ตอนที่ 659 คนที่กลับชาติมาเกิดใหม่มักมีสูตรโกงติดตัวกันหมด
หลินเว่ยเว่ย “…” นี่เจ้ากำลังเลี้ยงน้องหรือเลี้ยงสุนัขกันแน่ ?
ในชาตินี้ เมื่อเจียงโม่หานขึ้นไปถึงตำแหน่งโฉวฝู่ (หัวหน้าเหล่าขุนนาง) เขาเพิ่งจะอายุ 30 ปีต้น ๆ เท่านั้นซึ่งเร็วกว่าชาติก่อนถึง 10 ปี
ในชาติที่แล้ว ตำแหน่งโฉวฝู่ของเขาทำให้ผู้คนหวาดกลัว นอกราชสำนักยิ่งแล้วไปใหญ่ ในจวนหนาวเหน็บจนเขารู้ดีแก่ใจว่าปลายดาบพร้อมจ่ออยู่ที่ลำคอตลอดเวลา ชีวิตจะสุขสบายได้ก็แปลกแล้ว !
ในชาตินี้ ชีวิตของเขาถูกเขียนด้วยคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ เบื้องบนมีบิดามารดา ข้างกายมีภรรยา เบื้องล่างมีบุตรสาวคอยออดอ้อน ฮ่องเต้ให้ความสำคัญ ขุนนางในราชสำนักให้ความเคารพ ราษฎรเลื่อมใส…ความโศกเศร้าจากชาติก่อนถูกเติมเต็ม เพียงเพราะมีนางเข้ามา…
หลินเว่ยเว่ยอ้าปากหาว ขณะจัดชุดขุนนางใหม่ของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ตำแหน่งขุนนางของเจ้าขึ้นเร็วเหมือนติดจรวด ฟิ้ว ! ตำแหน่งที่คนอื่นใช้ทั้งชีวิตก็ยังขึ้นไปไม่ถึง แต่เจ้ากลับนั่งได้ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น คนที่กลับชาติมาเกิดใหม่มักมีสูตรโกงติดตัวกันหมด ! ”
เจียงโม่หานยิ้มแล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของนาง “ก็ไม่ใช่เพราะมีภรรยาอย่างเจ้าหรือ ? ” ที่เขาพูดเช่นนี้ไม่ได้เพราะถ่อมตนและไม่ใช่คำชมเกินเหตุ ตำแหน่งโฉวฝู่ของเขานี้อย่างน้อยก็เป็นผลงานจากนางครึ่งหนึ่ง เพราะความดีของนางแล้ว ราชสำนักจึงพระราชทานรางวัลให้ไม่หยุด ให้จนไม่รู้จะให้อะไรนางแล้ว มันจึงย้ายมาตกที่ศีรษะเขาจนหมดไม่ใช่หรือ ?
“นั่นเป็นเพราะเจ้าก็ลงมือทำงานแบบจริงจัง บางเรื่องข้าแค่พูดโดยยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่เจ้าก็ทำออกมาจนได้ โฉวฝู่หน้าหยกแบบเจ้าสมควรได้รับมันแล้ว ! ” คนที่อยู่ด้านนอกเอาแต่บอกว่าบัณฑิตน้อยฟันไม่ดีชอบกินข้าวนิ่ม…พวกขี้อิจฉา ! สามีของข้ามีฟันที่แข็งแรงและเป็นฟันทองคำต่างหาก ! !
ในช่วงไม่กี่ปีที่อยู่กรมโยธาธิการนั้น เจียงโม่หานใช้ศูนย์ปฏิบัติงานของกรมสร้างเครื่องนวดข้าวแบบมือหมุนและเครื่องหว่านเมล็ดขึ้นมา สามารถช่วยประหยัดแรงให้ชาวบ้านได้มาก ซีเมนต์ที่เขาเป็นผู้คิดค้นก็ทำให้ปราการป้องกันเมืองแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม หรือแม้แต่ดินปืนที่เขาผสมออกมาก็ถูกนำไปทดลองใช้ในกองทัพ เมื่อปืนใหญ่หงอีปรากฏขึ้นในสนามรบ ศัตรูฝ่ายตรงข้ามก็พ่ายแพ้ไปโดยปริยาย…
ในเวลานี้ แม้เขาจะขึ้นนั่งในตำแหน่งโฉวฝู่แล้วก็ยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงานผลิตอาวุธสงครามซีซานอีกด้วย อันที่จริงในชาติก่อนปืนใหญ่หงอีก็ถูกสร้างออกมาจนเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว เจียงโม่หานจึงแค่ปรับปรุงเพิ่มเท่านั้น เขาค่อนข้างสนใจกับปืนพกที่ภรรยาเอ่ยถึง ถ้านายทหารในกองทัพต้าเซี่ยพกไว้สักกระบอกก็คงทำให้ยิงศัตรูร่วงเป็นว่าเล่น !
