มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างศิษย์พี่กับศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินผู้งดงามระยิบระยับคนนี้ด้วยหรือไม่
หลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งเป็นศิษย์น้องหญิงแท้ๆ เพียงคนเดียวของหลี่ฉางโซ่วกำลังนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งที่หน้าโต๊ะเตี้ยในกระท่อมมุงจากของนาง นางกำลังถือถ้วยชาที่มีชาร้อนจัดอยู่ในมือขณะที่กำลังครุ่นคิด
นางเหลือบมองไปทางซ้าย มีสาวงามภูเขาน้ำแข็งโหย่วฉินเสวียนหย่าที่เพิ่งได้พบกัน กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอย่างเงียบๆ ขณะที่รอคอยศิษย์พี่ของนางปรากฏตัวขึ้น
เมื่อเหลือบมองไปทางขวา ท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วก็กำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะและกรนเบาๆ ราวกับว่านางอดนอนมาเป็นเวลานานมาก
บรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัดเล็กน้อย
เหตุใดพวกนางทั้งคู่ถึงมาหาศิษย์พี่นะ เขาเพิ่งเคยไปที่ดินแดนเทวะอุดรเพียงครั้งเดียวเพื่อค้นหาสมุนไพร แล้วยามนี้ผู้บำเพ็ญหญิงทั้งสองคนนี้ต้องตาเขาอยู่อย่างนั้นหรือ แล้วหากศิษย์พี่ไปงานชุมนุมครั้งต่อไปในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ข้าจะไม่มีที่นั่งอยู่ในบ้านของข้าเลยหรือไม่!
หลันหลิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ ในใจ
ไม่รู้ว่าศิษย์พี่มีเสน่ห์ตรงส่วนใดกัน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้รักตัวกลัวตายมุ่งหมายชีวิตยืนยาวอย่างยิ่ง แล้วไฉนจึงยังมีสตรีอื่นนอกจากข้ามาชอบเขาอีกนะ ยิ่งกว่านั้นสตรีทางซ้ายมือของข้ายังเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน
แต่หากคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว…
ศิษย์พี่โหยวฉินช่างงดงามจริงๆ แม้นางจะกำลังนั่งสมาธิอยู่ แต่ก็ยังดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่ง หากข้าเป็นศิษย์พี่ ข้าก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของนางได้เช่นกัน
เอ่อ…ไม่ถูกต้อง ศิษย์พี่คงชอบแบบใหญ่ๆ…
จากนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็หันศีรษะไปมองทางด้านขวาอีกครั้ง เพราะท่าทางของอาจารย์อาจิ่วจิ่วที่กำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะนั้นทำให้ร่างกายบางส่วนของนางดูโดดเด่นขึ้น
หลันหลิงเอ๋อร์พลันเงยหน้ามองขึ้นไปทางขวาที่กระจกทองสัมฤทธิ์หลังประตู แล้วอดจะเอามือก่ายหน้าผากของนางไม่ได้
เอาน่า ข้ายังมีโอกาสเติบโตต่อไปในภายภาคหน้า
บางทีนะ…
นอกจากปัญหากับศิษย์พี่ของนางแล้ว ในฐานะเจ้าของกระท่อมมุงจากหลังนี้ หลันหลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่านางไม่อาจปล่อยให้บรรยากาศน่าอึดอัดใจไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
“ศิษย์พี่โหย่วฉิน” บนใบหน้าของหลันหลิงเผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านมาที่ยอดเขาหยกน้อยของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”
โหย่วฉินเสวียนหย่าลืมตาขึ้นและตอบอย่างนุ่มนวลว่า “หลังจากที่ข้ากลับไปที่ภูเขาแล้ว ข้าก็ถูกลงโทษให้ปิดด่านสำนึกผิดในการกระทำของข้าอยู่บนยอดเขาพิชิตสวรรค์ จึงไม่มีโอกาสมาขอบคุณศิษย์พี่ฉางโซ่วเลย วันนี้ข้าเพิ่งออกมาจากการปิดด่านและตระหนักว่าช่วงรับโทษนั้นได้ผ่านไปแล้ว ข้าจึงได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ให้มาที่ยอดเขาหยกน้อยเพื่อขอบคุณศิษย์พี่ฉางโซ่ว”
หลันหลิงเอ๋อร์อดจะเอียงศีรษะแล้วถามออกไปอีกไม่ได้ว่า “แล้วศิษย์พี่ของข้าทำอันใด…จึงสมควรได้รับคำขอบคุณจากท่านหรือเจ้าคะ”
“เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวตอบพลางเม้มริมฝีปากของนางเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะลง แต่หลันหลิงเอ๋อร์ก็ทันเห็นประกายแสงในดวงตาดุจอัญมณีเจิดจ้าของนางทั้งคู่นั้นก่อนที่จะได้ยินนางกล่าวต่ออีกว่า “ถึงสองครั้ง”
หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ…
สีหน้าของโหย่วฉินเสวียนหย่าคล้ายกับสีหน้าของข้าในยามที่มองไปที่กระจกทองสัมฤทธิ์และคิดถึงศิษย์พี่!
