แต่ละฝ่ายตอบรับคำเชิญและส่งคนไปที่สมาคมร้านค้า ที่ตั้งสมาคมร้านค้าไม่ได้อยู่ที่แดนรัตติกาล แต่อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนั้นที่ฮ่าวเต๋อฟางยกให้ เหมียวอี้เปลี่ยนชื่อดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวสยบใต้
จุดประสงค์ของสมาคมร้านค้าก็คือแบ่งผลกำไร ร้านค้าใหม่ที่เดิมทีจะเก็บไว้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่ต้องตัดแบ่งผลประโยชน์ไปเนื่องจากกลยุทธ์การถอนตัวของเขา เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ร้านขายของชำไม่เหมือนระฆังดาราแบบใหม่ที่บทจะขายก็ขายได้ ช่องทางการจำหน่ายของร้านขายของชำจะต้องเปิดหน้าร้านถึงจะสามารถทำกำไร และอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ปล่อยออกมาแล้ว ถ้าขาดการปกป้องจากทางการ ถ้าไม่ให้ส่วนแบ่งกำไร ก็ไม่อาจรักษาร้านขายของชำไว้ได้เลย ถ้าถูกคนมาหาเรื่องบ่อยๆ แล้วจะดำเนินกิจการได้อย่างไร?
เพียงแต่เมื่อมีฮ่าวเต๋อฟางเป็นหน่วยป้องกันแนวหน้าให้ การแบ่งผลกำไรของเหมียวอี้ก็มิอาจไร้ขีดจำกัดได้ หุ้นสองส่วนที่รับปากว่าจะให้สำนักลมปราณก็ยังไม่เปลี่ยน ตัวเองรักษาไว้สามส่วน ที่เหลืออีกห้าส่วนก็แบ่งให้ห้าตระกูล ทั้งยังไม่ใช่การให้เปล่าด้วย จะใช้ทุนทรัพย์เดิมที่มีในร้านขายของชำซื่อตรงมาเข้าร่วมหุ้น ร้านค้าสำเร็จรูปแบบนี้ ถ้าจะไม่เอาก็เสียของเปล่า เป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะควักต้นทุนมหาศาลสร้างร้านใหม่เพื่อให้คนพวกนั้นเอาไปเปล่าๆ อีก อาศัยศักยภาพของเขาตอนนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น
เหมียวอี้ไม่ได้เข้าร่วมสมาคมร้านค้าด้วยตัวเอง แบ่งเส้นตายในการเจรจาไว้ชัดเจน รายละเอียดการเจรจาส่งต่อให้สวีถังหราน กำชับสวีถังหรานว่าสามารถใช้อำนาจได้ ถ้าใครรังเกียจว่าน้อยก็สามารถตัดทิ้งได้
ภายใต้สถานการณ์ที่เหมียวอี้กำหนดเส้นตายไม่ยอมผ่อนปรน ผลสุดท้ายของการเจรจาก็มีแต่จะต้องเป็นอย่างไร
จนกระทั่งตอนนี้ หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นของเหมียวอี้ก็ถูกทวงคืนกลับมาแล้ว ทั้งยังมีเพิ่มอีกหนึ่งส่วน แม้จะยังต้องแบ่งส่วนหนึ่งในหวงฝู่จวินโหรวก็ตาม แต่ถึงอย่างไรร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นก็ไม่ได้มีขนาดเหมือนตอนนี้ สรุปก็คือเหมียวอี้ก็ยังได้กำไร ส่วนหุ้นสองส่วนที่สำนักลมปราณได้ไป ก็เรียกได้ว่าเหมียวอี้ช่วยช่วงชิงผลประโยชน์ส่วนที่สำนักลมปราณควรจะได้กลับมาให้แล้ว
ตามที่เหมียวอี้บอก ของที่ข้าเสียไป ข้าจะนำกลับมาด้วยมือตัวเองแน่นอน ตอนนี้ถือว่าเขาทำได้แล้ว
เก่าไม่ไปใหม่ไม่มา เหมียวอี้เปลี่ยนชื่อร้านค้าใหม่อย่างเป็นทางการว่าร้านค้าซื่อตรง ทิ้งคำว่าร้านขายของชำไปแล้ว
