ตอนที่ 658 ขุนนางขั้นสองรูปงาม
แต่ยังมีคนที่สติดีอยู่เหมือนกัน ‘ไปทำงานในชนบทแล้วอย่างไร ? ไม่มองบ้างว่าพี่สาวและพี่เขยของเขาเป็นใคร ? ตอนเป็นนายท่านจอหงวนนั้นพี่เขยรองของเขาก็ถูกส่งไปยังอำเภอยากจนในตะวันตกเฉียงเหนืออันแสนแร้นแค้น พวกเจ้าก็คิดแบบนี้ต่อเขาเหมือนกัน แล้วผลลัพธ์เล่า ? อำเภอหนิงซีกลายเป็นอำเภอมีชื่อเสียงที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและหลังจากที่พัฒนาการเกษตรกับเศรษฐกิจของตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วเขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสี่ในชั่วพริบตา !
เมล็ดพันธุ์ข้าวขาวให้ผลผลิตสูงที่พี่สาวของเขาพัฒนาขึ้นในฟาร์มหลวงยังไม่มีโอกาสได้ไปทดลองและป่าวประกาศที่แดนใต้อยู่พอดี ถ้าเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวให้ผลผลิตสูงพวกนี้เข้ากับสภาพอากาศของแดนใต้ได้ เกรงว่าชนบทในสายตาพวกเจ้าก็อาจกลายเป็นอำเภอหนิงซีแห่งที่สองก็ได้ ! และการไปทำงานในพื้นที่แร้นแค้นก็ไม่ใช่การถูกเนรเทศ แต่เป็นเพราะเห็นคุณค่าและอยากทดสอบตัวเขาต่างหาก หากทั่นฮวาอดทนกับบททดสอบได้ ในอนาคตเวลากลับมายังเมืองหลวงแห่งนี้ ฮึ ไม่ต้องใช้สมอง ใครก็คงมองออก ! ’
ตอนที่หลินจื่อเหยียนแต่งงานก็กำลังอยู่ในช่วงเกี่ยวข้าวขาวของฟาร์มหลวงพอดี ผลผลิตสูงถึง 500 ชั่งต่อหมู่ หลังรอให้เขาแต่งงานและกลับไปอยู่บ้านได้ 3 วัน ทั้งสองสามีภรรยาก็ขนเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวลงใต้เพื่อไปรับตำแหน่งแล้ว
หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าน้องชายต้องไปรับตำแหน่งในเขตหุบเขาจึงให้เจ้าดำและเจ้าพยัคฆ์ดำ (ลูกของเจ้าดำ) ตามไปดูแล ตอนที่หลินจื่อเหยียนไปเยือนหมู่บ้านบนหุบเขา แม่ทัพอย่างเจ้าดำและเจ้าพยัคฆ์ดำก็คอยปกป้องขนาบข้างเขาไว้ตลอด พูดกันว่าเวลาหมาป่าทั้งสองตัวร่วมมือกันยังสามารถฆ่าเสือที่ดุร้ายจนตายได้ !
