ตอนที่ 651 ลูกอกตัญญู ถึงขั้นกล้ารับโจรเป็นพ่อ
คาดไม่ถึงว่ารองผู้ตรวจการท่านนี้ ไม่เพียงไม่กดราคาสินค้าของเขา แต่ยังช่วยจัดการเรื่องขนส่งสินค้าให้ด้วย ใต้เท้าหนุ่มรูปงามเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ! มาร์คเริ่มรู้สึกตั้งตาคอยกับการร่วมทำการค้าในครั้งนี้แล้ว !
ผ่านไปประมาณ 2-3 วัน ‘สินค้าแปลกประหลาด’ ก็เริ่มเปิดตัววางจำหน่ายที่ฝั่งตะวันตกอันเป็นพื้นที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหลวง พวกมันล้วนเป็นของหายากที่ไม่มีในต้าเซี่ย มีของหลายอย่างที่เห็นได้ในบันทึกทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แม้ราคาจะแพงผิดปกติ แต่มีคนเข้ามาซื้อไม่ขาดสาย! โดยเฉพาะเหล่าฝูเหรินและคุณหนูตระกูลชนชั้นสูงที่ต่างชื่นชอบในเครื่องประดับและอัญมณีทั้งนั้น พวกอัญมณีสีแดง สีน้ำเงินและเขียวเหล่านั้นมีสีสันงดงามสะดุดตา เครื่องเพชรแวววาวส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ แม้จะงดงามอยู่แล้วก็ยังเด่นสะดุดตาขึ้นอีกเมื่ออยู่กับสินค้าคุณภาพต่ำ !
ธูปหอมที่ทำจากเครื่องเทศปั๋วซื่อให้ความรู้สึกสดชื่น มีระดับและกลิ่นหอมเข้มข้น…หากจุดไว้ในห้องก็จะทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย หากนำไปอบเสื้อผ้า เวลาสะบัดเสื้อผ้าก็จะส่งกลิ่นหอมออกมา ธูปหอมกล่องเล็ก ๆ นี้มีคำกล่าวอยู่ว่า ‘หนึ่งตำลึงหนึ่งกลิ่น’ แสดงให้เห็นถึงมูลค่าของมัน แม้จะเป็นแบบนั้นสินค้าก็ยังมีไม่พอขายอยู่ดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์แก้วใส (คริสตัล) ที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตเลย เพิ่งวางบนชั้นก็ถูกซื้อไปหมดแล้ว แถมตอนซื้อยังแทบแย่งกันด้วยซ้ำ !
ทว่ากระจกใสไร้สีจำนวนสองคันรถม้านั้น เจียงโม่หานไม่นำออกมาขายสักชิ้น หรือจะบอกให้ชัดเจนกว่านั้นคือไม่นำไปวางแสดงที่ร้านค้าเลยด้วยซ้ำ เขาหาช่างก่อสร้างมานำกระจกพวกนี้ไปทำหน้าต่าง เมื่อทำแบบนั้นแล้ว ภรรยาก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามหิมะตกผ่านหน้าต่างกระจกนี้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเรือนกระจกขึ้นในลานบ้านอีกหลัง ผนังสามทิศเป็นกระจกแต่กำแพงทิศเหนือสร้างเป็นกำแพงอิฐสำหรับทำเตาผิงได้ แม้ในวันที่หิมะตก ด้านในเรือนกระจกก็ยังอบอุ่นเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ส่วนกระจกที่เหลืออยู่ เขานำไปเปลี่ยนให้เรือนฝูหรงของท่านย่าและสวนจื่อถงของหมินอ๋องสองสามีภรรยา ทั้งยังเปลี่ยนหน้าต่างของจวนสกุลหลินให้เป็นกระจกทั้งหมดด้วย ส่วนที่เหลืออีกครึ่งรถม้า เจียงโม่หานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วส่งพวกมันเข้าวัง…ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วก็มีแสงไม่เพียงพอจึงสามารถปรับใหม่ได้ ส่วนกระจกที่เหลือนั้นฮ่องเต้จะพระราชทานให้ตำหนักใดก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเขาแล้ว
ความพยายามของเขาไม่เสียเปล่า ภรรยาดูดีใจมาก เป็นอย่างที่คิดว่านางชอบที่สุดยังเป็นเรือนกระจก ด้านในไม่ได้ปลูกดอกไม้ไว้สักต้น เพราะพื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยผักที่นางโปรดปรานเรียบร้อยแล้ว สวนผักจะเหลือที่โล่งไว้จุดหนึ่ง ด้านบนถูกวางด้วยเก้าอี้ ฤดูหนาวมีแดดออกน้อย แต่พอแดดออกแล้วนางก็จะนอนอาบแดดตรงนั้น ไม่อยากจะพูดเลยว่าสบายสุด ๆ !