ส่วนสำนักลมปราณก็ตั้งอยู่ที่ดาวสยบใต้ มีอำนาจของเหมียวอี้หนุนหลังอย่างเป็นทางการ
อุทยานหลวง ตำหนักที่เงียบสงบงดงาม มีเพียงประมุขชิงกับพระชรารูปหนึ่งเดินเคียงข้างกัน ไม่มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้
พระชราอ้วนท้วนสมบูรณ์ สีหน้ามีเมตตา สวมจีวรสีทองทั้งตัว เดินเท้าเปล่า ให้ความรู้สึกเรียบง่ายทว่าสง่างาม
พระชรารูปนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นประมุขแห่งแดนพุทธะนั่นเอง
ประมุขชิงเดินเอามือไขว้หลัง ในมือประมุขพุทธะถือปิ่นปักผมอันหนึ่งที่ผ่านการเผามาแล้ว พลิกตรวจดูอยู่นานมาก แล้วดมซ้ำไปซ้ำมา กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แน่ใจหรือว่าเป็นไม้ไม่ผุ?”
“สอดคล้องกับลักษณะพิเศษตามตำนาน น่าจะเป็นของจริง” ประมุขชิงพยักหน้า
ประมุขพุทธะยื่นมือส่งของคืนให้เขา “ยังหาไม่เจออีกเหรอ?”
“หาพบคนเดียวก็ใช้ไม่หมด ไม่ใช้งานลับหลังท่านหรอก จะต้องให้ท่านมีส่วนแบ่งด้วยแน่นอน” ประมุขชิงส่ายหน้า
“เจ้าเข้าใจเจตนาของอาตมาผิดไปแล้ว” ประมุขพุทธะ
ประมุขชิงยิ้มเรียบๆ โดยไม่ตอบอะไร แล้วก็ถอนหายใจอีก “เบาะแสหยุดที่สำนักเทียนกู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครชิงตัวคนของสำนักเทียนกู่ไปแล้ว ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วน่าสงสัยที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วมีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้มากที่สุด แต่จนใจที่ไม่มีหลักฐานและเบาะแสมาพิสูจน์ว่าตระกูลเซี่ยโห้วพาคนไป ไม่รู้จะลงมือจากตรงไหน”
ประมุขพุทธะตกอยู่ในความเงียบ
ประมุขชิงมองเขาแวบหนึ่งแล้วถามว่า “เจดีย์สยบปีศาจไม่มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเหรอ?”
ประมุขพุทธะส่ายหน้า “ไม่มีความผิดปกติอะไร! เฮ้อ กลุ่มคนที่ไล่สังหารร่างทิพย์ของเจ้าสามในปีนั้น ทำไมจู่ๆ ทุกคนถึงขาดการติดต่อไปได้ จะเป็นหรือตายก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลยสักคน ไล่ติดตามในดาราจักรอันกว้างใหญ่หลายปีโดยไม่หยุด ต่อให้มีชีวิตอยู่แต่ก็คงหลงทางไปนานแล้ว เจ้าคิดว่าร่างทิพย์ของเจ้าสามจะยังหาทางกลับมาได้หรือเปล่า?”
ประมุขชิงตอบว่า “ร่างทิพย์ของเจ้าสามยังอยู่แน่นอน ต้องกลับมาได้แน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่เงียบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจนานขนาดนั้น ท่านคิดว่าเจ้าสามคือคนที่จะนั่งรอความตายอยู่ในนั้นเหรอ?”
ประมุขพุทธะประนมมือ แล้วถามอีกว่า “พบเบาะแสสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแล้วหรือยัง?”
“เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ พอพูดถึงเรื่องนี้ อวี้หลัวช่าทางฝั่งท่านเหมือนจะขยันเดินทางไปบริเวณที่มีเบาะแสนะ ท่านไม่รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลบ้างเหรอ” ประมุขชิงกล่าว
“เดิมทีนางก็คือผู้รอดชีวิตของสำนักหนานอู๋ หวาดกลัวพระปีศาจหนานโปมากกว่าคนทั่วไป ที่กังวลเรื่องนี้ก็พออภัยได้ เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่านางรู้สถานที่ผนึกแล้วหรอกใช่มั้ย? ถ้านางรู้จริงๆ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว คงไม่รอจนถึงป่านนี้” ประมุขพุทธะกล่าว
ประมุขชิงไม่ได้พูดอะไรอีก
ตรงด้านหน้า ซ่างกวนชิงปรากฏตัวบนทางเดิน หลังจากรอจนทั้งสองเดินเข้ามาแล้ว ก็รายงานว่า “ฝ่าบาท ทูตซ้ายซือหม่าขอพบ”
ประมุขชิงพยักหน้าบอกใบ้ประมุขพุทธะ จากนั้นทั้งสองก็แยกกัน ประมุขพุทธะเดินเนิบนาบต่อไปข้างหน้า ประมุขชิงตามซ่างกวนชิงไปแล้ว
ในอุทยานหลวง ซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพประมุขชิง “ฝ่าบาท ทางสายลับส่งข่าวมาขอรับ”
“ว่ามาเถอะ!” ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ
ซือหม่าเวิ่นเทียนรายงานว่า “ตามที่สายลับรายงานมา สาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อยอมทิ้งอำนาจส่วนใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ ก็เพราะเห็นฝ่าบาทถอนกำลังกองทัพองครักษ์ออกจากศูนย์กลางตลาดสวรรค์ รู้ว่าตัวเองยากจะหาที่ยืนอยู่ท่ามกลางอำนาจฝ่ายต่างๆ ได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหา ถึงได้เป็นฝ่ายถอนกำลังออกไปเอง ส่วนสาเหตุที่ไม่ทิ้งอำนาจที่ตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพใต้ ก็เพราะเขาบรรลุข้อตกลงความร่วมมือลับกับฮ่าวเต๋อฟางแล้ว และสาเหตุที่ฮ่าวเต๋อฟางตอบตกลงร่วมงานกับเขา ก็ไม่ใช่เพราะประกาศก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะในมือหนิวโหย่วเต๋อมีวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ ซึ่งแบบใหม่นี้สามารถใช้ติดต่อกับคนหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน เหมือนวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่จะเกี่ยวข้องกับพวกคนที่ทำเครื่องประดับให้อวิ๋นจือชิว หนิวโหย่วเต๋อมอบผลกำไรครึ่งหนึ่งของระฆังดาราแบบใหม่ให้ฮ่าวเต๋อฟาง…”
“ระฆังดาราแบบใหม่?” ประมุขชิงพูดตัดบทเขาอย่างประหลาดใจ
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ใช่ขอรับ ได้ยินว่าระฆังดาราแบบใหม่หนึ่งอันสามารถติดต่อกับระฆังดาราได้อีกหนึ่งหมื่นอัน สามารถใส่ตราอิทธิฤทธิ์ของคนที่จะติดต่อด้วยได้หนึ่งหมื่นคน ไม่ต้องพกระฆังดาราจำนวนมากติดตัวอีกขอรับ”
ประมุขชิงหรี่ตา ตระหนักได้ถึงผลประโยชน์มหาศาลที่อยู่ในนั้น
ซือหม่าเวิ่นเทียนสังเกตปฏิกิริยาของเขา แล้วพูดต่อว่า “หนิวโหย่วเต๋อยังรับปากว่าจะให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสนับสนุนฮ่าวเต๋อฟางอย่างลับๆ จะได้ไม่มีเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองปรากฏขึ้นอีก ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็มอบอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในมือตัวเองให้หนิวโหย่วเต๋อ พร้อมทั้งใช้ทัพใต้เป็นหน่วยป้องกันแนวหน้าให้หนิวโหย่วเต๋อ จะไม่ให้ใครเข้ามาโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาลในอาณาเขตทัพใต้ ทั้งยังอนุญาตให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าไปฝึกตนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้วย สถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างนี้ขอรับ”
