มันเป็นการต่อสู้ที่เหมาะสมกันระหว่างผู้บำเพ็ญซึ่งอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถี
การต่อสู้ของต้นกล้าอมตะที่ก่อให้เกิดพายุโหมกระหน่ำรุนแรง
และทันทีที่กระบี่อยู่ห่างจากลำคอของหลี่ฉางโซ่วไปครึ่งชุ่น หลี่ฉางโซ่ว ผู้ซึ่ง ‘ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาจนหมดแล้ว’ ก็ทิ้งคทาหนามในมือของเขาลงพลางถอนหายใจ
“ข้าแพ้แล้ว”
ต่อหน้าเขา ในขณะนี้ หลิวซื่อเจ๋อ ผู้เป็นต้นกล้าอมตะแห่งยอดเขาตู้หลิน กำลังสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ทำให้อดมองเขาด้วยความสงสารไม่ได้
มันคือชัยชนะอย่างหวุดหวิด
น่าเสียดายที่มันเป็นทักษะการแสดงของหลี่ฉางโซ่วล้วนๆ เท่านั้น
ในเวลานั้น หลิวซื่อเจ๋อถอนกระบี่ออกขณะลังเลว่าจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา
“ศิษย์พี่ เหตุใดท่านจึงไม่ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย…”
เมื่อมองดูชุดเกราะและเสื้อคลุมที่เปล่งประกายแสงแวววาวอยู่ใต้เอวของหลิวซื่อเจ๋อ ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันฝืนยิ้มขื่นและกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเตรียมพร้อมจัดการทุกสิ่งมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ยังต้องกังขาด้วยเหตุใดอีกเล่า”
ในขณะนั้น หลิวซื่อเจ๋อมีท่าทีกระจ่างแจ้งฉับพลัน แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวนั้นสมเหตุสมผลยิ่ง
และก่อนที่หลิวซื่อเจ๋อจะทันได้โต้ตอบ…หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วประสานมือคารวะให้หลิวซื่อเจ๋อก่อนจะขับเคลื่อนเมฆกลับไปยังที่นั่งของเขา
ในขณะนั้น เพื่อให้สอดคล้องตามสถานการณ์ที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาหมดลง หลี่ฉางโซ่วจึงทำให้เมฆขาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาบางลง และไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นกินโอสถทิพย์ด้อยคุณภาพที่สามารถฟื้นฟูพลังธรรมได้ในระหว่างทางนั้น
บัดนั้นสายตาโดยรอบที่จับจ้องมาที่เขาล้วนไร้ความหวาดกลัวเฉกเช่นก่อนอีกต่อไป แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความเคารพและชื่นชมแทน
ขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วแอบคิดในใจว่า การต่อสู้ครั้งนี้น่าจะช่วยชดเชยภาพลักษณ์เลวร้ายที่ข้าบังเอิญสร้างเอาไว้ในการต่อสู้ไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้ได้ แม้ว่าภาพลักษณ์เช่นนี้จะไม่มีผลต่อข้ามากนัก แต่ภาพลักษณ์ที่ดีย่อมช่วยเอื้อประโยชน์ให้ข้าอยู่รอดต่อไปในสำนักตู้เซียนได้
“ศิษย์พี่หลี่!”
ทว่าทันใดนั้น หลิวซื่อเจ๋อก็ตะโกนออกมาจากทางด้านหลังทันที “คทาหนามของท่าน!”
หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะไปเล็กน้อยแล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “มอบเป็นที่ระลึกให้กับเจ้า ศิษย์น้อง”
สีหน้าของหลิวซื่อเจ๋อพลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาก้มศีรษะลงมอง ‘อาวุธอมตะ’ บนพื้น แล้วจู่ๆ หัวใจของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย แต่ในทันทีที่หลิวซื่อเจ๋อกำลังจะโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อคว้ามัน คทาหนามก็บินหนีไปด้วยตัวมันเองและร่อนลงไปอยู่ในมืออ่อนโยนสีขาวคู่หนึ่ง…
จิ่วจิ่วซึ่งเป็นจิ่วเซียนที่มีชื่อเสียงอันทรงเกียรติพลันปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างพลางแย้มยิ้ม
จากนั้น นางจึงกล่าวว่า “ศิษย์หลานฉางโซ่วคงลืมไปว่า ข้าได้ขอจองสมบัติชิ้นนี้เอาไว้แล้ว เวลานี้ คงทำได้เพียงขออภัยศิษย์หลานหลิวแล้ว”
กล่าวจบ จิ่วจิ่วก็โบกมือแล้วขี่เมฆลอยตรงไปที่หลี่ฉางโซ่ว และหลิงเอ๋อร์
ด้านหลังจิ่วจิ่ว หลิวซื่อเจ๋อโค้งคารวะให้ ในขณะที่ผู้บริหารสำนักที่อยู่ด้านข้างกระตุ้นเตือนให้เขาออกไปได้ เขาจึงก้มศีรษะลงอย่างพอใจเล็กน้อยแล้วจากไป
ช่างเป็นการต่อสู้ที่ชวนให้จดจำจริงๆ
หลังจากก้าวไปได้สองก้าว ทันใดนั้น หลิวซื่อเจ๋อก็รู้สึกตัวขึ้นมากะทันหัน…
มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงโดยตรงระหว่างหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายกับจุดอ่อนที่คทาหนามโจมตีหรือไม่
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วพลันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันทีที่เห็นอาจารย์อาน้อยนำคทาหนามที่เขาจงใจโยนทิ้งกลับคืนมา
“ท่านอาจารย์อา นี่เป็นเพียงอาวุธเวทชิ้นหนึ่งเท่านั้นนะขอรับ”
จิ่วจิ่วจ้องมาที่เขาและก่นด่าดุเดือดว่า “ข้าชอบมัน ได้หรือไม่? เอาจริงๆ แล้ว หากเจ้าไม่ต้องการมันแล้ว ก็ควรถามข้าหรือหลิงเอ๋อร์ว่าพวกเราต้องการมันหรือไม่เสียก่อน! แม้เจ้านี่จะไม่ได้ทรงพลังนัก แต่ก็มีเอกลักษณ์และดูน่ากลัวจริงๆ! หากพาดมันไว้บนบ่าก็จะช่วยให้ดูน่าเกรงขามช่วยป้องปรามผู้อื่นที่คิดมารังแกได้”
หลิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันป้องปากหัวเราะทันที นางอยากเอื้อนเอ่ยวาจาบางอย่าง แต่กลัวว่าจะทำถั่วหก[1] โดยไม่ตั้งใจ จึงได้แต่ยิ้มและนิ่งเงียบต่อไป
ในอดีต ศิษย์พี่ของนางเคยทำของพวกนี้มามากมาย นางเองยังมีอาวุธเวทที่ดูน่ากลัวเช่นนี้สองสามชิ้น แต่มันไม่ได้ทรงพลังมากนัก
เวลานั้น หลี่ฉางโซ่วไม่มีทางเลือก เมื่อเขาสร้างอาวุธเหล่านั้น เขาไม่มีพลังงานที่จะคิดปรับแต่งพวกมันเหล่านี้
ทว่าบัดนี้ หากหลี่ฉางโซ่วสร้างคทาหนามขึ้นอีกอัน เขาจะต้องใส่คุณลักษณะของคทาหนามอย่างแน่นอน จากนั้นก็จะออกแบบเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น สารเรืองแสงเซียนเพื่อป้องกันไอพิษ และอาวุธเวทป้องกันการสั่นสะเทือนความถี่สูง
หลี่ฉางโซ่วคิดเอาไว้แล้วว่าจะเสริมพลังคทาหนามนี้อย่างไร
บุรุษที่แข็งแกร่งและดุร้ายที่สุดในหมู่บ้านสงจะถือกระบองหนาม เลิกคิ้วหนาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แหบแห้งว่า “ในการต่อสู้ คทาหนามจะไปได้ดีเมื่อฟาดลงเหนือหัวศัตรูของเจ้า…โอ้”
นั่นย่อมได้ผลดีอย่างแน่นอน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกในใจของเขา และคทาหนามก็เป็นเพียงอาวุธเวทที่สามารถใช้รับมือกับปัญหาหรืออันตรายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากหลี่ฉางโซ่วใช้พลังทั้งหมดของเขาในการต่อสู้ เขาจะสามารถปลดปล่อยขอบเขตพลัง และทักษะเวทอย่างเต็มที่โดยใช้โอสถพิษและค่ายกลขนาดเล็ก นอกจากนั้น เขายังจะใช้เพลิงสมาธิแท้จริงและคาถาสายฟ้า รวมทั้งไพ่ไม้ตายอีกหลายใบที่เขายังไม่ได้เปิดเผย
ย้อนกลับไปเมื่อเขาต่อสู้กับหุ่นเชิดยุงโลหิต เขายังได้รับกระบี่ยาวซึ่งเป็นสมบัติวิญญาณที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
