ตอนที่ 653 นี่เรียกว่ายอมเปิดเผยความลับแก่กันและกันหรือไม่?
เจียงโม่หานเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ…เพราะเวลาซื้อของขวัญให้ภรรยา เขาต้องมีเงินอยู่ในมือบ้างเช่นกัน เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีใครหลายคนเข้าแถวอยากเชิญสามีของเจ้าไปดื่มชาจริง ๆ ! ”
“เฉินหยุนทำงานที่กรมการค้าเป็นอย่างไรบ้าง ? ครอบครัวของเขากลับมาฟื้นฟูดังเดิมแล้ว ด้วยความสามารถของเขานั้นการสอบให้ผ่านก็คงไม่ใช่ปัญหา เขาจะอยากเป็นขุนนางระดับเล็ก ๆ ในกรมการค้าหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยค่อนข้างประหลาดใจว่าเหตุใดสามีถึงยอมปล่อยผู้ช่วยคนนี้ไปได้
เจียงโม่หานประคองนางมานั่งเก้าอี้แล้วแกะส้มให้นาง “คนที่มีความสามารถโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องสอบให้ได้ลำดับดี ๆ เขาอายุมากกว่าพวกเราสองปี ถ้าให้เขาเข้าสอบทีละสนาม เขาไม่มีความเชื่อมั่นและความอดทนขนาดนั้นหรอก ส่วนใหญ่งานที่กรมการค้ารับผิดชอบก็เป็นงานที่เขาเคยทำกับข้ามาโดยตลอด เวลาปฏิบัติงานจริงก็จัดการง่ายจะตาย ด้วยความสามารถของเขาแล้วผ่านไปอีกสองสามปีจะเลื่อนไปอีกขั้นก็ไม่ใช่ปัญหา
เจ้าอย่าดูแคลนขุนนางขั้นเจ็ดในกรมการค้า พวกที่สอบได้จิ้นซื่อเหล่านั้นยังเป็นแค่นายอำเภอขั้นเจ็ดของบางพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้นกรมการค้าเป็นบ่อเงินบ่อทองในสายตาของคนไม่น้อย คนอื่นอยากจะเข้ายังไม่ได้เข้าเลย ! ”
“เฉินหยุนติดตามเจ้ามาตั้งแต่อำเภอหนิงซี เจ้าแนะนำเขาเข้าทำงานก็พอเข้าใจได้ แต่อีก 5 คนที่เหลือนั่นเล่า ? เจ้าไปรู้จักพวกเขาตั้งแต่เมื่อใด ? ” หลินเว่ยเว่ยกินส้มรสเปรี้ยวหมดเกลี้ยงอย่างไม่รู้ตัว
ตอนคิดจะหยิบอีกลูก มือก็โดนสามีห้ามไว้ “กินส้มมากไปแล้วจะเสียวฟัน วันหนึ่งกินได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น…ส่วนเรื่องที่รู้จักกับพวกเขาก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแบบมากมากแล้ว ! ”
ผ่านมานานมากแบบมากมากแล้ว ? ต้องผ่านไปนานเท่าไร ? คนพวกนั้นมาจากทุกพื้นที่ แต่ไม่เคยมาที่ภาคเหนือ ส่วนบัณฑิตน้อยก่อนจะอายุ 16 ปี สถานที่ไกลที่สุดก็คือตามนางไปที่เขตเล็ก ๆ ตรงชายแดน เวลาออกจากเขตเริ่นอันก็อยู่กับนางตลอด ทว่านางไม่เคยเห็นคนพวกนั้นมาก่อน แล้วที่ว่านานมากแล้วมันคือเมื่อใดกัน…
“นานมากนั้น…คือชาติก่อนอย่างนั้นหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยลูบเปลือกตาที่ค่อนข้างง่วงงุนของตนแล้วเอนตัวนอนด้วยความเกียจคร้าน
“…” เจียงโม่หานก้มหน้ามองภรรยาที่พูดเรื่องชาติภพ ก่อนจะพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ว่า “บางที อาจเป็นชาติก่อนกระมัง ? ”
“ถ้าเช่นนั้น…ชาติก่อนของเจ้ามีข้าอยู่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเริ่มไม่ค่อยเหลือสติแล้ว นางพยายามจะลืมตาแต่ก็ยังยากจะปฏิเสธคำเชิญของเทพแห่งความฝัน สภาพเหมือนลูกแมวผล็อยหลับ ทั้งน่าเอ็นดูและดูโง่เขลา