หลินจื่อเหยียนได้กินของป่าเสมอและยังชวนเพื่อนร่วมงานกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามารับประทานอาหารเย็นที่บ้านบ่อย ๆ ด้วย อาหารและขนมสองสามอย่างที่โม่ชิงหลีเรียนทำจากหลินเว่ยเว่ยจึงมีประโยชน์สุด ๆ นอกจากนี้หลินจื่อเหยียนยังใช้เนื้อหมูป่าแผ่นและเนื้อกวางแผ่นจากเมืองหลวงมาเป็นของขวัญเพื่อผูกมิตรกับขุนนางคนอื่นในที่ว่าการอำเภอ เวลาทำงานจึงราบรื่นกว่าเดิม
เขาสร้างนาขั้นบันได สร้างอ่างเก็บน้ำ ใช้กังหันน้ำชักน้ำลงจากภูเขา รวมกับเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวให้ผลผลิตสูงจึงได้ใจของราษฎรอย่างรวดเร็ว…
หลังจากพี่ชายสอบจิ้นซื่อได้แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ฮว๋าก็ขยันอ่านตำรามากกว่าเดิม เพราะเดิมทีเขาก็เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว สามารถเชื่อมโยงจากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่งได้ง่าย ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีก็เดินทางกลับไปสอบระดับเซี่ยนซื่อโดยมีแม่ทัพหลินเดินทางไปเป็นเพื่อนและยังสอบเซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อ เยวี่ยนซื่อผ่านได้ในปีเดียวจึงกลายเป็นซิ่วไฉได้อย่างสมเกียรติ ทำตามคำมั่นสัญญาในเวลานั้นของตนได้สำเร็จ…ทำลายสถิติที่พี่ชายเป็นซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดได้สำเร็จอีกด้วย เขายังกลายเป็นซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองจงโจว…
เมื่อช่วงเวลาทำงาน 2 ปีในเขตปกครองซุ่นเทียนของเจียงโม่หานจบลงแล้ว ช่างชูกรมคลังและช่างชูกรมโยธาธิการก็ต้องทะเลาะกันเกือบเลือดอาบเพราะอยากให้เขามาเข้าทำงานที่กรมของตน แล้วจะได้เป็นผู้ช่วยให้แก่ตน
ชื่อหลางกรมคลังและชื่อหลางกรมโยธาธิการ “…” พวกท่านยังเห็นหัวพวกข้าอยู่หรือไม่ ?
ต่อจากนั้นไม่นาน ชื่อหลางกรมคลังก็ถูกเฝิงชิวฟานกล่าวโทษและถูกปลดจากตำแหน่งพร้อมยึดทรัพย์ทั้งตระกูล เจียงโม่หานในช่วงอายุ 21 ปีจึงได้เลื่อนขั้นเป็นครั้งที่สอง โดยเข้ารับตำแหน่งชื่อหลางกรมคลังขั้นสาม
ชื่อหลางกรมโยธาธิการใจสั่นพลางมองหน้าเจ้านายด้วยความโล่งอก ‘โชคดีที่ท่านไม่ได้แย่งชนะช่างชูกรมคลัง เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าข้าจะได้รับโทษสถานใดเพื่อสร้างตำแหน่งว่างให้เจียงโม่หานคนนั้น ! ’
อนาคตของเจียงโม่หานเหมือนทางที่ถูกโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ได้รับไฟเขียวตลอดทาง ไร้อุปสรรคใดๆ ระหว่างที่เขาอยู่ในตำแหน่งชื่อหลางกรมคลังได้ 3 ปี พื้นที่ทางภาคเหนือและภาคกลางต่างปลูกข้าวสาลีและข้าวโพดที่ให้ผลผลิตสูงทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงแผ่นดินต้าเซี่ยที่กลายเป็นแหล่งผลิตอาหารไปแล้ว
