้าวงอกใหม่จะให้ผลผลิตเท่าไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยตอบอย่างไม่ลังเล “ตอนนี้ข้าวขาวให้ผลผลิตต่ำ ข้าวงอกใหม่ก็น่าจะได้ประมาณครึ่งหนึ่งของรอบแรกกระมัง ? น่าจะประมาณ 200 ชั่ง ! ”
เฮอะ…400 ชั่งต่อหมู่ยังเรียกว่าผลผลิตต่ำ ? ถ้าเช่นนั้น 200 ชั่งต่อหมู่ของภาคใต้จะเรียกว่าอะไร ? แค่ข้าวงอกใหม่ก็ได้ผลผลิตเท่าข้าวขาวปกติของภาคใต้แล้วยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก ?
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข “ถึงแม้ข้าวงอกใหม่จะรสชาติดี แต่เมล็ดเล็กจึงไม่เหมาะเอาไปเป็นเมล็ดพันธุ์ ข้าวงอกใหม่ไม่กี่หมู่นั้นพวกเราเก็บไว้กินเองแล้วกัน ! กินไม่หมดก็เอาไปขาย ส่วนเรื่องราคา…ก็เท่ากับข้าวบรรณาการ คิคิคิ ปีหน้าเราปลูกเพิ่มอีกร้อยหมู่พันหมู่ แค่ข้าวงอกใหม่ก็ทำเงินก้อนโตแล้ว ! ”
เจียงโม่หานเหลือบมองนาง ‘เจ้ามีกิจการมากมายในเมืองหลวงขนาดนั้น แต่ไม่มีกิจการใดถึงเกณฑ์จ่ายภาษีขั้นสูงสุด หากจะพูดว่าใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองก็ไม่ผิด แล้วยังสนใจเงินก้อนเล็ก ๆ จากการขายข้าว ? เอาเถิด ข้าวบรรณาการมีราคาต่อหนึ่งชั่งก็หลักร้อยตำลึงขึ้นไป แม้ที่ดินหนึ่งหมู่จะได้ผลผลิต 200 ชั่ง แต่ก็เป็นเงินถึง 20 ตำลึง…พอลองคำนวณแบบนี้แล้วถ้าเป็นพันหมู่ก็ 20,000 ตำลึง…รวมกับเงินขายเมล็ดพันธุ์…ทำนาแล้วรวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ? เด็กคนนี้ชอบทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นจริงได้ตลอด ! ’
หลินเว่ยเว่ยกำลังคำนวณรายได้จากไร่อย่างมีความสุขก็ได้ยินสาวใช้เข้ามารายงานว่าหมินอ๋องเสด็จ สองสามีภรรยาต่างหันไปมองสีของท้องฟ้าด้านนอกกันอย่างพร้อมเพรียง…มาในเวลานี้จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน
เมื่อทั้งสองออกมาที่เรือนหน้าแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เข้าไปคารวะแล้วถามว่า “ฟู่หวางเพิ่งกลับจากค่ายทหารชานเมืองหรือเพคะ ? เสวยมื้อเย็นมาหรือยัง ? ถ้ายัง ลูกจะเข้าครัวทำอาหารให้พระองค์สักสองอย่าง…”
หลังกลับมาจากค่ายทหารที่ชานเมืองและยังไม่ทันได้นั่งติดเก้าอี้ก็โดนฮ่องเต้เรียกเข้าวังแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมารับประทานอาหารเย็น ? ผ่านไปไม่เท่าไร พระองค์ก็เสวยขนมในถาดจนหมดแล้วเช็ดโอษฐ์ จากนั้นตรัสว่า “ไม่ต้อง พ่อกลับไปกินที่ตำหนักก็ได้แล้ว หมู่เฟยคิดถึงเจ้า รีบไปเก็บของ พ่อมารับเจ้ากลับไปอยู่ที่ตำหนักสักระยะ”
เจียงโม่หานเงยหน้ามองหมินอ๋อง คนฉลาดอย่างเขาจะไม่รู้เจตนาที่แฝงอยู่ได้อย่างไร ? พอได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็หันไปยิ้มให้ภรรยา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ตำหนักหมินอ๋องสักระยะหนึ่งก็แล้วกัน ? ”
‘???’ เหนือศีรษะของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เมื่อไม่นานมานี้นางเพิ่งไปที่ตำหนักหมินอ๋องแล้วเล่นไพ่นกกระจอกกับหมู่เฟยตลอดทั้งบ่าย เอาหมู่เฟยมาอ้าง คิดจะทำอะไรกันแน่ ? ทว่าในเมื่อบัณฑิตน้อยให้นางกลับไปได้ เขาก็ต้องมีเหตุผลของตัวเองแน่นอน “ได้ ประเดี๋ยวลูกไปเก็บเสื้อผ้าแล้วออกเดินทางได้เลยเพคะ”
ตำหนักหมินอ๋องเก็บเรือนไว้ให้นางและสามี แถมยังให้ใช้ประตูที่ลับตาคนเพื่อให้สะดวกในการไปมาหาสู่กันในเวลาปกติ เพื่อเลี่ยงบรรดาพวกขี้อิจฉาตาร้อนจนคิดว่าบัณฑิตน้อยพึ่งพาบารมีพ่อตา ทั้งสองคนจึงเข้ามาพักในตำหนักน้อยครั้งมาก คราวนี้…อาจมีศัตรูแทรกซึมเข้ามาถึงเมืองหลวง ทุกคนจึงห่วงความปลอดภัยของนาง ?