บัดนี้อาจารย์อาจิ่วสร้างความกดดันให้ข้าอย่างมาก และจู่ๆ ก็ยังมีมาอีกหนึ่ง โหย่วฉินเสวียนหย่าที่ดูเหมือนจะตกลงมาจากฟากฟ้าผู้นี้!
เป็นอีกครั้งที่หลันหลิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเอามือก่ายหน้าผากของนาง และกรีดร้องออกมาด้วยความหงุดหงิดเดือดดาลอยู่ภายในใจ ทว่าบางครั้งนางก็รู้สึกเศร้าใจอยู่ลึกๆ แล้วนางก็รู้สึกย่ำแย่ไปทั่วทั้งร่าง
แน่นอนทีเดียว ข้าคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อพิชิตใจศิษย์พี่ให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงฝันร้ายมากกว่านี้…
“หือ? เสี่ยวหยา เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ด้วยเล่า?”
ทันใดนั้นจิ่วจิ่วก็ถามออกมาด้วยความงุนงงขณะที่ลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ตา
โหย่วฉินเสวียนหย่าจึงกล่าวซ้ำออกมาด้วยความเคารพขณะที่ลุกขึ้นโค้งคารวะให้จิ่วจิ่วก่อนจะนั่งลงอีกครั้งเมื่อได้รับอนุญาตจากนาง
หลังจากนั้นจิ่วจิ่วก็มองไปที่หลันหลิงเอ๋อร์อีกครั้ง นางปิดปากหาวออกมาก่อนจะถามว่า “ค่ายกลด้านหลังเปิดได้หรือไม่”
หลันหลิงเอ๋อร์รีบตอบว่า “มิได้เจ้าค่ะ อาจารย์อาจิ่ว ดูเหมือนว่าศิษย์พี่กำลังหลอมโอสถหรือฝึกฝนอยู่ ข้าเพิ่งเรียกเขาด้วยยันต์อักษรไปก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร เห็นได้ชัดว่าได้กำหนดเวลาหลอมโอสถเอาไว้แล้ว…บางทีเขาอาจกำลังทำความเข้าใจในบางอย่างอยู่”
จิ่วจิ่วมองไปที่หลันหลิงเอ๋อร์แล้วจากนั้นเหลือบมองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดีจริงที่เสี่ยวหยาก็มาที่นี่ด้วย หลิงเอ๋อร์เรามาเล่นอันนั้นกันเถอะ!”