บนใบหน้าประมุขชิงฉายแววพยับเมฆ เหมียวอี้ถอนกำลังพลออกจากตลาดสวรรค์ไปรวมอยู่ในเขตทัพใต้ นี่ไม่ใช่ความเคลื่อนไหวเล็กๆ เขาให้ชิงหยวนจุนถาม คำตอบที่ชิงหยวนจุนได้จากเหมียวอี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องระฆังดาราแบบใหม่เลย เรื่องทัพใหญ่แดนรัตติกาลกับทัพใต้สนับสนุนกันและกัน เรื่องฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เลย เพียงอ้างว่าทำเพราะสิ่งที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
ประมุขชิงรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล หนิวโหย่วเต๋อจะเชื่อคำสัญญาเหลวไหลของฮ่าวเต๋อฟางจนทิ้งผลประโยชน์มหาศาลที่ตลาดสวรรค์ จนถอนกำลังพลไปรวมในตลาดสวรรค์ของทัพใต้ได้เหรอ? ทางนี้ถึงได้ให้ซือหม่าเวิ่นเทียนสืบมา ผลปรากฏว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ซ่อนการสมคบกันด้านผลประโยชน์เอาไว้
การสมคบด้านผลประโยชน์ล้วนเป็นเรื่องรอง นี่เป็นครั้งแรกที่ประมุขชิงพบว่าเหมียวอี้เริ่มปิดบังเรื่องสำคัญบางอย่างกับชิงหยวนจุน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น ไม่อย่างนั้นเขาจะอาศัยอะไรมาสนับสนุนกำลังของเหมียวอี้ล่ะ?
แม้แต่ซ่างกวนชิงก็เริ่มขมวดคิ้วแล้ว ชิงหยวนจุนรายงานข่าวขึ้นมาผ่านเขา เขาย่อมรู้ถึงความผิดปกติของข่าวนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้เป็นคนปิดบัง หรือว่าชิงหยวนจุนเป็นคนปิดบังเขา
หลังจากสีหน้าเคร่งขรึมอยู่พักหนึ่ง ประมุขชิงก็ถามด้วยสายตาเย็นเยียบ “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นอนุภรรยาของเขาที่แอบรายงานขึ้นมาใช่มั้ย?”
“ขอรับ! นอกจากนางก็ไม่มีคนอื่นสืบความลับพวกนี้ได้แล้ว” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม
“ความลับสำคัญขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อบอกอนุภรรยาคนนั้นได้ด้วยเหรอ?” ประมุขชิงเคลือบแคลง
ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจความคิดของเขา จึงตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ตอนแรกข้าน้อยก็สงสัยเหมือนกัน เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อต่างกับคนอื่นจริงๆ เหมือนจะไม่ค่อยปิดบังอะไรผู้หญิงของตัวเอง อย่าว่าแต่เรื่องพวกนั้นเลย ฮูหยินของเขาถึงขั้นสามารถเข้าไปแทรกแซงเรื่องในกองทัพได้อย่างสง่าผ่าเผย เป็นอย่างนี้มาตลอดขอรับ แน่นอน สุดท้ายแล้วก็เป็นสายลับคนนั้นที่ได้รับความเชื่อใจจากหนิวโหย่วเต๋ออย่างแท้จริงแล้ว ที่จริงการจะได้รับความไว้ใจจากเขาก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีแค่ภรรยาเอกกับอนุภรรยาหนึ่งคน ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงคนอื่น แค่นี้ก็เห็นถึงความระวังตัวของเขาแล้ว” บางสิ่งที่พูด ถ้ามองจากมุมของหน่วยตรวจการซ้ายก็นับว่าไม่ผิด
“หึ!” ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “เจ้าโจรชั่วนั่นน่ารังเกียจนัก ข้าชุบเลี้ยงเขาขึ้นมา ไม่น่าชื่อว่าจะไปสมคบกับฮ่าวเต๋อฟาง!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกว่า “ฟังจากที่สายลับบอก ครั้งก่อนสี่ทัพเตรียมจะโจมตีแดนรัตติกาล ทำให้หนิวโหย่วเต๋อตระหนักได้ถึงวิกฤติ หนิวโหย่วเต๋อเห็นฝ่าบาทไม่มีทีท่าว่าจะลงมือ เหมือนจะบ่นนิดหน่อยด้วย ตอนนี้ถึงได้สละผลประโยชน์เพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง”
“หึ!” ประมุขชิงแสยะยิ้มอีกครั้ง แล้วกำชับว่า “ปกป้องสายลับข้างกายเขาให้ดี จะให้ตัวตนถูกเปิดโปง เก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้มากในอนาคต!”