บ้านทั้งสองหลังอยู่ห่างกันไม่ไกล รถม้าแล่นมาได้ไม่เท่าไรก็หยุดที่หน้าตำหนักหมินอ๋องแล้ว หลินเว่ยเว่ยเข้าไปคารวะท่านย่าและหมู่เฟย จากนั้นก็อยู่ในสวนจื่อถงไม่ยอมออกมา “หมู่เฟย มีคนคิดจะลงมือกับบัณฑิตน้อยหรือเพคะ ? ถ้าเช่นนั้นระหว่างทางไปที่ทำการของเขาจะปลอดภัยหรือเปล่า ? ถ้าอย่างไรเราส่งองครักษ์ไปคุ้มกันเขาสักสองสามคนดีหรือไม่เพคะ ? ”
หมินหวางเฟยจิ้มหน้าผากนางสองสามครั้ง “ไม่ใช่หานเอ๋อร์มีอันตราย แต่เป็นเจ้า ! ”
“ลูก ? ลูกเป็นแค่สตรีบรรดาศักดิ์ขั้นสี่ผู้ต่ำต้อย ปกติก็ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร ทำงานเสร็จก็กลับเข้าบ้าน แล้วจะมีอันตรายอะไรได้เพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยลากเก้าอี้มานั่งข้างแท่นบรรทมของหมินหวางเฟยพร้อมสีหน้างุนงง
หมินหวางเฟยตรัสด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรือ ? รังเกียจที่เป็นสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นสี่แล้วต้อยต่ำเกินไป ? เช่นนั้นก็เร่งให้สามีเจ้าเลื่อนตำแหน่งสิ ! ”
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “หมู่เฟยก็รู้ว่าลูกไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ ! บัณฑิตน้อยยังไม่เข้าพิธีสวมกวานก็ได้เป็นขุนนางขั้นสี่แล้ว ทั่วราชสำนักมีคนที่สองอีกหรือไม่เพคะ ? ลูกภูมิใจแล้วก็พอใจมากแล้ว หมู่เฟยเพคะ ฟู่หวางดูร้อนพระทัยจนดวงพักตร์ซีดเซียวแล้วรีบรับลูกกลับมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ ? ”
“ตอนนี้เจ้ากลายเป็นคนดังไปแล้ว ! ไม่ว่าจะปลูกอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วผลผลิตที่ได้ยังสุดยอดอีกต่างหาก ! ได้กำราบเจ้าย่อมจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า แล้วเจ้าคิดว่า…ควรลงมือกับเจ้าหรือไม่ ? ” หมินหวางเฟยทอดพระเนตรหลินเว่ยเว่ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า…เหตุใดนางถึงได้เก่งขนาดนี้ ?