หลันหลิงเอ๋อร์ถามด้วยเสียงเบาว่า “อันไหนที่อาจารย์อาจิ่วกล่าวถึงเจ้าคะ”
ดวงตาของจิ่วจิ่วสว่างเจิดจ้าขึ้น “อันที่พวกเราเล่นกับศิษย์พี่ของเจ้าเมื่อเดือนก่อน! เจ้าคงจะไม่บอกว่ามันเป็นของที่สงวนเอาไว้สำหรับยอดเขาหยกน้อยเท่านั้นใช่หรือไม่”
“อันนั้น? แน่นอนเราเล่นได้เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์อาโปรดรอสักครู่นะเจ้าคะ” หลันหลิงเอ๋อร์เคาะนิ้วของนางแล้วผลักเบาๆ ที่โต๊ะเตี้ยที่อยู่ข้างหน้านางให้ไปที่ประตูทางเข้า ทันใดนั้นก็มีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ปรากฏออกมาระหว่างสตรีทั้งสามคน
หลังจากนั้นนางก็หยิบหนังสัตว์สะอาดออกมาจากคลังเวทจัดเก็บ แล้วกางออกต่อหน้าพวกนางทั้งสามคน บนผืนหนังสัตว์นั้นเป็นภาพวาดเส้นทางยาวที่ทอดผ่านหมู่เมฆ และเส้นทางเมฆนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ นอกจากนี้ยังมียอดเขาและแอ่งน้ำขนาดใหญ่มากมายตลอดเส้นทาง
จากนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็เอ่ยถาม “ศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินอยากเล่นด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ”
โหย่วฉินเสวียนหย่าลังเลเล็กน้อยเมื่อมองดู ‘แผนที่’ นางไม่เข้าใจว่ามันมีไว้เพื่ออะไร
แล้วจิ่วจิ่วก็กล่าวออกมาว่า “เสี่ยวฉางโซ่วทำมันขึ้นมา มันน่าสนใจสุดๆ ไปเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหยวฉินเสวียนหย่าจึงพยักหน้าทันทีและตอบว่า “หากเป็นผลงานของศิษย์พี่ฉางโซ่ว เช่นนั้นข้าก็ขอร่วมเล่นด้วย”
“ศิษย์พี่โปรดดูกฎก่อนเจ้าค่ะ มันถูกเขียนไว้ตรงนี้”
โหย่วฉินเสวียนหย่ามองตามนิ้วของหลันหลิงเอ๋อร์ที่ชี้ไป แล้วก็เห็นลายมือที่คุ้นเคยก่อนจะอ่านกฎออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวล
“วิถีเซียนหรือที่รู้จักกันในนามว่า ‘การจำลองชีวิตเซียน’ หรือ ‘ระบบเฉพาะเซียน’…
ผู้เล่นจะต้องวางหุ่นไม้ที่เป็นตัวแทนของตัวเองบนจุดเริ่มต้นของวิถีเซียน จากนั้นก็โยนลูกเต๋าเพื่อรับคะแนนและเคลื่อนที่หุ่นไปข้างหน้าตามคะแนนที่ได้ ทุกครั้งที่หยุดลงในวีถีเซียนก็จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น
เมื่อเริ่มเดินทาง แต่ละคนจะได้รับศิลาวิญญาณสามร้อยก้อนซึ่งจะแสดงเป็นตัวเลขแทน และคนแรกที่ไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางก็จะเป็นผู้ชนะ หรือหากผู้เข้าร่วมเล่นต้องการจะจบการเล่นไปก่อนก็จะนับจำนวนศิลาวิญญาณเพื่อตัดสินผู้ชนะ…
จำไว้ว่า ห้ามใช้ปราณสัมผัสรับรู้หรือสัมผัสเซียนรับรู้ของท่านเพื่อตรวจสอบหีบสมบัติต่างๆ และห้ามใช้พลังเวทเพื่อควบคุมลูกเต๋าเช่นกัน”
หลังจากที่โหย่วฉินเสวียนหย่าอ่านจบ หลันหลิงเอ๋อร์ก็จัดวางหีบสมบัติไม้หลากสีสันหลายหีบไว้ข้างๆ ซึ่งในแต่ละหีบสมบัติไม้ก็มีแผ่นป้ายสี่เหลี่ยมมากมาย และแต่ละแผ่นป้ายยังมีฉลากกำกับอยู่อย่างแตกต่างกันเช่นกัน
หลันหลิงเอ๋อร์หยิบหุ่นสีซึ่งมีสีต่างกันอีกสามตัวมาวางไว้ที่จุดเริ่มต้นของเส้นทางแล้วหยิบลูกเต๋าหกด้านออกมา
จากนั้นพวกนางทั้งหมดก็เริ่มเล่น
โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันคิดว่า ‘ข้าเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนจากที่ใดกันนะ?’ ขณะนั้นนางรู้สึกสับสนในใจ
เวลานั้นจิ่วจิ่วก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มาเล่นกันสักครั้ง แล้วเจ้าจะเข้าใจมัน! เสวียนหย่า! มา มา เริ่มกันเลย ข้าจะเริ่มโยนลูกเต๋าก่อน!”