การปลูกข้าวขาวให้ผลผลิตสูงของภาคใต้ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่ต้น เทคนิคการปลูกแบบขั้นบันไดเริ่มเข้าที่เข้าทาง อีกไม่นานก็จะถูกส่งเสริมให้พื้นที่ในแถบภูเขาได้เพาะปลูกบ้าง
องค์หญิงเว่ยเว่ยภรรยาที่ดีของชื่อหลางกรมคลังก็ทำตามการเกษตรแบบผสมผสาน นางเสนอว่าดินแดนแห่งสายน้ำอย่างแดนใต้เหมาะแก่การเพาะพันธุ์ ‘หนอนไหม ข้าวขาวและปลา’ สามารถขุดบ่อเก็บน้ำ เลี้ยงหนอนไหมเป็นพื้นฐานโดยใช้ใบหม่อนเป็นอาหาร ในบ่อก็เลี้ยงปลา พอหนอนไหมกินใบหม่อนแล้วปลาก็กินมูลหนอน โคลนในบ่อเป็นสารอาหารให้นาข้าวและต้นหม่อน น้ำที่เหลือในบ่อยังนำมาทำเป็นระบบชลประทานได้ วงจรหมุนเวียนมีแต่ประโยชน์
ฮ่องเต้หยวนชิงจึงย้ายหลินจื่อเหยียนที่เป็นนายอำเภออยู่ในหุบเขานานถึงสี่ปีมาเป็นจือโจว (ตำแหน่งรองจากเจ้าเมือง) แห่งเมืองฉวีโจว นอกจากนี้ยังประทานอนุญาตให้นำพื้นที่กว่า 800 หมู่มาใช้เป็นฟาร์มทดลองเพื่อทดลองการเพาะพันธุ์ ‘หนอนไหม ข้าวขาวและปลา’ โดยเฉพาะ เจียงโม่หานและภรรยาจึงได้มีโอกาสไปเยี่ยมญาติ…เพื่อช่วยชี้แนะวิธีสร้างฟาร์มหลวง ณ แดนใต้
เสี่ยวหมี่ลี่ที่อายุเกือบห้าขวบแล้วก็ตามบิดามารดาไปเที่ยว แต่อย่าคิดว่านางจะได้เที่ยวสมใจ ! เพราะต้องอยู่แต่ในที่ว่าการเมืองฉวีโจวเท่านั้นเพื่อคอยดูแลลูกพี่ลูกน้องอย่างหลินกว่างหง (บุตรชายของหลินจื่อเหยียน) ที่เพิ่งหัดคลาน แต่ความเร็วในการคลานนั้นสูงมาก ในแต่ละวันเสี่ยวหมี่ลี่ต้องคอยตามหลังน้องชาย ระวังไม่ให้เขาคลานออกไปจากบ้านหรือไม่ให้เขาคลานลงบันได…ช่างน่าเหนื่อยใจเหลือเกิน
หลังรอให้วิธีเพาะพันธุ์ ‘หนอนไหม ข้าวขาวและปลา’ แบบหมุนเวียนนี้เป็นที่พิสูจน์และยอมรับแล้ว ข้าวพันธุ์ผสมของหลินเว่ยเว่ยก็ให้ผลลัพธ์ จากผลผลิตข้าวขาว 500 ชั่งขึ้นไปถึง 800 ชั่งต่อหมู่ คาดว่าในอีกสองปีข้างหน้าก็คงทะลุ 1,000 ชั่งแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงดีพระทัยมากจึงพระราชทานรางวัลให้จวนสกุลเจียงอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่เจียงโม่หานเข้ารับตำแหน่งชื่อหลางกรมคลังได้สามปีแล้ว ช่างชูกรมโยธาธิการก็ลงจากตำแหน่ง เขาจึงได้กระโดดขึ้นไปอีกรอบโดยนั่งในตำแหน่งช่างชูขุนนางขั้นสอง ตอนเข้าประชุมราชสำนัก ในหมู่ขุนนางผมขาวทั้งหลายกลับมีขุนนางหนุ่มรูปงามยืนอยู่อย่างสะดุดตา ทั้งดูน่าเหลือเชื่อและเข้ากันได้ดี
ขุนนางขั้นสองที่อายุไม่ถึง 25 ปีและยังหล่อเหลาเหมือนเทพบุตร จึงทำให้สตรีในเมืองหลวงจำนวนไม่น้อยอยากโดนเขารับเป็นอนุ แต่บ้านที่เปิดเผยว่าจะส่งบุตรสาวมาเป็นอนุเหล่านั้น ไม่บิดาก็พี่ชายของพวกนางมักจะต้องโดนกระสอบคลุมศีรษะแล้วโดนรุมทุบตีทุกรายไป
บางครั้งเป็นฝีมือของหมินอ๋อง บางครั้งเป็นแม่ทัพหลินและยังมีบางครั้งที่พวกเขาร่วมมือกัน…กล้าคิดทำลายชีวิตคู่ของบุตรสาวพวกตน ดังนั้นการปกป้องบุตรสาวโดยทุบตีพวกมันก็ถูกต้องแล้ว !