“กบฏราชวงศ์ก่อนยังลอยนวลกันอยู่ ยังมีคนเถื่อนรอบแผ่นดินอีก ถ้าต้าเซี่ยของเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา พวกเขาจะทำอะไรได้อีก ? คนพวกนี้…หากไม่ได้ครอบครองก็ต้องทำลาย มนุษย์โอสถที่พี่ชายของเจ้าเผชิญในภาคเหนือก็ไม่ได้มาจากเหตุผลนี้หรือ ? ” หมินหวางเฟยนั่งตัวตรง ก่อนจะขมวดพระขนงพลางตรัสต่อ “เจ้าอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กเชียว อีกประเดี๋ยวฟู่หวางของเจ้ากลับมาแล้ว ให้เขาเลือกองครักษ์ฝีมือดีให้สักสองสามคน ! ”
แต่หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าเช่นนั้นต่อไปเวลาลูกออกไปข้างนอกก็จะมีคนตะโกนเปิดทางอยู่ด้านหน้า แล้วมีคนคุ้มกันอยู่ด้านหลัง แบบนั้นดูยิ่งใหญ่กว่าเชื้อพระวงศ์กับบุตรขุนนางอีกเพคะ”
หมินหวางเฟยกลอกดวงเนตรใส่นาง “เจ้าเป็นองค์หญิงที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ ออกจากบ้านอย่างยิ่งใหญ่ก็สมควรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ? แม่คิดว่าฮ่องเต้ก็ดำริเรื่องนี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจส่งองครักษ์เงามาคุ้มครองเจ้าแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยรีบวิ่งไปที่หน้าต่างแล้วเปิดออกดูด้านนอกพร้อมพูดว่า “องครักษ์เงา ? ลูกสงสัยมาตลอดว่าองครักษ์เงาจะซ่อนอยู่ที่ใด ! หมู่เฟยคิดว่าบนต้นไม้นั้นจะมีคนซ่อนตัวอยู่หรือไม่เพคะ ? ”
องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ “…” ขณะองค์หญิงเว่ยเว่ยชี้มาที่เขาก็ได้ทำลายตำแหน่งของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะบังเอิญหรือเห็นตัวเขาจริง ๆ พอนึกถึงวรยุทธ์ขององค์หญิงเว่ยเว่ยและเรื่องที่เคยช่วยฮ่องเต้จากห่าฝนธนูไว้แล้ว บางทีนางอาจมีความสามารถนี้จริง…
หมินหวางเฟยหันไปทอดพระเนตรข้างนอกปราดหนึ่ง “ใครจะรู้ ! เพื่อปกป้องเจ้านายแล้ว องครักษ์เงาไม่มีทางอยู่ห่างเกินไป ในสวนของเรามีที่ซ่อนมากมาย อาจไม่ได้ซ่อนอยู่บนต้นไม้ก็ได้…”
“ลูกคิดว่าพอตกกลางคืนแล้วบนหลังคาจะต้องเป็นที่ซ่อนชั้นดีแน่นอนเพคะ ชุดสีดำเหมือนสีท้องฟ้า คนปกติไม่มีทางสังเกตเห็นโดยง่าย” หลินเว่ยเว่ยเงยหน้ามองหลังคาคล้ายกำลังฟังว่าจะมีเสียงฝีเท้าดังจากทางนั้นหรือเปล่า
องครักษ์เงาที่หมอบอยู่บนหลังคา “…” หรือเขาจะโดนพบตัวเข้าแล้ว ? เหตุใดเขาถึงทำให้อีกฝ่ายระบุตำแหน่งได้เล่า ?
“ถ้าลูกเป็นองครักษ์เงาจะต้องกระโดดเข้าไปหลังภูเขาจำลองหรือซ่อนบนคานของโถงทางเดินแน่นอนเพคะ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงฉากในละคร นักฆ่าพวกนั้นชอบซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งตามคำพูดของนาง ทันใดนั้นนางก็เกิดสงสัย…อยากจะไปดูว่ามีคนซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้นจริงหรือเปล่า
หมินหวางเฟยส่ายดวงพักตร์พร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเลิกสงสัยได้แล้ว จะมีองครักษ์เงาหรือเปล่า เจ้าสรุปเอาเองได้ที่ไหนกัน แม้ตำหนักหมินอ๋องของพวกเราไม่จัดว่าเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่ง แต่พวกศัตรูฝีมือต่ำต้อยไม่มีทางเข้ามาได้ง่าย ต่อไปนี้เจ้ากับหานเอ๋อร์ก็อยู่ในตำหนักกันให้สบายใจ ส่วนตอนที่ออกนอกตำหนักก็พาคนไปด้วยมาก ๆ หน่อย ! ”