หลันหลิงเอ๋อร์รีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เราต้องเล่นเป่ายิ้งฉุบกันก่อนเพื่อตัดสินว่าผู้ใดจะได้เริ่มทอยลูกเต๋าก่อนนะเจ้าคะ”
“ก็ได้ ก็ได้! สาวน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนช่างไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสและเมตตาเด็กเลย เช่นนั้นก็มาเล่นเป่ายิ้งฉุบกันเถอะ!”
โหย่วฉินเสวียนหย่ามองไปที่อาจารย์อาจิ่วจิ่วที่กระสับกระส่ายผู้นี้เล็กน้อย จากนั้นก็ดูหลันหลิงเอ๋อร์ที่เพิ่งสอนอาจารย์อาของนางอย่างจริงจัง นางรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็เล่นเป่ายิ้งฉุบเพื่อตัดสินว่าผู้ใดจะได้เริ่มทอยลูกเต๋าก่อน…
และนางก็เป็นผู้ชนะ!
โหย่วฉินเสวียนหย่าเริ่มเล่นก่อน นางทอยลูกเต๋าได้ห้าแต้ม จากนั้นนางก็หยิบหุ่นไม้ของนางแล้วก้าวขึ้นไปห้าก้าวบนเส้นทางในก้อนเมฆ ก่อนที่จะมองดูถ้อยคำที่ระบุอยู่ใต้เท้าของหุ่นนาง
‘เจ้าทำได้ดีมากเมื่อทำความสะอาดบันไดของสำนัก ผู้อาวุโสของสำนักให้รางวัลยี่สิบก้อนศิลาวิญญาณแก่เจ้า’
“ศิษย์พี่หญิง ท่านสามารถระบุ ‘บวกยี่สิบ’ ข้างหลังจำนวนศิลาวิญญาณของท่านในยามนี้เจ้าค่ะ!”
“อ้อ ได้สิ” โหย่วฉินเสวียนหย่าทำตามคำแนะนำของหลันหลิงเอ๋อร์แล้วเริ่มทำความเข้าใจกฎคร่าวๆ
จากนั้นจิ่วจิ่วที่อยู่ด้านข้างก็คว้าลูกเต๋าขึ้นมาแล้วเป่าลมลงบนฝ่ามือของนางก่อนจะโยนมันลงไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นว่าตัวเลขที่ลูกเต๋าหงายขึ้นเป็น ‘สาม’ จิ่วจิ่วก็ยิ้มกว้างทันที จากนั้นก็ขยับหุ่นไม้ของนางไปข้างหน้าสามก้าว และไปหยุดลงบนสี่เหลี่ยมที่มีรูปดาวห้าแฉกสีม่วง
“เร็วเข้า เอาหีบสมบัติสีม่วงให้ข้า ข้าจะหยิบแผ่นป้าย ข้าจะหยิบแผ่นป้าย!”
หลันหลิงเอ๋อร์มอบหีบสมบัติสีม่วงให้ จากนั้นจิ่วจิ่วก็เอื้อมมือมาควานหาอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ดึงแผ่นป้ายไม้ออกมาอย่างรวดเร็ว
“ของดี ของดี!…หลิงเอ๋อร์ ถึงตาเจ้าแล้ว! โยนลูกเต๋าเลย! แล้วให้โอสถสีทองเม็ดใหญ่กับอาจารย์อาของเจ้าด้วย!”
