ก่อนหน้านี้เขาได้ขอให้อาจารย์ของเขาออกไปเสี่ยงชีวิตนอกค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา มีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เจ็ดตัวอยู่ในภูเขาและเส้นชีพจรวิญญาณที่ซ่อนเร้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์แต่ละตัวได้แบกตุ๊กตากระดาษต้นกำเนิดจำนวนมากและโอสถพิษอย่างเพียงพอ
ความคิดของหลี่ฉางโซ่วนั้นเรียบง่าย นั่นคือ หากศัตรูภายนอกโจมตีค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา เขาก็จะสามารถควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งเจ็ดจากระยะไกลได้ เขาจะคอยอยู่ด้านหลังและใช้โอสถพิษเพื่อคว้าชัยชนะ และสังหารศัตรูที่บุกรุกเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
นอกจากนี้ ทั้งอาจารย์ของเขาและหลิงเอ๋อร์ ต่างก็มีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ซึ่งแต่ละตัวจะมีไว้เพื่อปกป้องพวกเขาตลอดเวลา
เมื่ออาจารย์ลุงจิ่วอูและอาจารย์ป้าจิ่วซือไปหาผู้อาวุโสว่านหลินหยุนที่ยอดเขาตันติ่ง
แล้วผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็จะทำตามคำแนะนำของเขาและยื่นถุงผ้าที่มี ‘วิธีร้องไห้’ ให้จิ่วอู นอกจากนี้เขายังใช้ภาษาสั่งที่รุนแรงและเข้มงวดมากเพื่อให้จิ่วอูต้องเปิดถุงผ้าเมื่อสำนักของเขาตกอยู่ในอันตราย
สำหรับการเตรียมการขั้นที่สองนั้น หลี่ฉางโซ่วต้องการดำเนินการร่วมกับผู้อาวุโสว่านหลินหยุน…
เขาจึงมาที่นี่
สัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วจับกระแสแสงที่ปรากฏบนยอดเขาตันติ่ง เขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสว่านหลินหยุนจะรีบมาที่ยอดเขาหยกน้อยทันที
เขามองลงไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขา…
การปกปิดของเขาไม่น่าจะถูกเปิดเผย
ตราบใดที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนไม่ได้สัมผัสร่างกายนี้ด้วยมือของเขาเอง…
ช่างมันเถิด ข้าจะอธิบายให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนฟังในภายหลังว่านี่คือร่างจำลองมนุษย์ที่ทำจากกระดาษ
ยิ่งเป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์มากเท่าใด เขาก็ยิ่งไม่อาจหลอกลวงคนผู้นั้นได้มากเท่านั้น
และก่อนที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนจะบินลงมา หลี่ฉางโซ่วก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ร่างที่ตัดกระดาษในห้องลับใต้ดินก็เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน
ความสนใจของมันอยู่ที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์
แม้ว่าเขาจะจดจ่ออยู่กับการฝึกทำงานหลายอย่างพร้อมกันมานับร้อยปีแล้ว แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะควบคุมสติได้หรือไม่
…
การที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเตือนสำนักก็น่าจะได้ผลเช่นกัน
เวลานี้ มียามที่ประตูสำนักมากกว่าปกติจริงๆ
ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและเดินตามผู้อาวุโสว่านหลินหยุนไป เซียนผู้พิทักษ์ประตูสำนักก็โค้งคำนับให้พร้อมกันและกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านจะออกไปหรือขอรับ”
“อืม” ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวพลางยิ้มอย่างเย็นชา
สีหน้าท่าทีของเซียนเหล่านี้ตกตะลึงทันที ก่อนที่พวกเขาจะก้มศีรษะลงและเปิดค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา จากนั้นก็ส่งผู้อาวุโสออกไปภายนอกด้วยความเคารพ
พวกเขาไม่กล้าถามผู้อาวุโสว่านหลินหยุนว่าจะออกไปทำอะไรข้างนอก
หลังออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาแล้ว การตรวจจับของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งเจ็ดของหลี่ฉางโซ่วที่เขาวางไว้ก่อนหน้านี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
ว่านหลินหยุนหันไปมองหลี่ฉางโซ่วพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นซึ่งปรากฏบนใบหน้าผอมแห้งของเขาในขณะที่เอ่ยถามเบาๆ ว่า “เราจะไปจะตรวจดูที่ใดก่อนดี”