“รับทราบ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ
ฉวยโอกาสตอนที่กำลังหลักของฝ่ายต่างๆ กำลังเพ่งความสนใจไปที่ไม้ไม่ผุ ไม่ตอบสนองกับการเคลื่อนไหวของตนมากเกินไป เหมียวอี้จัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด รัวดาบฟันฟ่อนฟางอย่างไม่ลังเล ปฏิบัติการที่ต่อเนื่องได้สร้างเสถียรภาพของทัพใหญ่แดนรัตติกาลในใต้หล้าได้อย่างรวดเร็ว ช่วงชิงเวลาให้เขาได้ย่อยกำลังพลกลุ่มนี้ได้ครอบคลุมทั่วทุกด้าน แม้จะเสียสละผลประโยชน์ไปไม่น้อยก็ตาม
สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวชื่นชมมาก รู้สึกว่าเหมียวอี้ก็ดีตรงนี้ ยามถึงช่วงเวลาสำคัญก้ลงมืออย่างไม่เลอะเลือน เมื่อเจอเรื่องที่พัวพันรัดตัวก็ตัดทิ้งอย่างไม่ลังเล ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนี้คือสิ่งที่หยางชิ่งเทียบไม่ติด เรื่องบางเรื่องหยางชิ่งก็คิดมากเกินไป คิดถึงปัญหาครอบคลุมทุกด้าน อ้อมไปอ้อมมาจนเหนื่อย
ในสายตาของอวิ๋นจือชิว นี่คือความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่ชายผู้กุมอำนาจชี้ขาดควรจะมี คนประเภทหยางชิ่งแม้จะฉลาดมากอุบาย แต่กลับคิดคำนวณมากเกินไป ทำเรื่องใหญ่ไม่สำเร็จ
ใจคนมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับทัพใหญ่แดนรัตติกาลหลายสิบล้านที่หวาดหวั่นกลัวประสบหายนะ
เหมียวอี้แก้ไขวิกฤติที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเผชิญอย่างรวดเร็ว ทั้งข้างบนข้างล่างล้วนโล่งใจ ทุกคนยอมรับผู้บัญชาการสูงสุดท่านนี้แล้ว ยอมรับแล้วว่าเหมียวอี้สามารถปกป้องพวกเขาได้ ทุกคนเริ่มปรับตัวกับที่นี่ได้ สมาชิกในครอบครัวที่หวาดหวั่นพวกนั้นก็อยู่ที่นี่อย่างสงบใจแล้วเช่นกัน
อวิ๋นจือชิวและผู้หญิงในครอบครัวก็มีเวลาว่างมาเล่นอย่างอื่นแล้วเช่นกัน
ในห้องสมาธิ ไม้ไม่ผุที่เผาแล้วปล่อยควันหอม หมอกควันตลบอบอวล อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ หลินผิงผิง เฟยหง ผู้หญิงทั้งสี่คนเปลือยล่อนจ้อน ไม่ใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว อาบแช่อยู่ในหมอกควันด้วยสีหน้าดื่มด่ำ
ควันนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ไม่ทำให้รู้สึกระคายเคืองเลยสักนิด หลังจากดูดซับผ่านรูขุมขนแล้วก็รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายไปทั้งตัว
…………………………