โหย่วฉินเสวียนหย่าสังเกตแผ่นป้ายไม้อย่างใกล้ชิดและเห็นคำว่า ‘ข้าด้วย’ เขียนอยู่ที่ด้านหน้า และที่ด้านหลังมีถ้อยคำอธิบายไว้สองบรรทัดว่า
‘เมื่อผู้เล่นทุกคนในรอบนี้ถึงตาของพวกเขาแล้ว ผู้ที่มีแผ่นป้ายนี้สามารถเลือกที่จะทำซ้ำผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับในรอบนี้ได้’
“มันขึ้นอยู่กับข้า! ฮึ่ม!”
จากนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็โยนลูกเต๋าและได้รับสองแต้ม เมื่อเดินไปสองก้าวก็จะไปหยุดในช่องสี่เหลี่ยมที่ว่างเปล่า ซึ่งจะไม่มีผลประโยชน์ใดๆ
จิ่วจิ่วมองอย่างไม่พอใจ จากนั้นยื่นแผ่นป้ายไม้ให้โหย่วฉินเสวียนหย่าแล้วร้องตะโกนว่า “ข้าด้วย!…อะไรกัน หายากมากที่จะได้แผ่นป้ายเช่นนี้ แต่ข้ากลับได้ศิลาวิญญาณเพียงยี่สิบก้อนเท่านั้น”
แม้แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าก็อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ก่อนจะหยิบลูกเต๋าขึ้นมาโยนลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ คราวนี้มีเหตุการณ์สุ่มป้ายเกิดขึ้น และมีการเลือกหยิบแผ่นป้ายไม้ไผ่ออกมาจากกล่องสมบัติไม้สีฟ้า
‘ได้พบคู่ที่ดี เจ้าได้พบคู่บำเพ็ญเต๋าที่จะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต เจ้าจะมีการจัดงานเลี้ยงแต่งงาน และสามารถให้ผู้เข้าร่วมเล่นคนอื่นๆ มอบศิลาวิญญาณให้เจ้าคนละหนึ่งร้อยก้อนเป็นของขวัญได้’
หลังจากนั้นจิ่วจิ่วและหลันหลิงเอ๋อร์ต่างก็พร่ำบ่นออกมาไม่หยุดทันที
ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าร้องอุทานออกมาเบาๆ ว่า “ขอข้าดูแผ่นป้ายที่เหลือสักหน่อยได้หรือไม่ ศิษย์พี่ฉางโซ่วช่างมีความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
แม้สตรีทั้งสองจะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แต่จิ่วจิ่วและหลันหลิงเอ๋อร์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดการเล่นลงชั่วคราว แล้วเทแผ่นป้ายไม้ไผ่ ไม้ ทองสัมฤทธิ์ และหยกออกมาจากกล่องตามลำดับเพื่อให้โหย่วฉินเสวียนหย่าได้ดูพวกมัน
มีแผ่นป้ายสิบสองแผ่นสำหรับแต่ละชนิดของวัสดุ วิชาเวทการกำหนดเป้าหมาย เหตุการณ์เชิงบวกโดยบังเอิญ เหตุการณ์เชิงลบโดยบังเอิญ และสมบัติตามลำดับ
นี่ดูคล้ายสิ่งใด…?