ขุนนางบางคนบอกว่าองค์หญิงเว่ยเว่ยไร้คุณธรรม แต่งงานจะครบ 10 ปีแล้วแต่คลอดบุตรสาวออกมาแค่คนเดียวและยังไม่อนุญาตให้เจียงช่างชูรับอนุ สร้างชื่อเสียง ‘สตรีขี้อิจฉาริษยา’ ออกมา…
หลินเว่ยเว่ยโมโหจนซื้อตัวอาชาผอมแห้งหยางโจว1 มาจำนวนหลายคน จากนั้นก็ส่งไปให้บุตรเขยของขุนนางเหล่านั้น…เจ้าไม่ได้บอกว่าข้าขี้อิจฉาริษยาอย่างนั้นหรือ ? ได้ ! ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ทนกับบุตรเขยที่โปรดปรานอนุแล้วทำลายภรรยาหลวงอย่างบุตรสาวพวกเจ้าไปเถิด ! นับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้านข้างของขุนนางเหล่านั้น หากไม่มีภรรยามาร้องไห้ให้ฟัง ก็เป็นบุตรสาวมาโวยวายจึงไม่มีเวลามาหาเรื่องนางพักใหญ่
หลินเว่ยเว่ยโกรธจนมึนหัวตาลาย ข้าวก็กินไม่ลง…ขุนนางพวกนี้ว่างกันจริงๆ เอาแต่จ้องเรือนหลังของคนอื่น เก่งจริงก็ทำสิ่งที่มีประโยชน์สิ สร้างคุณให้แผ่นดิน ทำเป็นหรือไม่ !
เมื่อภรรยาอารมณ์เสียก็เป็นธรรมดาที่หัวใจของเจียงโม่หานก็จะลุกเป็นไฟเช่นกัน เขารวบรวมสิ่งที่ขุนนางเหล่านั้นกระทำทุจริตและติดสินบนเจ้าหน้าที่ รังแกชาวบ้านและยังมีเรื่องสกปรกต่างๆ ส่งไปให้ผู้ตรวจราชการอย่างเฝิงชิวฟานโดยไม่เปิดเผยชื่อของตน
เฝิงชิวฟานเป็นเหมือนหมาบ้าที่ได้กลิ่นเหม็นเน่า เขาเพ่งเล็งขุนนางเหล่านั้นทันที ท้ายที่สุดขุนนางพวกนั้นก็ต้องมีจุดจบแบบร่วงหล่นจากตำแหน่ง ทรัพย์สินโดนริบ…ฮ่องเต้หยวนชิงโปรดการลงโทษแบบยึดทรัพย์สมบัติที่สุด เพราะสามารถเอาผลประโยชน์ที่ได้มาโดยไม่ชอบของอีกฝ่ายเข้าคลังหลวง!
ฮ่องเต้หยวนชิงยังแต่งตั้งให้เสี่ยวหมี่ลี่เป็นเสี้ยนจู่เพื่อบ่งบอกถึงความรักอันแสนลำเอียงที่มีต่อองค์หญิงเว่ยเว่ย…เจียงโม่หานจะรับอนุหรือไม่ก็เป็นเรื่องในครอบครัว คนนอกไม่ต้องยุ่ง !
ผ่านไปไม่นาน ข่าวที่องค์หญิงเว่ยเว่ยตั้งครรภ์ก็กระจายออกไปและก็ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้วด้วย หมี่ลี่เสี้ยนจู่โอ้อวดคนอื่นน่าดู…ข้าจะมีน้องแล้ว ! นางถามมารดาด้วยความไร้เดียงสาว่า “น้องชอบคลานไปไหนมาไหนเหมือนน้องชายที่บ้านท่านน้าหรือเปล่าเจ้าคะ ? ลูกใช้เชือกมัดน้องไว้ได้หรือไม่ ? ไม่อย่างนั้นลูกได้เอาแต่คอยดูน้องทั้งวันแน่นอน แบบนั้นลูกต้องเหนื่อยมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? ”
[i]
1 อาชาผอมแห้งหยางโจว หมายถึง หญิงสาวชาวหยางโจวที่ได้รับการฝึกอบรมพิเศษและพร้อมที่จะแต่งงานกับผู้มั่งคั่งในฐานะอนุภรรยา