“เสี่ยวจิ่ว เจ้าไม่จำเป็นต้องอายข้าหรอก ข้าจะสอนการแต่งตัวแต่งหน้าให้เจ้าก่อน…”
“ไอ้หยา ข้าไม่ต้องการ”
“มาเถอะน่า! มาให้พี่สี่ดูเสี่ยวจิ่วของพี่ว่าเป็นอย่างไรในยามนี้ก่อน”
“ศิษย์พี่สี่ อย่ามายุ่งกับข้า…มันน่ารำคาญ! อ๋าย!”
ในยามอาทิตย์อัสดง เสียงหัวเราะดังลั่นของเซียนสตรีทั้งสองก็ลอยมาใกล้ๆ
ภายในบ้านข้างๆ นั้น นักพรตเต๋าร่างเตี้ยที่มีรอยคล้ำใต้ดวงตาลึกโหลและดูซีดเซียวก็ส่ายศีรษะขณะที่เปิดค่ายกลภายนอกบ้านของจิ่วจิ่ว
เขามองดูอาหารว่างนับสิบบนโต๊ะตรงหน้าเขา และอดจะกระตุกปากไม่ได้
ในงานชุมนุมหาประสบการณ์ครั้งนี้ จิ่วจิ่วก็ยังคงไปเป็นผู้คุ้มกันที่ดินแดนเทวะอุดร และเพราะมีปัญหาเล็กน้อยในครั้งก่อน คราวนี้ทางสำนักจึงได้ส่งเซียนเสิ่นไปกับนางอีกผู้หนึ่ง
ทว่าคราวนี้ก็มีศิษย์เพียงสองคนเท่านั้นที่จะเดินทางไปยังดินแดนเทวะอุดร
ในงานชุมนุมหาประสบการณ์ ผู้นำศิษย์โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ปรากฏกายขึ้นตรงเวลาในชุดสีแดงเพลิงพร้อมด้วยกระบี่ใหญ่ของนางที่สะพายเอาไว้ข้างหลัง
อย่างไรก็ตาม นางเพียงรอจนกว่าทุกคนจะแบ่งแยกกันไปเป็นกลุ่มได้แล้ว แต่นางไม่ได้เข้าร่วมในงานชุมนุมนี้ จากนั้นก็หันกลับไปปิดด่านบำเพ็ญเพียรในถ้ำของนาง
ดังนั้นศิษย์ทั้งสองคนที่มุ่งหน้าไปยังไปดินแดนเทวะอุดรจึงได้รับการปฏิบัติดูแลพิเศษอย่างดีเยี่ยมโดยมีเซียนเสิ่นเป็นผู้คุ้มกันที่คอยปกป้องลับๆ แบบตัวต่อตัว…
การไปและกลับจากดินแดนเทวะอุดรนั้นใช้เวลาหลายเดือน บวกกับอีกสองสามเดือนหลังจากที่กลับมาแล้ว จิ่วจิ่วก็นึกถึงที่ศิษย์พี่หญิงสี่ของนางได้เคยกล่าวกับนางเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้
จิ่วจิ่วผู้ซึ่งคิดว่านางไม่มีความรู้สึกอื่นใดต่อหลี่ฉางโซ่ว นอกเหนือจากการเป็นสหายร่วมเล่นสนุกด้วยกันล้วนๆ ก็ค่อยๆ เริ่มหมกมุ่นอยู่กับความสงสัยในตัวเองทีละน้อย
เป็นไปได้หรือไม่ว่านางมีความรู้สึกประทับใจต่อเสี่ยวฉางโซ่วโดยไม่รู้ตัว
นั่นเป็นไปไม่ได้ แม้ความสัมพันธ์ระหว่างอาสาวกับหลานชายจะน่าตื่นเต้นเล็กน้อย แต่นางก็ดูแล เสี่ยวฉางโซ่วในฐานะผู้เยาว์วัยกว่านางมาโดยตลอด แค่บังเอิญว่านางก็ได้รับการดูแลกลับจากเสี่ยวฉางโซ่วด้วยเช่นกัน…
จิ่วจิ่วยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่นจนไม่อาจนั่งสมาธิต่อไปได้
และเวลาสองสามเดือนก็ผ่านไปอีกครั้ง
เมื่อนกกระเรียนกระดาษซึ่งนำข้อความที่หลี่ฉางโซ่วต้องการเชิญนางไปหลอมโอสถด้วยกันมาอยู่ในมือของนาง จิ่วจิ่วพลันกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีปรีดายิ่ง
ทว่าหลังจากนั้นจิ่วจิ่วก็ผงะงัน
“หัวใจของข้าคงไม่ได้ถูกศิษย์หลานที่มีอายุเพียงร้อยกว่าปีเท่านั้นล่อลวงไปได้จริงๆ หรอกกระมัง?”
‘มีถ้อยคำบางคำที่จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ถามออกไปเท่านั้น’
เสียงหัวเราะของศิษย์พี่หญิงสี่ยังคงดังก้องวนเวียนอยู่ในหูของนาง จิ่วจิ่วนั่งบนเตียงพลางพึมพำกับตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นทุบเตียงนอน
กลัวอันใดกัน ก็แค่ถามเขาเท่านั้น!