‘ข้ารู้สึกทุกข์ใจเหลือเกิน…เจ้าพบกับความทุกข์ยากลำบากมากมายในวิถีการฝึกฝนของเจ้า เจ้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่ต้องผ่านสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อไปถึงขอบเขตพลังนี้ และเพื่อเป็นการปลอบใจเจ้า ผู้เล่นคนอื่นๆ แต่ละคนจะมอบศิลาวิญญาณให้เจ้าห้าสิบก้อน’
‘จิตอริยะ…ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว’
‘ฟุ้งซ่าน…เจ้าหมกมุ่นอยู่กับบทกวี การร้องเพลง และการเต้นรำนานเกินไป จึงละเลยการฝึกฝนทำให้การเดินทางฝึกฝนของเจ้าล่าช้าจนเสียโอกาสที่จะโยนลูกเต๋าในสองรอบถัดไป’
‘ป้ายจอมโกง…เจ้าใช้กลวิธีการโกงขนาดใหญ่และโกงเป้าหมายที่เจ้าเลือกได้สำเร็จ และเจ้าจะได้รับศิลาวิญญาณสองร้อยก้อนหรือสมบัติใดๆ หนึ่งชิ้นที่เจ้าเลือกจากคนผู้นี้’
ช้าก่อน คอยก่อน…
“ศิษย์พี่ฉางโซ่วเป็นคนทำทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่” โหย่วฉินเสวียนหย่าเอ่ยด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่สตรีทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆ นางทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักเพื่อยืนยัน
“หยุดดูได้แล้ว เสวียนหย่า เล่นต่อกันเถอะ!”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์อา ศิษย์เสียมารยาทแล้ว สิ่งนี้เป็นของที่น่าสนใจยิ่ง”
“ว้าวๆ ดูข้าสิ! ฮ่าฮ่า ข้าได้แผ่นป้ายอีกแล้ว! ปรากฏว่าเป็น ‘ข้าด้วย’!”
“ท่านอาจารย์อาจิ่ว ห้ามโกงเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้โกงนะ ข้ายังจำเป็นต้องโกงเมื่อเล่นกับพวกเจ้าทั้งคู่อีกหรือ”
และแล้วกระท่อมมุงจากหลังน้อยก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างช้าๆ จนบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจซึ่งเคยมีอยู่ก่อนหน้านี้หายไปจนหมด
จนเวลาล่วงเลยมาถึงยามค่ำ
หลังจากที่ได้อ่านพระสูตรนิรกรรมเล่มที่หนึ่งแล้ว หลี่ฉางโซ่วซึ่งเพิ่งทะลวงด่านผ่านขึ้นไปในระดับเล็กได้อีกก้าว ก็เดินออกจากป่ามาอย่างช้าๆ
เขาอยู่ในห้องลับตลอดเวลา เวลานี้เขาทำให้พลังลมปราณของเขาคงที่แล้ว และจะไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นขอบเขตพลังที่แท้จริงของเขาได้
จากระยะไกลเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากกระท่อมมุงจาก และเมื่อแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไป เขาก็พบกับร่างของโหย่วฉินเสวียนหย่า
ตัวอันตราย…ไฉนนางจึงมาที่นี่ได้
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็หันหลังเดินกลับไปหอโอสถเงียบๆ เสียงหัวเราะจากด้านหลังลอยตามมากับสายลม
เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นเต็มที่ของจิ่วจิ่ว “ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าด้วย! อาจารย์อาของพวกเจ้าจะรวยแล้ว!”
ในขณะที่เสียงหัวเราะของโหย่วฉินเสวียนหย่านั้นแผ่วเบานุ่มนวล และหายากมากที่จะได้ยินนางบ่น “เฮ้อ ช่างไม่มีโชคจริงๆ ศิษย์ได้แผ่นป้ายฟุ้งซ่านอีกแล้ว”
ส่วนหลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งเป็นผู้ชนะในรอบนี้ หัวเราะอย่างมีชัยขณะที่กล่าวกับสตรีอีกสองคนว่า “ข้าได้รับแผ่นป้าย ‘ยากเกินไปสำหรับข้า’! ได้เวลาต้องสะสมศิลาวิญญาณแล้ว!”
หลี่ฉางโซ่วอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็เปิดใช้ค่ายกลภายนอก คิดถึงเรื่องที่จะต้องออกเดินทางไปยังทะเลบูรพาในอีกสองสามวันนี้
ต้องตรวจสอบคลังเวทจัดเก็บของข้าอีกครั้ง
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ อาจารย์อาจิ่วจิ่วได้ช่วยหลอมโอสถพิษหลายอย่างที่สามารถสังหารได้แม้กระทั่งเซียนเสิ่น
ข้าจะจัดการแปรรูปโอสถเหล่านี้เป็นผงพิษหรือพิษเหลวเพื่อช่วยให้สะดวกมากขึ้นในการต่อสู้ในภายหลัง ถึงแม้จะไม่ต้องใช้มันในครั้งนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
…………………………………………………………………………………………………………………