เพราะเรื่องนี้ เขาจึงกลายเป็นคนเนื้อหอมในกรมกลาโหมอีกแห่ง แม้แต่ช่างชูกรมกลาโหมก็แทบจะยกตำแหน่งแก่เขาเพื่อให้เขาศึกษาและพัฒนาเจ้าสิ่งนี้ต่อไป !
ในเวลานี้ฮ่องเต้หยวนชิงกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับหมินอ๋อง ฝ่ายหมินอ๋องตะโกนเสียงดังลั่น “ตรัสว่าอย่างไรนะ ? พระองค์จะสละบัลลังก์ ? ฝ่าบาท พระวรกายก็แข็งแรงอยู่ไม่ใช่หรือ ? ยังทำต่อไปได้ตั้งสิบยี่สิบปี แล้วเหตุใดถึงจะเลิกทำพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ชู่ว ! เบาเสียงหน่อย! เจ้านี่นะ ชาตินี้แก้นิสัยชอบเอะอะโวยวายไม่ได้จริง ๆ ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงที่สูงวัยแล้วคีบกระต่ายผัดเผ็ดขึ้นมาเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะตรัสต่อ “คนเราน่ะ ! จะไม่ยอมรับว่าตัวเองแก่แล้วไม่ได้ ! ตอนนี้เวลาเจิ้นอ่านฎีกา พออ่านไปได้ไม่กี่เล่มก็ตาลาย เมื่อก่อนทำงานจนดึกดื่น แถมตอนเช้ายังต้องมากำราบพยัคฆ์มังกรในราชสำนักอีก ตอนนี้เจิ้นไม่ไหวแล้ว…”
หมินอ๋องขมวดพระขนง “ฎีกาก็ไม่ได้มีรัชทายาทช่วยอ่านหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ใช่ ตอนนี้งานส่วนใหญ่มีรัชทายาทเป็นผู้จัดการ ทุกคนเห็นความสามารถของเขาแล้ว เจิ้นยกบัลลังก์ให้เขาก็ไม่มีอะไรให้ห่วงอีก ? ” องค์รัชทายาทมีพระชนมายุ 30 ชันษาแล้ว ส่วนพวกน้องชายของเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่หมดแล้วด้วย บางคนเริ่มมีความคิดไม่ซื่อ การที่พระองค์สละบัลลังก์ในเวลานี้ยังช่วยรัชทายาทกดคนที่อยู่เบื้องล่างได้ด้วย
หลังจากนั้นอีก 2-3 ปี องค์รัชทายาทก็จะได้นั่งในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง มีเจียงโฉวฝู่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคอยช่วยเหลือ มีจ้าวซื่อจื่อเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ พระองค์ก็จะได้มีชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ !
ใต้หล้านี้เป็นแผ่นดินที่พี่น้องและพระองค์ร่วมกันต่อสู้เพื่อแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ในช่วง 20 ปีมานี้พระองค์ไม่กล้าประมาทแม้แต่อึดใจเดียว เพียรพยายามทั้งวันทั้งคืนและในที่สุดก็สามารถสร้างแผ่นดินอย่างปัจจุบันนี้ขึ้นมา พระองค์กล้าตรัสได้เลยว่าไม่มีฮ่องเต้สร้างแผ่นดินพระองค์ใดจะทำได้เทียบเท่า สามารถสร้างแผ่นดินที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา !
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องข้าวปลาอาหารก็แล้วกัน เสบียงในคลังของพื้นที่ต่าง ๆ แม้จะข้ามปีแล้วก็ยังกินไม่หมด แต่ของใหม่ก็เข้ามาเพิ่มแล้ว ภาษีที่ดินเก็บ 15 ต่อ 1 ลดมาจาก 30 ต่อ 1 ทว่าข้าวปลาอาหารที่เก็บมาก็ยังเต็มคลังอยู่ดี เมื่อก่อนมีภัยพิบัติที่ใดก็ต้องรวบรวมเสบียงอาหารทั้งแคว้นไปช่วย แต่ตอนนี้แค่คลังของหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้างก็พอให้แจกจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์แก่ราษฎรได้แล้ว
เมื่อข้าวปลาอาหารมีพอ เสบียงอาหารของกองทัพก็เพิ่มขึ้นด้วย กรมคลังไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการทำสงครามว่าจะไปรวบรวมอาหารจากที่ใด แค่ทุ่งนาของกองทัพตรงชายแดนก็เพียงพอให้พวกเขากินไปถึง 2 ปีแล้ว
ชายแดนเปิดตลาดการค้าข้ามเขตแดนขึ้นมา โดยใช้อาหารแลกวัวม้าของอีกฝ่าย ใช้สัตว์พวกนั้นมาเป็นกำลังเสริมของกองทัพ ส่งผลให้พวกตงหู หุยเหอและแคว้นทางใต้ล้วนให้ความเคารพยำเกรง ไม่กล้ามารุกรานอีก
ส่วนเศษเสี้ยวของกบฏราชวงศ์ก่อนยิ่งไม่มีโอกาสปลุกปั่นราษฎรเข้าไปใหญ่ ราษฎรอยากได้อะไร ? ก็แค่ปัจจัยสี่เท่านั้น ราชวงศ์ก่อนเพิ่งถูกล้มล้างไป 20 ปี จึงเป็นธรรมดาที่ราษฎรจะยังจดจำได้ว่าในเวลานั้นพวกตนมีชีวิตอย่างไร ภาษีและการขูดรีดต่าง ๆ นานา ขุนนางทุจริตอย่างเปิดเผย ข้าวปลาอาหารที่สร้างมาด้วยความยากลำบากตลอดปีก็มีไม่พอให้จ่ายภาษีด้วยซ้ำ ถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาราษฎรก็จะไม่มีโอกาสรอดชีวิตกันมากกว่าเดิม !
ในเวลานี้ หากครอบครัวหนึ่งเพาะปลูกกันเองประมาณ 2-3 หมู่ก็เพียงพอจะเลี้ยงพวกเขาได้ทั้งครอบครัวแล้ว ถ้าขยันหน่อยก็บุกเบิกพื้นที่รกร้าง สามปีแรกไม่ต้องจ่ายภาษี หลังบำรุงด้วยปุ๋ยตามที่คู่มือของราชสำนักบอกแล้วอย่างน้อยในหนึ่งฤดูก็จะได้ข้าวขาวกลับมา 400-500 ชั่ง ส่วนผืนดินที่อุดมสมบูรณ์เหล่านั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าจัดการดี ๆ แล้วอย่างน้อยก็ได้ผลผลิต 700-800 ชั่งหรืออาจมากกว่านั้น เมื่อราษฎรได้กินอิ่มนอนอุ่น มีวิถีชีวิตที่ดี ใครจะอยากไปเสี่ยงชีวิตให้โดนตัดหัวเสียบประจานกับพวกเจ้า ?
ตอนที่ทางการออกตามล่ากบฏราชวงศ์ก่อน ราษฎรยังให้ความร่วมมือสุด ๆ อีกด้วย บ้านใครมีแขกแปลกหน้ามาเยือนหรือตรอกใดมีคนแปลกหน้าเพิ่มเข้ามา พวกเขาก็จะไปรายงานกับทางการ…พวกราษฎรไม่อยากให้ชีวิตอันมั่นคงที่สร้างมาด้วยความยากลำบากต้องย่อยยับอีกครา และหลังจากยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว พวกเขาก็จะได้เงินรางวัลนำจับอีกด้วย
กรมการค้าที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องยังช่วยเติมเงินเข้าคลังหลวง เมื่อในคลังมีเงินแล้ว กรมโยธาธิการก็มีเงินทุนมากกว่าเดิม พวกเขาพัฒนาอาวุธ เครื่องมือการเกษตรและเรือเดินสมุทร เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้วงจรชีวิตที่ดีขึ้นมา กองทัพต้าเซี่ยแข็งแกร่งกว่าเดิม เกษตรกรกระตือรือร้นในการเพาะปลูกมากกว่าเดิม การคุ้มกันทางทะเลยังช่วยให้การค้าทางทะเลเจริญรุ่งเรืองมากไปอีก…
“ในแผ่นดินไม่มีราษฎรหิวโหย นอกแผ่นดินไม่มีศัตรูกล้ารุกราน” คงเป็นอุดมคติสูงสุดของฮ่องเต้พระองค์นี้กระมัง ? ในที่สุดฮ่องเต้หยวนชิงก็สละอำนาจในพระหัตถ์ ทรงหันไปแย้มโอษฐ์กับหมินอ๋อง “ท่านแม่ทัพ ! ”
ในรัชสมัยหยวนชิงปีที่ 20 ฮ่องเต้หยวนชิงสละราชบัลลังก์ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้วเปลี่ยนชื่อปีเป็นรัชสมัยจิ่งหมิง
รัชสมัยจิ่งหมิงปีที่ 28 เจียงโฉวฝู่ลาออกจากตำแหน่ง ฮ่องเต้จิ่งหมิงยื้อแล้วยื้ออีก ทว่าเจียงโฉวฝู่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว “ฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว รับภาระหนัก ๆ ไม่ไหว อย่างไรก็เก็บโอกาสไว้ให้คนหนุ่มไฟแรงเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”