ตอนที่ 650 ตั้งครรภ์แล้วเริ่มดื้อ
“ท่านแม่ ลูกรู้ว่าท่านหมายถึงอะไร ! คนในครอบครัวทำให้ย่อมกินแล้วมีความสุขกว่า อาการแพ้ท้องส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะจิตใจ ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ ตอนนี้ลูกยังไม่ได้แพ้ท้อง มื้อเที่ยงก็กินข้าวไปตั้งสองชาม แทะน่องไก่ไปเกินครึ่ง กินจนพุงกางเจ้าค่ะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยคิดจะตบหน้าท้องอย่างไม่รู้ตัว แต่มือก็ถูกสามีหยุดไว้กลางอากาศ จริงสิ ตอนนี้ในท้องของนางมีก้อนเลือดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อน ต่อไปจะทำอะไรวู่วามไม่ได้อีก
ทว่าผ่านไปไม่นาน นางก็กลับมาหดหู่อีกรอบ…เพราะนางรู้สึกว่าตัวเองกำลังกลายเป็นหุ่นกระบอก ถูกควบคุมอิสรภาพ ข้างนอกลมแรง นางออกไปไม่ได้…เพราะถ้าเป็นหวัดขึ้นมา ผู้ใหญ่ทรมาน เด็กในครรภ์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
ด้านนอกหิมะตก ก็ออกไปไม่ได้…เพราะถ้าเกิดลื่นล้ม สะโพกได้รับบาดเจ็บจะส่งผลดีตอนคลอดลูกได้อย่างไร ? ถ้าเกิดล้มขึ้นมา ผู้ใหญ่หนังหนาไม่เป็นอะไร แต่เด็กในครรภ์จะต้องไม่เหลือแน่นอน
แม้แต่ในวันที่อากาศดี นางก็เคลื่อนไหวอย่างอิสระไม่ได้ ทำได้แค่เดินอยู่ในเรือนและยังมีสาวใช้วรยุทธสูงอีกสองคนเดินตามตลอด แล้วเจ้าคิดว่าในฤดูหนาวเช่นนี้ พืชหญ้าเหี่ยวแห้งกันหมด แล้วจะมีอะไรให้นางชมแก้เบื่อ ?
อีกทั้งปีนี้ในเมืองหลวงยังมีหิมะตกหนักกว่าเดิม หลินเว่ยเว่ยจึงได้แต่เปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอกด้วยความเศร้าสร้อย น่าเบื่อยิ่งกว่าติดคุกเสียอีก ทุกครั้งที่เจียงโม่หานเข้ามาก็มักจะเห็นเด็กสาวน่าสงสารคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าต่างพลางมองออกไปด้วยความเศร้าหมอง…
รองผู้ตรวจการปวดใจ เขาเปลี่ยนจากคนบ้างานกลายมาเป็นคนที่ทุกวันหลังรายงานหน้าที่เสร็จแล้วก็รีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนภรรยาผู้กำลังตั้งครรภ์ บางครั้งในยามบ่ายก็จะกลับมาเยี่ยม แม้ได้อยู่ข้างกายภรรยาแค่หนึ่งเค่อ เขาก็อยากอยู่สนทนากับนางสัก 2-3 ประโยคก็ยังดี
“เสี่ยวเว่ย ลมแรงเช่นนี้รีบปิดหน้าต่างเถิด ประเดี๋ยวจะไม่สบาย ! ” วันนี้ พอกลับมาแล้วเจียงโม่หานก็ได้ยินเสียงพูดกล่อมของนางเฝิง แต่ภรรยาของเขาไม่อยากปิดหน้าต่าง แม้หน้าต่างจะคลุมด้วยกระดาษน้ำมันโปร่งแสง แต่ในห้องก็ยังมืดอยู่พอสมควร
ขณะมองท่าทางหดหู่ของภรรยา เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา…เมื่อก่อนภรรยายิ้มเก่งจะตายไป ดวงตาทั้งสองเป็นเสี้ยวพระจันทร์เสมอ…เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางมานานมากแล้ว !