และแน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วยังมีไข่มุกขจัดพิษด้วย
‘ผู้ใช้ยาพิษที่ดีต้องทนต่อพิษได้มากกว่านี้’ การเตรียมการสำหรับวิธีการต่อสู้เหล่านี้ ทำให้เขาสามารถรับมือคู่ต่อสู้ของเขาเมื่อเขาต้องการโต้กลับเท่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับการเริ่มบุกโจมตีก่อน
เขาฝึกฝนอย่างมั่นคงในภูเขา คงจะดีที่สุดหากมีเพียงเต๋าสวรรค์เท่านั้นที่จดจำการดำรงอยู่ของเขาได้ นั่นคือเป้าหมายที่หลี่ฉางโซ่วมุ่งแสวงหาอย่างแน่วแน่…
มันไม่มีทางเลือก เพดานแห่งโลกบรรพกาลนั้นสูงเกินไป การบรรลุความเป็นอมตะนั้นเป็นเพียงก้าวแรกสู่การเป็นปรมาจารย์
ต่อให้กลายเป็นผู้ที่ถูกเรียกขานกันว่า ปรมาจารย์ แต่เขายังคงกลายเป็นเถ้าถ่านหากไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงเมื่อเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งใหญ่ได้อย่างไร
มีเพียงร่างทองและสมบัติวิญญาณเซียนเทียนเท่านั้นที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับหัวใจที่สิ้นหวังและอ้างว้างของหลี่ฉางโซ่ว และมอบความรู้สึกปลอดภัยที่ล้ำค่าให้กับเขาได้…
ในขณะนั้น อาจารย์อาน้อยกำลังถือคทาหนามแหลมและฟาดลงไปจนทำให้เกิดหลุมอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการออกแบบบางอย่าง ในขณะที่หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เขา ยังคงแสดงความคิดเห็นอย่างเบาๆ เมื่อหลี่ฉางโซ่วยังคงใช้เวทวายุวัจน์และสดับฟังทุกอย่าง แล้วเผยรอยยิ้มพอใจออกมา
บัดนี้ ความคิดเห็นของผู้คนภายในสำนักที่กำลังพูดถึงเขาเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
หลังจากพ่ายแพ้ในรอบนั้น เงามากกว่าครึ่งที่ปกคลุมบั้นท้ายของบรรดาศิษย์ก็ค่อยๆ หายไป
ตราบใดที่เราไม่ได้เจอกันอีก…ช่างมันเถิด ข้าคาดไม่ถึงว่ามันจะง่ายดายขนาดนี้
อีกสักครู่ ข้าควรสนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ชั่วขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วบังเอิญได้ยินเสียงแปลกๆ ผ่านเวทวายุวัจน์ เขาจึงกวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจดูพื้นที่ จากนั้นเขาก็หยักยิ้มขึ้น
ในส่วนต่างๆ ของเนินเขาและหุบเขา ในขณะนี้ มีศิษย์สองสามคนเริ่มมีความคิดบางอย่างจากการต่อสู้ระหว่างหลี่ฉางโซ่วและหลิวซื่อเจ๋อ พวกเขาเริ่มคิดกลยุทธ์เพื่อรับมือกับหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และคทาหนามเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะวางสมบัติคล้ายกระจกเอาไว้ข้างหลัง…พวกเขาจะเปลี่ยนอาวุธเวทที่แต่เดิมเป็นชุดเกราะ มาเป็นกางเกงตัวใหญ่ขึ้น…
พวกเขาช่างคิดสร้างสรรค์ดีทีเดียว ในเวลานี้ การต่อสู้ดำเนินต่อไปทีละรายการเรื่อยๆ บรรดาศิษย์ส่วนใหญ่ต่างพยายามจัดการกับมันอย่างเต็มที่
ส่วนหลิงเอ๋อร์โชคดีทีเดียวที่ไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งใดๆ เป็นเวลาห้าวันติดต่อกัน นางอาศัยสมบัติอมตะของนางเพื่อคว้าชัยได้สี่ครั้งอย่างง่ายดายซึ่งเทียบเท่ากับศิษย์พี่ของนาง
ครั้นเมื่อวันที่หกมาถึง ก็ตามด้วยวันที่เจ็ด…
ขณะนี้ การแข่งขันภายในสำนักยังคงดำเนินต่อไป และอันดับศิษย์ในการทดสอบรอบแรกก็ค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้น
ในเวลานี้ แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วได้ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งสามร้อยหกสิบอันดับแรก แต่หลิงเอ๋อร์ที่แพ้ไปอีกรอบและจะต้องชนะอีกอย่างน้อยสามรอบในห้าวันข้างหน้า พลันรู้สึกสับสนและขัดแย้งในเรื่องนี้เล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ มีการต่อสู้ที่นางสามารถเอาชนะได้จริงๆ หากนางเปิดเผยขอบเขตพลังการฝึกฝนที่แท้จริงของนางออกมา…
และในคืนที่เจ็ดของการแข่งขันของสำนัก จิ่วจิ่วก็ถือคทาหนามอันใหม่ของนางไปที่โถงตู้เซียนเพื่อกินเลี้ยง
