‘สหายเต๋า ท่านกำลังเทศนาคำสอนสำนักของท่านกับเจ้าสำนักของท่านเองแล้ว’
ในขณะนั้น แม้หลี่ฉางโซ่วอยากจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าเขากลับเพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าเคารพหลักธรรมของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ประสานมือคารวะและถือแส้หางม้าของเขาขณะเดินไปตามถนน
จากนั้นนักพรตเต๋าชราก็ไม่ได้รบกวนเขาอีกต่อไป เพียงแต่โค้งคารวะให้และขอโทษที่รบกวนเขาก่อนจะกลับไปนั่งที่หัวมุมถนน
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วรู้สาเหตุของเรื่องนี้
อ๋าวอี่เคยคุยกับเขาผ่านรูปปั้นมาก่อน และเขาก็เห็นด้วย
วังมังกรทะเลบูรพาที่อยู่เบื้องหลังอ๋าวอี่ เมื่อเห็นว่าสำนักเทพทะเลมีบุญมากและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จึงต้องการส่งเสริมเรื่องนี้บนชายฝั่งทะเลบูรพาของดินแดนเทวะทักษิณ
หลี่ฉางโซ่วเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และย้ำกฎเดิมว่า นั่นคือเทพทะเลไม่อาจออกจากทะเลได้
เขาสัมผัสได้ในใจเมื่อพบว่าการเคลื่อนไหวของวังมังกรทะเลบูรพานั้นเร็วมาก และมีการสร้างรูปปั้นกว่าร้อยรูปบนฝั่งทะเลบูรพา
สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วอุ่นใจเล็กน้อยก็คือในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นใหม่หรือรูปปั้นก่อนหน้านี้ ใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน และแทบจะไม่เห็นโครงร่างของใบหน้าเลย นอกจากนี้ยังไม่มี ‘เอกลักษณ์แห่งเทพ’
อย่างไรก็ตาม รูปปั้นผู้พิทักษ์มังกรครามที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งขนาด ยืนอยู่ข้างรูปปั้นของเขานั้น ก็ดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะบริเวณฝั่งทะเลบูรพา รูปปั้นเทพที่ยืนคู่กันเพิ่งสร้างเสร็จในหมู่บ้านเหล่านั้น
รูปปั้นของหลี่ฉางโซ่วล้วนสร้างขึ้นจากหินคุณภาพสูงชั้นดี และแกะสลักอย่างประณีตโดยช่างฝีมือของวังมังกรทะเลบูรพา นอกจากใบหน้าแล้ว รายละเอียดยังดูประณีตงดงามยิ่ง
ส่วนรูปปั้นของอ๋าวอี่ที่อยู่ด้านข้างนั้น ทำจากหยกคุณภาพสูงเนื้อดีและขัดมันด้วยความอุตสาหะของช่างฝีมือหลายร้อยคน ใบหน้ารูปปั้นกระจ่างใส ลักษณะโค้งมนชัดเจนดี และรายละเอียดของเขาบนศีรษะก็ประณีตวิจิตรบรรจงยิ่งนัก ทั้งยังห่อหุ้มไปด้วยสมบัติล้ำค่าอีกด้วย…
หลี่ฉางโซ่วอยากเกลี้ยกล่อมพวกเขาในเรื่องนี้จริงๆ
พวกเจ้า…ไม่กลัวว่ารูปปั้นจะถูกขโมยจริงๆ หรือ
ถึงอย่างนั้นหลี่ฉางโซ่วไม่พูดอะไรมากเมื่อคำนึงถึงความรู้สึกเฉกเช่นความแห้งแล้งอันยาวนานที่ได้พานพบกับสายฝนของเผ่ามังกร เขาคิดว่าเผ่าพันธุ์มังกรจะมีความสุขเพียงใดที่ได้เห็นเส้นสายสีเงินหลังจากผ่านความทุกข์ยากมาเป็นเวลานาน รวมถึงภูมิหลังของเผ่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาล
อย่างไรก็ตาม เขายังคงได้รับส่วนแบ่งบุญเครื่องสักการะ เจ็ดในสิบส่วนของเขาอย่างมั่นคง และส่วนแบ่งสองในสิบส่วนก็จะเป็นของอ๋าวอี่ ซึ่งจะไม่เพิ่มขึ้นด้วยเหตุนี้
ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งส่วนจะถูกจัดสรรให้กับเหล่าผู้พิทักษ์และทูตเทวะทุกคน และพวกเขาบางส่วนที่ทำความดีและสั่งสมความดีจริงๆ ก็จะได้รับบุญเป็นรางวัลอีกด้วย
บัดนี้มีรูปปั้นมากกว่าหนึ่งร้อยตนในทะเลบูรพา ร่วมกับชายฝั่งทะเลทักษิณ อืม…หือ? แล้วเหตุใดการสรุปผลจึงล่าช้า…
รวมแล้วมีรูปปั้นสามพันหกร้อยเก้าสิบสองตนที่สร้างขึ้น และรูปปั้นสี่ร้อยหกสิบสามตนที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง…
แค่กๆ!