จิ่วจิ่วพลันเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยสวมเสื้อผ้าป่านที่สะอาด แล้วขึ้นไปนั่งอยู่บนน้ำเต้าขนาดใหญ่ก่อนจะรีบพุ่งปรี่ไปที่ยอดเขาหยกน้อย
คราวนี้หลี่ฉางโซ่วต้องการหลอมโอสถเพื่อเตรียมการเพิ่มเติมให้มากขึ้นสำหรับการออกไปนอกสำนักเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์
เมื่อถึงเวลา จิ่วจิ่วก็รีบวิ่งเข้ามา หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมสมุนไพรพิษหลายชนิดและสวมชุดป้องกันหลายชั้นเอาไว้แล้ว ขณะที่เตรียมอุปกรณ์ป้องกันหลายชั้นเอาไว้ให้นางด้วย
หลังจากที่จิ่วจิ่วสวม ‘ชุดป้องกัน’ ที่ยุ่งยากเช่นนี้เป็นครั้งแรกแล้ว นางก็ไม่เคยฟังคำแนะนำของเขาให้สวมมันเป็นครั้งที่สองอีกเลย
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลี่ฉางโซ่วต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการควบคุมการไหลเวียนของสารพิษจากโอสถพิษเมื่อเขาหลอมโอสถในแต่ละครั้ง ด้วยเกรงว่าเขาจะบังเอิญทำร้ายอาจารย์อาที่ให้การสนับสนุนพลังเซียนอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ
และระหว่างการหลอมโอสถ พวกเขาทั้งสองคุยกันอย่างไม่รู้จบเฉกเช่นเคย
ทว่าจิ่วจิ่วก็ยังคงขบคิดถึงสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงสี่ของนางกล่าวเอาไว้อยู่ในใจ แม้ในระหว่างการหลอมโอสถสิบหกชั่วยามนั้น มีหลายครั้งที่นางพยายามจะเอ่ยถามหลายครั้ง แต่ก็ยังหาจังหวะที่เหมาะสมไม่ได้
มันเป็นแค่คำถามประโยคเดียวนะ เหตุใดมันถึงพูดยากจริง
ข้าไม่อาจทำได้…
เป็นไปได้อย่างไร! ข้าจะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนหรือไม่ ถามเขาแล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อยน่า!
จิ่วจิ่วพลันสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยกมือขึ้นเพื่อจัดปลายผมไปทัดไว้ที่ข้างใบหูของนาง ขณะมองไปที่หลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับโอสถที่ด้านข้าง
ด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ นางจึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอที่สุดว่า “ข้า…ผลงานการหลอมโอสถ…ของข้าในครั้งนี้เป็นอย่างไร”
“ท่านทำได้ดีตามปกติ” หลี่ฉางโซ่วตอบพร้อมกับหัวเราะแล้วกล่าวเสริมว่า “ท่านอาจารย์อา พลังเซียนของท่านช่วยได้มากจริงๆ ขอรับ”
ชั่วขณะนั้น โอสถพิษพลันสั่นเล็กน้อย หลี่ฉางโซ่วก็รีบปรับฤทธิ์โอสถทันที
ขณะเดียวกันนั้น จิ่วจิ่วก็กะพริบตาและยังคงลดระดับเสียงของนางลงอย่างต่อเนื่อง…
“ศิษย์หลานฉางโซ่ว…เจ้าคิดว่าอาจารย์อาเป็นอย่างไร…”
ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดสำหรับการหลอมโอสถ หลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการควบคุมคุณสมบัติของโอสถพิษอย่างเต็มที่ก็ไม่ได้ยินคำพูดของจิ่วจิ่วชัดเจน เนื่องจากเขาสวมใส่อาวุธเวทต้านพิษมากเกินไป และจิ่วจิ่วก็เอ่ยเสียงเบาเกินไป เขาจึงได้ยินแต่ ‘ศิษย์หลาน’ และ ‘อย่างไร’ สองคำเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หัวข้อที่พวกเขาพูดคุยกันมาตลอดก็ดูเหมือนจะเป็น…
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วก็พยักหน้าเบาๆ พลางตอบด้วยรอยยิ้มโดยไม่มองหันหลังกลับไปว่า “แข็งแกร่งและยังมีเสถียรภาพมั่นคงอย่างยิ่ง และที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ บริสุทธิ์ยิ่งปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ”
ทันใดนั้นจิ่วจิ่วก็อ้าปากค้างเล็กน้อย บริสุทธิ์ยิ่งปราศจากสิ่งเจือปน?