ทันใดนั้นเอง หัวใจของเขาก็เกิดเต้นแรงขึ้นมา…กระจกใสไร้สีของชาติก่อนนำเข้ามาเมืองหลวงเวลาใด ? เหมือนจะเป็นปีที่สองของการสอบติดขุนนางของเขา ได้ยินจากชนชั้นสูงบางคนว่าซื้อของชนิดนี้มาจากต่างแดน ถ้าเอามาทำหน้าต่าง ทั้งห้องก็จะสว่างไสวเหมือนตอนกลางวัน…
ก็ไม่ใช่ปีนี้หรอกหรือ ? เจียงโม่หานไม่ได้อยู่ในห้องต่อ เขากลับไปยังเขตปกครองแล้วพาเจ้าหน้าที่สองสามคนออกไปตามหาพ่อค้าจากโพ้นทะเลทุกโรงเตี๊ยม…โดยอ้างว่ามา ‘ตรวจตราการค้า’ !
ผ่านไปไม่ถึงสองวัน เขาก็หาพ่อค้านัยน์ตาสีฟ้าที่ต้องหยุดพักอยู่ในเมืองหลวงเพราะหิมะตกหนัก ลือกันว่าอีกฝ่ายมาจากอาณาจักรปั๋วซื่อ (เปอร์เซีย) โดยนำสินค้ามาทั้งหมด 10 คันรถม้าเต็ม ๆ มีทั้งเครื่องเทศ อัญมณี งาช้าง…และกระจกใสไร้สีอีก 2 คันรถม้า
เพราะลักษณะพิเศษของคนต่างแดนพวกนี้จึงทำให้คนที่อยากทำการค้าด้วยนั้นมีน้อย แม้จะมีก็ชอบกดราคาให้ต่ำที่สุด คนต่างแดนรู้สึกผิดหวัง คิดว่าครั้งนี้จะต้องกลับไปทั้งที่ไม่ได้แม้แต่ต้นทุนคืนมา…แต่คาดไม่ถึงว่าจะเจอเข้ากับโอกาสทำการค้าที่ดีกว่าเดิม
“ท่านเป็นขุนนางที่ดูแลการค้าในเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ ? ” เด็กหนุ่มผมทองคนหนึ่งถามด้วยภาษาต้าเซี่ยแบบขอไปที เห็นได้ชัดว่าเขาก็คือหัวหน้ากลุ่ม แต่ก็สมเหตุสมผล เพราะมีเพียงคนหนุ่มไฟแรงจึงกล้าเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลขนาดนี้
เจียงโม่หานพยักหน้า แต่พูดว่า “คราวนี้ข้าไม่ได้มาหาเจ้าในฐานะขุนนาง แต่ข้าอยากร่วมลงทุนกับเจ้า ให้ข้าดูของที่เจ้าขนมาได้หรือไม่ ? ”
“แน่นอน ! ” มาร์คหรือเด็กหนุ่มผมทองดีใจสุด ๆ แต่เขาก็ยังกังวลเหมือนกัน เพราะกลัวขุนนางหนุ่มคนนี้จะเขมือบสินค้าที่ตนขนมาด้วยความยากลำบากภายในพริบตาเดียว
หลังดูสินค้าแล้ว เจียงโม่หานก็พอใจมาก…พ่อค้าหนุ่มคนนี้นำสินค้าที่เป็นของขาดตลาดในชาติก่อนมาทั้งหมด ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่เครื่องเทศและอัญมณีก็เป็นของที่นิยมมากในหมู่ชนชั้นสูง ทะเลที่ถูกปิดกั้นมานานในราชวงศ์ก่อนทำให้สินค้าพวกนี้ปรากฏอยู่ในเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ถังที่เจริญรุ่งเรืองเท่านั้น
โชคดีที่เขามาทันเวลา ไม่อย่างนั้นได้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นแน่นอน ! หลังตรวจดูจนละเอียดแล้ว เจียงโม่หานก็พูดกับมาร์คว่า “ข้าต้องการสินค้าพวกนี้ทั้งหมด บอกราคามาได้เลย ! ”
มาร์คหันไปสบตากับสหายร่วมเดินทางของตนแล้วพูดด้วยความระมัดระวังว่า “พวกเรามาทางทะเล ต้องเสี่ยงชีวิตจนเกือบไม่รอด ใช้เวลาเดินทางนานเกือบปี…ดังนั้นพวกเราจะขายแบบขาดทุนไม่ได้”
ตอนมองหาผู้ซื้อก่อนหน้านี้ สิ่งที่มาร์คได้ยินมากที่สุดก็คือเรื่องของรองผู้ตรวจการคนนี้และภรรยาของเขาด้วย รู้ว่ารองผู้ตรวจการดูแลการค้าในเมืองหลวงและหัวเมืองโดยรอบ จึงจะผิดใจด้วยไม่ได้เด็ดขาด แต่ถ้าให้เดินทางมาเสียเปล่า พวกตนก็ไม่ยอมเช่นกัน !