“ไปทางทิศตะวันออกก่อนเถิดขอรับ ท่านผู้อาวุโส” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เราต้องปกปิดกลิ่นอายลมปราณของเรา ท่านผู้อาวุโสช่วยเผยกลิ่นอายลมปราณของเซียนเสิ่นได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้ ง่ายๆ”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็เคาะไม้เท้าทองสัมฤทธิ์ในมือ และกลิ่นอายลมปราณของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขับเมฆบินไปทางทิศตะวันออกในขณะที่จับสังเกตสถานการณ์ผ่านทั้งภูเขาและแม่น้ำรอบตัวเขาพลางครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ
ไม่นานหลังจากนั้น เมฆขาวก็บินออกจากสำนักไปเป็นระยะทางหลายพันลี้ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนช้าลง และเริ่มค้นหาบางสิ่งอย่างระมัดระวัง…
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนถามทันทีว่า “ดูหุบเขาตรงนั้นสิ มันค่อนข้างดูลึกลับ จะมีศัตรูทรงพลังซ่อนอยู่ที่นั่นหรือไม่”
“ท่านผู้อาวุโส” หลี่ฉางโซ่วมอบจี้ในมือให้กับผู้อาวุโสว่านหลินหยุน “นี่เป็นอุปกรณ์เล็กๆ ที่ข้าหลอมขึ้นมาเล่นๆ เรียกว่าหินสัมผัสขอรับ”
“มันช่วยตรวจสอบว่ามีสัมผัสเซียนรับรู้และพลังปราณสัมผัสรับรู้ของผู้อื่นจับมาที่เราหรือไม่ขอรับ”
“ดูสิขอรับ เวลานี้ หินสัมผัสเป็นสีเขียวอ่อน นี่เป็นผลมาจากพลังปราณสัมผัสรับรู้ของข้าและสัมผัสเซียนรับรู้ของท่านที่กำลังสำรวจภายนอกอยู่ขอรับ และหากมันมีสีเข้มขึ้นก็แสดงว่ามีสัมผัสเซียนรับรู้และพลังปราณสัมผัสรับรู้ของผู้อื่นกำลังจับตามองเราอยู่ขอรับ”
“โอ้?”
ผู้อาวุโสรู้สึกขบขันทันทีที่เขาหยิบหินสัมผัสและตรวจสอบมันอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าเขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แท้จริงแล้วมันคือน้ำดอกไม้หลากสีที่เปลี่ยนสีเมื่อเจ้าพบพลังปราณสัมผัสรับรู้”
“ข้าไม่อาจปิดบังสายตาเฉียบแหลมของท่านผู้อาวุโสได้เลยจริงๆ ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “การปรับปรุงไม่ใช่ข้อจำกัดทั้งหมด ท่านผู้อาวุโส ท่านมักจะสอนให้ข้าเป็นคนยืดหยุ่น แล้วข้าก็ทำได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
ว่านหลินหยุนลูบเคราของเขาแล้วยิ้มทันที
จากนั้นทั้งสองก็ออกสำรวจไปทางทิศตะวันออกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทิศทางเหนือ
ความจริงแล้ว ที่พวกเขาออกมาในครั้งนี้ ก็เพราะหลี่ฉางโซ่วต้องการออกมาสำรวจภูมิประเทศภายนอก
หากศัตรูที่ทรงพลังกำลังซุ่มโจมตีสำนักตู้เซียน พวกเขาก็จะไม่สามารถทะยานขึ้นไปในอากาศได้ แต่จะต้องใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศเพื่อเข้าใกล้สำนักตู้เซียนก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะตั้งค่าค่ายกลเอาไว้ก่อนล่วงหน้า พวกเขาจะรวบรวมหุ่นเชิดจำนวนมากในระยะห่างจากสำนักตู้เซียนก่อนจะทำการโจมตี
การเตรียมพร้อมรบในขั้นตอนที่สองคือ การคิดต่อจากมุมมองของอีกฝ่ายและหาสถานที่ที่อีกฝ่ายจะสามารถซ่อนได้
หากพวกเขาสามารถโต้กลับการโจมตีล่วงหน้าได้ ก็จะมีโอกาสชนะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากตรวจดูทิศตะวันออกแล้ว พวกเขาก็ตรวจทิศเหนือ แล้วตามด้วยทิศตะวันตก
ในเวลานั้น ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วก็วาดภูมิประเทศภายในรัศมีหลายพันลี้อย่างละเอียดและรวดเร็วภายในห้องลับใต้ดินของยอดเขาหยกน้อย
จากนั้น เมื่อทั้งสองหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หินสัมผัสทั้งสองก็เปลี่ยนสีพร้อมกัน และมีสีเข้มขึ้นในทันที
“ฉางโซ่ว ดูสิ…”
“ผู้อาวุโส โปรดแกล้งทำเป็นว่าท่านไม่ได้สังเกตและค้นพบอะไรเลยขอรับ” หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงไปทันที
และผู้อาวุโสว่านหลินหยุนผู้ชอบทำใบหน้าไร้อารมณ์ ในขณะนี้สีหน้าท่าทีของเขาก็ยังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง
ในเวลานี้ ทั้งสองยังคงบินต่อไปในวิถีการบินของพวกเขา พวกเขาขี่เมฆและค้นหาไปทุกที่ แล้วทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วและผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็ค้นพบบางสิ่งแปลกประหลาดในป่าทึบบนเนินเขาที่หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์พร้อมๆ กัน
มีเสี้ยวพลังลมปราณผันผวน
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวว่า “มีคนแอบเฝ้าดูสำนักตู้เซียนจริงๆ ฉางโซ่ว เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปพบพวกเขาสักพัก!”
“ท่านผู้อาวุโส การแหวกหญ้าให้งูตื่นย่อมไม่เป็นการดีขอรับ เมื่อพิจารณาจากระยะห่างที่อีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ เช่นนั้นก็พอบอกได้ว่าพวกเขายังไม่พร้อมจะเคลื่อนไหวขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่อ “เราควรกลับไปที่สำนักกันก่อนจะออกมาอีกครั้งอย่างเงียบๆ จากนั้น เราก็สามารถจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัว และนั่นย่อมเป็นวิธีเดียวที่จะประสบความสำเร็จขอรับ”
“ถูกต้อง ฉางโซ่วพูดมีเหตุผล!”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเหลือบมองหลี่ฉางโซ่วแล้วแสดงท่าทางเยาะเย้ยที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาออกมา
“แม้ข้าจะแก่กว่าเจ้ามาก แต่ข้าก็ยังไม่อาจเปรียบเทียบกับเจ้าในด้านการใช้เล่ห์อุบายกับคนอื่นๆ ได้”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มแหยขณะกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้าแค่ฉลาดนิดหน่อยเท่านั้น ความสำเร็จของท่านในด้านการหลอมโอสถนั้นอยู่ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนใน สำนักตู้เซียนขอรับ”
ว่านหลินหยุนยิ้มและส่ายศีรษะขณะที่ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายที่ท่านอาจารย์ของข้าไม่เห็นมัน”
“ฉางโซ่ว พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป”
“พวกเรา…”
ทำอย่างนั้น
จากนั้นร่างของพวกเขาทั้งสองก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเนินเขา และทำราวกับว่าพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
หลังจากที่พวกเขาอยู่ห่างออกไปราวพันลี้ พวกเขาทั้งสองก็ยังคงถูกสัมผัสเซียนรับรู้ตรวจจับตามติดเอาไว้ และหายไปเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ประตูสำนัก…
หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ผู้อาวุโส ที่นั่นมีเซียนเทียนอย่างน้อยสองคน ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไร แค่สองคนก็นับว่าเล็กน้อยมาก”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวอย่างสงบว่า “ฉางโซ่วทำตามแผนของเจ้าไป ข้าจะจัดการเรื่องการต่อสู้เอง”
“ผู้อาวุโส ท่านลืมไปแล้วหรือว่า ข้าที่อยู่เคียงข้างท่านตอนนี้เป็นเพียงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่สร้างจากกระดาษสร้างมนุษย์โดยใช้ทักษะเวท ข้าอยากจะเห็นท่านต่อสู้กับศัตรูขอรับ”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม หลังจากเข้าไปในสำนัก ทั้งสองก็มองหน้ากันและยังคงอยู่ในความเงียบ
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา ก็มีควันสีเขียวสองสายลอยมาจากประตูสำนักและซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ใต้ดิน…
เวลานี้ เซียนผู้พิทักษ์ประตูต่างก็มองดูผู้ดูแลสองคนที่ถูกหอไป่ฝานเรียกมาในขณะที่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใดๆ
ในสายตาของหลี่ฉางโซ่ว มีบางสถานการณ์ที่เขาต้องระวัง แต่ก็ไม่อาจป้องกันได้