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ขมวดคิ้วและหยุดกล่าวไปชั่วขณะพลางจ้องไปที่โอสถพิษในเตาหลอมที่กำลังจะกลายเป็นเม็ดโอสถขึ้นมาในไม่ช้าพลางกล่าวเสริมว่า “และหากเพียงข้าได้มี[1]…”
บัดนั้นทั้งร่างของนางก็กลายเป็นหินไปในทันที พลางชี้ตรงไปที่หลี่ฉางโซ่วด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา
“เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดเรื่องใดกัน”
หลี่ฉางโซ่วตอบว่า “มีอันใดผิดปกติ? ข้าพูดอันใดผิดไปหรือขอรับ”
‘ข้าพูดอันใดผิดไปหรือขอรับ!’
‘แข็งแกร่งยิ่ง และที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ บริสุทธิ์ยิ่งปราศจากสิ่งเจือปน’
‘และหากเพียงข้าได้มี…’
น่าอายอะไรเช่นนี้!
ทันใดนั้นใบหน้างดงามที่กลมเล็กน้อยของจิ่วจิ่วพลันแดงก่ำขึ้นมาทันทีและแผ่ซ่านลงมาถึงลำคอในขณะที่ควันสีขาวพลันพวยพุ่งผ่านออกมาจากหน้าผากของนาง
นางพลันถอยหลังไปครึ่งก้าวและอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเสียงของนางกลับสั่นสะท้าน นางจึงหันหลังกลับแล้วพุ่งร่างทะยานออกไป หลังจากกระโจนผ่านไปสองก้าว นางก็พุ่งขึ้นไปในอากาศแล้วบินตรงไปยังยอดเขาพิชิตสวรรค์…
“หือ?”
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ถูกรบกวนด้วยเสียงของลมและหันศีรษะไปมองอย่างสับสนงงงวย
นางไปแล้วหรือ วันนี้นางจะไม่รับค่าสุราหรือ
พลังเซียนของท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วนั้นเสถียร แข็งแกร่ง และบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นนางจะไม่อาจหลอมโอสถเม็ดแรกในเตาหลอมโอสถและยังช่วยประหยัดวัตถุดิบอีกแปดอย่างที่เขาเตรียมเอาไว้ได้อีกด้วย!
เขาหวังว่าเขาจะมีพลังเซียนบริสุทธิ์แท้จริงเฉกเช่น อาจารย์อาจิ่ว อย่างไรก็ตาม เขากำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในไม่ช้านี้แล้ว
อืม อาจารย์อาจิ่วคงไม่เข้าใจผิดอันใดใช่หรือไม่ หลี่ฉางโซ่วคิดถึงท่าทีของนางอย่างรวดเร็ว ช่างเถิด ตั้งสมาธิและเตรียมพร้อมสำหรับการหลอมโอสถ!
เขาสามารถชี้แจงเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้ในภายหลัง
บัดนี้ระหว่างบรรดายอดเขาในสำนักตู้เซียน…
จิ่วจิ่วซึ่งนั่งและบินไปบนน้ำเต้าใหญ่ ก็คว้าน้ำเต้าที่เอวของนางแล้วเงยศีรษะขึ้นก่อนที่จะมีเสียงกลืนน้ำลายดังอึก
จากนั้นนางก็ปล่อยคลื่นพลังกระแทกราวกับลูกศรพุ่งกวาดออกไปกว่าครึ่งป่าจนขึ้นไปถึงยอดเขาพิชิตสวรรค์ ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งผืนป่าในขณะเดียวกันฝูงวิหคก็บินว่อนด้วยความตื่นตระหนก…
เวลานั้นเทพธิดาน้อยในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านกำลังนอนอยู่บนใบไม้ใบหญ้าที่ร่วงหล่นลงมาหนาทึบใต้ต้นไม้ในป่า นางเอามือบอบบางทั้งสองข้างปิดใบหน้าขณะที่หายใจแรง
แต่ในไม่ช้านางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ใบหน้างดงามบอบบางของนางแดงก่ำ นางยกมือและแขนขาวเรียวงามข้างหนึ่งก่ายหน้าผากของนางเอาไว้ในขณะที่ยกอีกข้างหนึ่งขึ้นบังแสงแดดแรงกล้าที่ลอดผ่านรอยแยกของยอดไม้ลงมา
‘บริสุทธิ์ยิ่ง…’
หึ ไร้สาระจริงๆ
“เพ้ย! ข้ากำลังพูดถึงเรื่องใดกันนี่ นี่มันจริงจังนะ!”
จากนั้นนางก็หยิบ…ชุดกระโปรงเทพธิดาสีสันสดใสซึ่งอยู่ข้างในถุงเก็บสมบัติที่ศิษย์พี่หญิงสี่ทำให้และศิษย์พี่ห้าเป็นผู้นำมามอบให้นางออกมาจากถุง
“ข้ากำลังคิดอันใดอีกแล้วนะนี่ นั่นศิษย์หลานของข้านะ!”
แล้วจิ่วจิ่วก็โยนถุงสมบัติออกไปอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากโยนมันทิ้งไปครู่หนึ่ง นางก็หันศีรษะไปมองมันอีก
ลองดูก็ได้นี่นา แค่อย่าให้ผู้ใดเห็นเท่านั้น…
…………………………………………………………
[1] ในบริบทนี้หมายถึงการตั้งครรภ์