ร่างของหลี่ฉางโซ่ว ซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ในกระท่อมมุงจาก เกือบจะสบถก่นด่าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์
เหตุใดจู่ๆ ถึงได้มีมากมายเช่นนี้!
เขาตรวจสอบเมื่อสามเดือนครึ่งที่แล้ว ยังมีไม่ถึงสองพัน! ทว่าบัดนี้มีเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าแล้ว!
ข้าต้องการบุญเครื่องสักการะเล็กน้อยหรือ
ใช่แล้ว ข้าย่อมไม่รังเกียจที่จะมีพวกมันมากเกินไป และเป็นการดีที่ข้าจะสร้างร่างทองแห่งบุญได้เร็วขึ้น
แต่หากการพัฒนานี้ดำเนินต่อไป วังมังกรสี่คาบมหาสมุทรจะสามารถยืนหยัดทานทนต่อแรงกดดันจากทุกฝ่ายได้หรือไม่
ด้วยพลังแรงผลักดันที่เกิดขึ้นซึ่งยังคงดำเนินต่อไปนี้…
บางทีในอีกสองหมื่นปี สำนักเทพทะเลก็จะครอบคลุมทางเลียบทะเลที่ล้อมรอบแผ่นดิน ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือ จะมีมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพอยู่ข้างหน้า และหลังจากนั้น สามบรรพเทพาจารย์สูงสุดแห่งเต๋าของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทงเทียนเจี้ยวจู่ถือแผนภาพพิชิตเซียน หยวนสือ เทียนจวิน[1] ถือธงเทพผานกู่ และท่านเล่าจื้อ[2] ปรมาจารย์ผู้นำสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะกล่าวเย็นชาว่า
‘สหายเต๋า เรามาหารือกันถึงรายนามเทพกันดีหรือไม่’
แล้วหลี่ฉางโซ่วก็ถูกเงากลืนกินไปในทันที
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าเขาแก้ไขอันตรายที่ซ่อนอยู่ในทะเลทักษิณได้ชั่วคราวแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีอันตรายที่ซ่อนเร้นใหม่ปรากฏขึ้นตามมาอีก
การพัฒนาที่เร็วเกินไป!
แน่นอนว่า มันยากจะตัดกรรมได้
แต่หลี่ฉางโซ่วก็ร่าเริงขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
สำนักเทพทะเลในยามนี้เป็นบุญเครื่องสักการะแบบหนึ่งของแผนกึ่งเคลื่อนไหวเชิงรุกของเขา
ในการติดตามผลที่ตามมา ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วได้คิดทางออกสำหรับสำนักเทพทะเลเอาไว้แล้ว เมื่อเขาเริ่มหลอกมังกร
ยามนี้ หากสำนักเทพทะเลสามารถคงเสถียรภาพ มังกรน้อยไม่หัวร้อนแล้วปล่อยให้วังมังกรทะเลประจิมโจมตีสำนักบำเพ็ญประจิมในยามที่พวกเขาประมาท เช่นนั้นก็จะไม่เป็นปัญหามากนัก
ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะโจมตี…
มังกรไม่ควรมองการณ์ตื้นเขินเช่นนี้
ทางออกสำหรับสำนักเทพทะเลคืออะไร
มันง่ายมาก พวกเขาต้องยอมจำนนต่อศาลสวรรค์ ไปที่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และย้ายไปที่มหาตรีสหัสโลกธาตุ
ตราบใดที่ในเวลานี้ เผ่ามังกรยังช่วยเขาทำงานอย่างมั่นคง หลี่ฉางโซ่วก็จะให้โอกาสพวกเขาอีกครั้งในอนาคต
เมื่อเร็วๆ นี้ หลี่ฉางโซ่วได้คิดค้นวิธีการฉุกเฉิน เพื่อแยกตัวเขาเองออกมา โดยการเปลี่ยนชื่อสำนักนี้ หลี่ฉางโซ่วก็จะแยกตัวออกมาและปล่อยให้เผ่ามังกรตั้งปณิธานมุ่งมั่นของพวกเขาเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์และเข้าสู่สำนักเทพทะเล
และแรงบันดาลใจสำหรับแนวทางนี้ หลี่ฉางโซ่วได้มาจากแผนงานในอนาคตของตัวเขาเองซึ่งมาจากเรื่อง ‘เล่าจื่อเปลี่ยนคนหยาบช้าให้เป็นผู้เปี่ยมเมตตาดุจพระพุทธเจ้า’
อย่างไรก็ตาม เผ่าพันธุ์นับร้อยล้วนแข่งขันกันเพื่อขยายเผ่าพันธุ์