เจียงโม่หานลูบเส้นผมของนางแล้วถอนหายใจออกมา “ชาติก่อนจะมีเจ้าหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่ความสุขที่สุดในชาตินี้คือการมีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดอย่างสะลึมสะลือ ‘หมายความว่าไม่มี ? ชีวิตของบัณฑิตน้อยในชาติก่อน ไม่มีตัวนางที่ทะลุมิติมา บางทีหลินเว่ยเอ๋อร์ตัวจริงคงตายอยู่ที่แอ่งน้ำนั้นแล้ว…เพียงแต่ไม่รู้ว่าต่อมาบัณฑิตน้อยแต่งงานกับใคร ? เขาหน้าตาดีขนาดนี้จะต้องเป็นที่หมายปองของคุณหนูมากมายในเมืองหลวงแน่นอน ? ’
“บัณฑิตน้อย ข้าอยากกินเฉ่าเหมย (สตรอเบอร์รี่)…” หลังพ่นประโยคนี้ออกมาแล้วหลินเว่ยเว่ยก็เริ่มกรน…ตั้งแต่ตั้งครรภ์ นางก็กลายเป็นแมวขี้เซา อยากนอนก็นอนหลับขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
เจียงโม่หานมองหิมะที่ปลิวอยู่ด้านนอก…ในฤดูกาลแบบนี้จะให้เขาไปหาเฉ่าเหมยจากที่ใด ? แม้แต่ผลที่โตอยู่ในเรือนกระจกเวลานี้ก็ต้องรออีกหลายเดือนถึงจะกินได้ !
“ไม่มีเฉ่าเหมยสด ๆ…เป็นแยมเฉ่าเหมยได้หรือไม่ ? ” เจียงโม่หานกระซิบข้างหูหลินเว่ยเว่ย
ก่อนที่สติของหลินเว่ยเว่ยจะหายไปอย่างสมบูรณ์ นางพ่นคำพูดประโยคหนึ่งออกมา “มีสิ…นี่ไงเล่า ? ” หลังจากพูดจบ นางก็หลับไปอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็เห็นเฉ่าเหมยสดใหม่หนึ่งจานอยู่ข้างมือนางและด้านบนยังชุ่มไปด้วยน้ำอีกด้วย !
กล้ามเนื้อของเจียงโม่หานหยุดทำงานทันที หลินเว่ยเว่ยขยับตัวเพราะรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย เขาจึงรีบทำตัวให้ผ่อนคลาย หลังจากภรรยาหลับสนิทแล้ว เขาก็ค่อย ๆ จับมือนางอย่างระมัดระวังแล้วพลิกดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางบ่นในใจว่า ‘ก็ปกติ ? แล้วเฉ่าเหมยออกมาจากที่ใด ? ’
แต่ไหนแต่ไรมา เจียงโม่หานก็รู้ว่าในตัวภรรยามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่และยังไม่พูดถึงความคิดประหลาดเหล่านั้นของนางที่รอบรู้ยิ่งกว่าเขา ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จำนวนเมล็ดพันธุ์ที่นางให้ยืมก็เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับผลผลิตในไร่ของนาง แล้วจะปิดบังเขาได้อย่างไร ? ทว่าดูเหมือนนางจะไม่ค่อยอยากปิดบังเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว !
นอกจากนี้ ตอนอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ในบ้านแทบไม่เคยขาดแคลนผลไม้สด ๆ เลย มีบางชนิดที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ออกผลในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ กอปรกับเหตุการณ์ในวันนี้ที่ภรรยาสร้าง ‘เฉ่าเหมย’ ออกมาต่อหน้าต่อตาเขาเพราะความสะลึมสะลือ…หรือว่านางเป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ รู้สรรพสิ่งในใต้หล้านับสหัสวรรษ สามารถเด็ดผลไม้จากสวนบนสวรรค์ได้ ?
วันรุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส ขณะมองสตรอเบอร์รี่ที่โดนล้างจนสะอาดแล้วในจานข้างเตียง นางก็พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “บัณฑิตน้อย เจ้าเป็นพยาธิในท้องข้าหรือเปล่า รู้ว่าข้าอยากกินเฉ่าเหมย…แต่ในฤดูกาลแบบนี้ เจ้าเอาเฉ่าเหมยมาจากที่ใด ? คงราคาแพงมากกระมัง ? ”
“พูดไปเจ้าคงไม่เชื่อ เช้านี้ตอนที่ข้าตื่นขึ้นมา ในห้องก็มีจานเฉ่าเหมยวางอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าแปลกหรือไม่ ? ” เจียงโม่หานตีมือที่เอื้อมจะไปหยิบสตรอเบอร์รี่ของนาง “กินข้าวเช้าแล้วค่อยกินเฉ่าเหมย ! สาวใช้เตรียมน้ำไว้แล้ว เจ้าลุกไปล้างหน้าแปรงฟันเถิด ! ”
หลินเว่ยเว่ยตกใจพลางย้อนนึกเข้าไปในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณ ทันใดนั้นนางก็พบว่าสตรอเบอร์รี่ที่ตนเพิ่งเก็บได้เมื่อวานหายไปหนึ่งจาน นางแกล้งทำเป็นงุนงง “เฉ่าเหมยไม่รู้ที่มาที่ไป จะกินได้หรือเปล่า ! ”
“ข้าลองชิมแล้ว เหมือนเฉ่าเหมยธรรมดาแต่หวานกว่าของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเสียอีก ! ” เจียงโม่หานมองดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนาง…เสแสร้ง เสแสร้งต่อไปเถิด !
พืชผลในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณถูกรดด้วยน้ำพุวิญญาณ ถ้าไม่หวานก็แปลกแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยบ้วนปาก...บัณฑิตน้อยฉลาดถึงขนาดนี้จะต้องเดาอะไรออกบ้างแล้วกระมัง ? เขาไม่พูด นางก็แกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นต่อไป!
“ท่านพี่ พวกเราปลูกเฉ่าเหมยและเซียงกวา (แคนตาลูป) ในเรือนกระจกไม่ใช่หรือ ? รอให้ถึงสิ้นปีที่ไม่มีผลไม้อะไรให้กิน หากเรานำไปมอบให้คนอื่นก็ถือเป็นหน้าเป็นตาให้เราทั้งนั้น” จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกว่าเรือนกระจกเริ่มมีขนาดเล็กไปหน่อยแล้ว พืชผักและผลไม้ในห้วงมิติของนางมีมากเกินไป เรือนกระจกนั้นไม่มีทางปลูกได้หมดแน่นอน !
“ได้ ! แต่เจ้าห้ามลงมือปลูกเอง ถ้าหาต้นกล้าได้แล้วก็รอให้ข้ากลับมาช่วยเจ้าปลูก” คนท้องนั่งยองไม่ได้ ถ้าเบียดทารกในครรภ์แล้วจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร ?
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงลังเล “ท่านพี่ เจ้ารู้อะไรมาหรือเปล่า ? ”
“เจ้าเองก็ไม่ได้เดาบางอย่างออกแล้วหรือ ? ” เจียงโม่หานมองนางด้วยความเข้าใจแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
ตื่นเต้นเหลือเกิน ! นี่บัณฑิตน้อยจะสารภาพกับนางแล้วหรือ ? บัณฑิตน้อยกลับชาติมาเกิดใช่หรือไม่ ? ฮ่าฮ่าฮ่า กลับชาติมาเกิดกับทะลุมิติ พวกนางเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างจริง ๆ เหมาะสมกันมาก !
หลินเว่ยเว่ยพยายามควบคุมมารที่กำลังกรีดร้องในใจเอาไว้แล้วมองเจียงโม่หานด้วยดวงตาเป็นประกาย “เจ้ากลับชาติมาเกิดใหม่หรือเปล่า ? กลับมาเกิดตอนไหน ? รอเดี๋ยวนะ อย่าเพิ่งเฉลย ให้ข้าเดาก่อน…คงไม่ใช่ตอนที่โดนคนแซ่อู๋ตีหัวหรอกกระมัง ? เพราะนับตั้งแต่นั้นมา ท่าทีที่เจ้าปฏิบัติต่อข้าก็ต่างไปจากเดิม เมื่อก่อนจมูกเชิดขึ้นฟ้า เหมือนไก่ตัวผู้ที่เย่อหยิ่ง เห็นข้าแล้วก็เหมือนเห็นก้อนอุจจาระอย่างไรอย่างนั้น ! ”