ทว่า… “น้องหญิง ผักที่เจ้าปลูกจะโตเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า ? ” เจียงโม่หานไม่ใช่คนโง่ ขณะมองผักแตกใบเขียว เขาก็คิดว่านี่เพิ่งปลูกได้เท่าไรเอง แต่ก็โตได้แบบนี้แล้ว ? ไม่ถูกหลักทางการเกษตรเลยสักนิด !
หลินเว่ยเว่ยดึงตำราที่ปิดหน้าเอาไว้ออกมา หลังจากอ้าปากหาวแล้วนางก็เหลือบมองสามีและพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าเป็นใคร ? บุตรสาวแท้ ๆ ของสวรรค์เชียวนะ ! ผักที่คนอื่นปลูกจะเทียบกับของข้าได้อย่างไร วางใจได้ ไม่มีพิษหรอก ! ”
“ใคร ? เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นลูกแท้ ๆ ของใคร ? ลูกอกตัญญู ถึงขั้นกล้ารับโจรเป็นพ่อเชียวหรือ ? พ่อจะไปคุยกับเจ้าแซ่หลินนั่น ! ” หมินอ๋องกำลังประคองภรรยาไว้และเพิ่งเดินเข้ามาในเรือนกระจกก็ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแบบขาด ๆ หาย ๆ จึงโมโหจนควันออกหูทันที
“ฟู่หวางอย่าพลิกขาวเป็นดำสิเพคะ ! ลูกบอกว่าตัวเองเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของสวรรค์ ไม่อย่างนั้นจะทำอะไรแล้วออกมาราบรื่นขนาดนี้ได้หรือเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยลุกขึ้นนั่ง
“นั่งต่อเถิด ไม่ต้องลุกขึ้นมา ! ระวังเอว ! ” หมินหวางเฟยห้ามไม่ให้นางยืนขึ้น พอประทับเก้าอี้ตัวข้าง ๆ นางแล้วก็ทอดพระเนตรผลไม้และขนมที่อยู่บนโต๊ะน้ำชาขนาดเล็ก ก่อนจะตรัสด้วยรอยยิ้ม “ชีวิตของเจ้าคงไม่มีอะไรสุขสบายไปกว่านี้แล้ว ! หานเอ๋อร์ช่างใส่ใจเหลือเกิน ! ”
“ฮึ ! สามีเอาใจภรรยาก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ? ยิ่งไปกว่านั้นคือเสี่ยวเว่ยของพวกเรายังตั้งครรภ์ลูกของเขาอยู่ด้วย ! ” หมินอ๋องไม่ค่อยพอพระทัยสักเท่าไร…นางกำนัลคนสนิทของพระชายา (นางเฝิง) จะได้เลี้ยงหลานแล้ว แต่หลานของพระองค์ยังไม่รู้เลยว่าไปอยู่ที่ไหน ! เจ้าตัวแสบเฉิงเอ๋อร์นั่นไม่ยอมแต่งงานสักที ไม่ได้การ ! พระองค์ต้องให้เจ้านั่นกลับเมืองหลวงแล้วมาจัดการเรื่องแต่งงาน !
หมินอ๋องซื่อจื่อที่กำลังบัญชาการพวกทหารไล่ตามชาวตงหูก็จามออกมาอย่างแรง…เฮอะ ฟู่หวางต้องตำหนิอะไรเขาอีกแล้วแน่นอน โชคดีที่อยู่ไกลกันมาก ถึงจะด่าอย่างไรเขาก็ไม่ได้ยิน !
“ท่านพ่อตาตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ! ” เจียงโม่หานปอกเปลือกแอปเปิลให้หลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วใช้ไม้จิ้มเพื่อป้อนให้นาง
เหมือนหมินอ๋องจะอารมณ์เสียจึงแค่นสุรเสียงตรัสว่า “เจ้าไปผิดใจอะไรกับเฝิงชิวฟานคนโฉดนั่น ? ประชุมเช้าวันนี้เขาหาว่าเจ้า ‘แย่งผลประโยชน์กับราษฎร’ เรื่องไร้สาระทั้งเพ ! มีขุนนางคนใดที่ไม่มีร้านค้าเป็นของตัวเองบ้าง ? พวกเจ้าไม่ได้มาจากที่เดียวกันหรือ ? แล้วเหตุใดเขาถึงกัดเจ้าไม่ยอมปล่อย ? ”
“อาจเพราะ…เขาอิจฉาในความสามารถของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ! ” บางคนคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า แต่โดนคนอื่นกดหัวไว้ เฝิงชิวฟานไม่ใช่คนใจกว้างอะไรอยู่แล้ว พอมีอำนาจถ้าไม่หันมากัดเขาก็แปลก !