ในสถานการณ์เช่นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มังกรต่างก็มีความสัมพันธ์เชิงแข่งขันกัน การส่งเทพทะเลทักษิณไปให้กับเผ่าพันธุ์มังกรเองนั้นย่อมเทียบเท่ากับการกดดันเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ตราบใดที่สำนักเทพทะเลทักษิณยังคงมีเสถียรภาพมั่นคงและไม่สร้างปัญหาให้กับเขา หลี่ฉางโซ่วก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ทำไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้บุญเครื่องสักการะของเผ่ามังกรมารวมกันที่อ๋าวอี่แล้ว เป้าหมายสูงสุดคือเพื่อฝึกฝนปรมาจารย์มังกรผู้หนึ่ง…
เฮ้อ…
วันที่สองร้อยสี่นับตั้งแต่ที่ข้าเป็นเจ้าสำนักอย่างเป็นทางการ…
ข้าต้องคิด วิตกกังวล และรักษาความมั่นคง
…
หลังจากออกจากประตูสำนักมานานกว่าครึ่งเดือน ทางด้านยอดเขาหยกน้อย บัดนี้ จิ่วจิ่วมาเล่นที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว
ในเวลานี้ จิ่วจิ่วเมาแล้วยึดเตียงนอนของหลิงเอ๋อร์ และยังคงเผยอาการเมาสุราอาละวาดผาดโผนของนางต่อไป
ทางด้านเมืองหลินตง บนชายฝั่งทะเลบูรพาในดินแดนเทวะทักษิณ หลี่ฉางโซ่วได้พุ่งจิตทั้งหมดไปไว้ที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และเขาก็พบ ‘โรงเตี๊ยม’ ในเมืองที่เขาสามารถพักอาศัยอยู่ได้
โลกมนุษย์ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายในดินแดนเทวะทักษิณนั้นคึกคักมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ซึ่งมีโรงเตี๊ยมหลายแห่งปรากฏขึ้นมาแล้ว
และเนื่องจากทางตอนใต้ของดินแดนมีขนาดใหญ่มากเกินไป เหล่ามนุษย์จึงมีจำนวนจำกัดซึ่งขนบธรรมเนียมและรูปแบบของสถานที่ต่างๆ ก็แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงตามแต่ละเขตพื้นที่
พลังสัมผัสเซียนรับรู้แผ่กระจายออกไปอย่างระมัดระวังในเมือง และในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็ค้นพบท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูผู้ซึ่งมีพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ
ในเวลานี้ จิ่วอูพยายามซ่อนลมปราณหายใจอย่างสุดความสามารถและก็ซ่อนเอาไว้ได้ดีมาก
แต่ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูก็ลืมไปว่านี่คือโลกของมนุษย์ และคนเฉกเช่นเขา…ความจริงแล้ว ย่อมถือได้ว่า เขาเป็นพิเศษเหนือสามัญเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูที่สวมเสื้อคลุมเต๋าสง่างามและแผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมาทั่วร่างของเขา ซึ่งทำให้มนุษย์จำนวนมากได้แต่แอบเฝ้าดูและกล่าวซุบซิบถึงเขาอย่างลับๆ
โชคดีที่เผ่ามนุษย์ในยุคบรรพกาลไม่รู้จักเรื่องราวโง่เขลาของขุนนางใหญ่ชราและอนุน้อยของพวกเขา มิฉะนั้นพวกเขาอาจต้องเสนออาหาร และซาลาเปาให้ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูจริงๆ
อาจารย์ลุงจิ่วอูยังพบว่าตัวเขาเองเป็นที่จับตามองเช่นกัน
เขาตาม ‘ฉีหยวน’ และบังเอิญพบร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาโยนหยกสองชิ้นออกมาและขอห้องพักใหญ่หนึ่งห้อง จากนั้นก็แผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้เพ่งความสนใจไปที่ศิษย์น้องของเขาผู้ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขา
[1] เทียนจวิน ถือได้ว่าเป็นอีกพระนามหนึ่งของเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า พระองค์เป็นโอรสของเทพผานกู่ ซึ่งเป็นปฐมเทพผู้สร้างโลก
[2] เล่าจื้อ บรรพชนไท่ชิงหรือไท่ซ่างเหล่าจวิน