มาร์คจึงลองเสนอราคาหนึ่งออกไป…นี่เป็นราคาที่ตัดเรื่องต้นทุนและค่าขนส่งออกไปแล้ว ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำมาก ถ้ายังน้อยกว่านี้อีกพวกตนจะไม่ได้กำไรเลย !
จากท่าทางและแววตาของอีกฝ่าย เจียงโม่หานมองออกว่าราคานี้ได้กำไรไม่เท่าไร สิ่งที่เขาจะทำย่อมไม่ใช่การค้าขายเพียงครั้งเดียว ดังนั้นต้องให้อีกฝ่ายลิ้มรสความหอมหวานบ้าง เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดกับมาร์คว่า “ตกลง ! ตอนนี้ข้าไม่มีเงินสดในมือ…เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ข้าจะให้ใบชา ผ้าไหมและเครื่องลายครามที่ราคาเท่ากันเป็นของแลกเปลี่ยน คิดเห็นอย่างไร ? ”
มาร์คย่อมยินดียิ่งกว่าอะไร ! ในสมุดจดบันทึกทางการค้าของบรรพบุรุษ ของสามชนิดนี้ถือเป็นไพ่ตายทางตะวันออก ! แต่เขายังกังวลว่ารองผู้ตรวจการคนนี้จะนำของด้อยคุณภาพมาแลก จึงลังเลอยู่พักหนึ่ง
พอเจียงโม่หานเห็นแบบนั้นก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่ต้องให้คำตอบข้าก็ได้ รอให้เจ้าคิดดี ๆ แล้วค่อยให้คนไปบอกข้าที่ตำหนักหมินอ๋องแล้วกัน ! ”
จริงสิ ! นอกจากคนผู้นี้จะเป็นบัณฑิตจากครอบครัวฐานะยากจนและเป็นขุนนางผู้ดูแลการค้าทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว ยังมีฐานะสูงศักดิ์อีกอย่างคือบุตรเขยตำหนักหมินอ๋อง ใครต่างก็บอกว่าหมินอ๋องมีอุปนิสัยเถรตรง คงไม่ปล่อยให้บุตรเขยออกมาทำเรื่องหลอกลวงผู้อื่นหรอกกระมัง ?
มาร์คกัดฟันพูด “ไม่ต้องคิดแล้ว ! ข้าตกลง ! ”
เจียงโม่หานพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ดี ! เยี่ยมไปเลย ! ต่อไปหากสินค้าที่เจ้านำมาเป็นแบบนี้ทั้งหมด ข้าจะเหมาซื้อไว้เอง ! ! ”
พอมาร์คได้ยินแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมา…ในเมื่อคิดจะทำการค้าระยะยาว อีกฝ่ายก็คงจะรักษาสัจจะอยู่กระมัง ? รองผู้ตรวจการคนนี้กำลังปฏิรูประบบภาษีการค้าในเมืองหลวง คงไม่ใช้กฎหมายของตนมาทำร้ายพ่อค้าใช่หรือไม่ ?
รองผู้ตรวจการออกโรงแล้วจะมีพ่อค้าคนไหนไม่ให้เกียรติบ้าง นายท่านคนนี้ใช่ว่าใครอยากจะเอื้อมถึงก็ทำได้เลย ! เจียงโม่หานเลือกร้านค้าสามแห่งที่มีศักยภาพที่สุดในเมืองหลวงแล้วให้หลิวว่ายจื่อเป็นคนออกหน้าเจรจากับอีกฝ่าย หลังจากได้ราคาที่ค่อนข้างยุติธรรมแล้วค่อยส่งสินค้าให้มาร์ค
ตอนตรวจสอบสินค้าที่อีกฝ่ายนำมาแลก มาร์คตื้นตันจนแทบร้องไห้ เขาเป็นตัวแทนของคนทั้งอาณาจักรที่เดินทางมายังแดนตะวันออกอันแสนลึกลับพร้อมสมุดบันทึกของบรรพบุรุษ แต่ใครจะไปรู้ว่าต้องมาเจออุปสรรค สินค้าที่นำมานั้นไม่โดนยอมรับจากคนอื่น พออยากซื้อของที่ต้องการกลับไป พ่อค้าพวกนั้นก็ทำเหมือนเขาเป็นคนโง่ นำสินค้าที่ขายไม่ออกมาทำเป็นของดีเพื่อขายให้เขา แถมราคายังสูงจนน่าใจหาย !