“ฮึ ! คนผู้นี้เป็นหมาบ้า เวลากัดใครแล้วจะไม่ปล่อย มีขุนนางในราชสำนักจำนวนมากที่โดนจัดการเพราะน้ำมือเขา ต่อไปเจ้าจะพูดจะทำอะไรหรือติดต่อกับใครก็ระวังตัวไว้หน่อย ! ”
หมินอ๋องตรัสถูก เพราะตำแหน่ง ‘ผู้ตรวจราชการแห่งฝ่ายตรวจการ’ ของเฝิงชิวฟาน ไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาก็เคยนั่งในชาติก่อนหรอกหรือ ? งานและวิธีการของฝ่ายตรวจการนั้น เจียงโม่หานคุ้นเคยอย่างกับอะไรดี ! พูดง่าย ๆ คือดาบเล่มหนึ่งของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ชี้ไปทางไหนก็ต้องเข้าห้ำหั่นทางนั้น ! การที่เฝิงชิวฟานใช้เวลาไม่ถึง 4 ปีก็ปีนขึ้นมาถึงตำแหน่ง ‘ผู้ตรวจราชการ’ ขั้นสี่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าในปีที่ผ่านมาได้กำจัดขุนนางกังฉินให้ฮ่องเต้ได้มากเท่าไร !
ทว่ายิ่งเฝิงชิวฟานจัดการงานได้ดีและตำแหน่งสูงมากเท่าไร ก็จะล้มเร็วเท่านั้น ! ตอนเจียงโม่หานถูกเพชฌฆาตมัดไว้และดาบกำลังจะบั่นคอ เขาก็เห็นเฝิงชิวฟานที่เป็นจวิ้นอ๋องอยู่ในฝูงชนและกำลังยิ้มเหยียดหยัน เจือความสมเพชเวทนา เมื่อชะตาชีวิตในชาตินี้พลิกผัน คนที่ถูกสมเพชนั้นควรถูกเปลี่ยนเป็นเฝิงชิวฟานบ้าง !
ตำแหน่งในเวลานี้ของเฝิงชิวฟานคือผู้ตรวจราชการประจำฝ่ายตรวจการ แต่ฮ่องเต้รับสั่งให้เขาทำอะไรก็ต้องไปทำอย่างนั้น การที่เขาอยากจะลงมือกับเจียงโม่หานคนนี้ยังต้องประเมินความสามารถของตนเสียก่อน !
ฎีกาของเจียงโม่หานถูกนำไปวางบนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้หยวนชิง อีกทั้งยังมีกระจกจำนวนครึ่งรถม้าและอัญมณีล้ำค่าอีกหลายหีบที่นำขึ้นทูลถวายด้วย
ฮ่องเต้หยวนชิงชี้กระจกครึ่งคันรถม้านั้นแล้วตรัสกับฮองเฮาว่า “ดู ดูสิ ! บ้านตัวเองและบ้านพ่อตาทำใหม่หมดแล้วจึงเพิ่งคิดถึงเจิ้นในตอนที่ของเหลืออยู่ ! ฮึ ! ช่างเป็นขุนนางที่ดีของเจิ้นเสียจริง ! ! ”
ฮองเฮาหยิบแก้วเนื้อใสขึ้นมาทอดพระเนตรแล้วสั่งให้ขันทีไปนำสุราองุ่นที่เจียวเจียวหมักเองเข้ามา หลังได้ยินแบบนั้นพระนางก็ตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “เวลาองค์รัชทายาทกับเจียวเจียวได้ของดีมา ก็คิดถึงฟู่หวงเป็นคนแรกไม่ใช่หรือ ? หานเอ๋อร์ไปติดหนี้อะไรฝ่าบาทเพคะ ? คิดถึงพระองค์ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะเรื่องมากอยู่ได้เพคะ ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงบ่นแค่เล็กน้อยเท่านั้น หลังเปิดฎีกาขึ้นทอดพระเนตรอย่างละเอียดแล้วก็แย้มพระสรวลออกมาดังลั่น “เจ้าเด็กนี่ ! ต้องทราบเรื่องฎีกาฟ้องร้องของเฝิงชิวฟานจากหยูอันแล้วแน่นอน เขาจึงส่งเงินมาให้เจิ้น ! ”
“ส่งเงินให้ฝ่าบาท ? ใครมอบความกล้ากับเด็กคนนั้น ถึงขั้นกล้าติดสินบนฮ่องเต้เชียวหรือเพคะ ? ” หลังจากทอดพระเนตรขันทีรินสุราองุ่นลงในแก้วใส ฮองเฮาก็ยกแก้วขึ้นมาแกว่งแล้วสูดดมกลิ่นของสุราหมัก