หลิงเอ๋อร์จึงฉวยโอกาสเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ หากในท้ายที่สุด ข้าไม่ติดอันดับหนึ่งร้อยแปดอันดับแรก แล้วข้าจะถูก…ลงโทษหรือไม่เจ้าคะ”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วหันไปมองศิษย์น้องหญิงของเขา ภายใต้แสงจันทร์นี้ เผยให้เห็นใบหน้าของนางที่มีความไม่สบายใจเล็กน้อย
นี่ข้าขอนางมากเกินไปหรือไม่
เพราะอย่างไรเสีย นางก็ยังเยาว์นัก…
หลี่ฉางโซ่วพลันเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงว่า “แค่ต้องกวาดพื้นในหอโอสถและซักเสื้อผ้าของข้า เจ้าเพียงแค่ทำใจให้สบายและต่อสู้ไปเท่านั้นก็พอ…
…เจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการในการแข่งขันภายในสำนักครั้งนี้”
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและทำหน้าบูดบึ้งใส่หลี่ฉางโซ่ว “ท่านน่าจะพูดเช่นนี้มาตั้งแต่แรก ข้ากังวลเรื่องนี้มาสองสามวันแล้วนะ”
“มาตกลงกันในกฎสามข้อ”
“ก็ได้” หลิงเอ๋อร์หันไปมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและรีบซ่อนสีหน้าของนางทันที
ควรต้องกล่าวถึงความจริงอย่างหนึ่งว่า โหย่วฉินเสวียนหย่าเกือบจะเอาชนะการต่อสู้ทั้งเจ็ดครั้งในรอบแรกได้อย่างเหนือชั้นกว่ามาก
แม้คู่ต่อสู้ของนางจะใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าก็สามารถจัดการกับมันได้อย่างสงบ นางสามารถควบคุมกระบี่ได้อย่างชำนาญด้วยมือเดียว และกระบี่อมตะก็บินลงสู่พื้นดินและไล่บีบคู่ต่อสู้ของนางให้ออกมาอย่างง่ายดาย
ในเวลานี้ นาง ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ ได้กลายเป็นศิษย์ที่มีรูปลักษณ์สวยงามและน่าดึงดูดใจที่สุดของบรรดาศิษย์หนุ่มในสำนักตู้เซียนแล้ว…
นางมีความสามารถโดดเด่น มีสมบัติอมตะที่ปกป้องตัวเอง ทั้งยังไม่อ่อนด้อยในพลังและทักษะเวท และเมื่อต่อสู้ นางก็มีสมาธิและจริงจังมาก รวมถึงยังมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รวดเร็วมากเช่นกัน
หลายคนเริ่มพูดคุยกันว่า หากคทาแหลมแห่งยอดเขาหยกน้อยอยู่ในสถานะสูงสุด เขาน่าจะเปล่งประกายแรงกล้าเมื่อเผชิญหน้ากับหัวหน้าศิษย์ โหย่วฉินเสวียนหย่า ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้ปะทะกับโหย่วฉินเสวียนหย่า ในช่วงสิบสองรอบแรกเหล่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะได้พบกับศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายของเขา หลี่ฉางโซ่วก็มีแผนในใจจะจัดการเอาไว้แล้ว…
เขาเป็นมืออาชีพในการยอมแพ้อยู่แล้ว
ชนิดที่ได้รับการรับรองมาจากวังมังกร
และในวันรุ่งขึ้นหลังจากรอบการทดสอบเบื้องต้นสิ้นสุดลง หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มสงสัยบางอย่างในขณะที่เขาจมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดของเขา
หลังจากผ่านไปมากกว่าสิบปี จู่ๆ เขาก็มีแรงกระตุ้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาคิดถึงเรื่องนี้ และรู้สึกเหมือนว่า มันจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาอย่างมาก
มันเกิดอันใดขึ้นอีกแล้ว
…
เมื่อใดที่เขามีลางสังหรณ์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก็จะมีบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทว่ามันอาจไม่ใช่พรหรือความโชคร้ายเสมอไป
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันมองไปที่แท่นหยกก่อนเมื่อคิดว่า เซียนจินได้ค้นพบการปลอมตัวของเขา แต่แล้วเขาก็สรุปได้อย่างรวดเร็วว่า หาใช่เช่นนั้นไม่ จากนั้นเขาจึงบีบนิ้วคาดการณ์และสรุปการคาดเดาในใจของเขาว่า ขณะนี้ ไม่มีสงครามและไม่มีการนองเลือดใดๆ ในสำนักเทพทะเล…
เอ๋? มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หลังจากนั้นในไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า ในเวลานี้ มีบางอย่างผิดปกติ เมื่อหนึ่งในรูปปั้นเทพเจ้าอยู่ในสภาพแปลกประหลาด
เขายังไม่กล้าใช้เจตจำนงวิญญาณของเขาเพื่อไปดูและตรวจสอบมันอย่างระมัดระวังรอบคอบ
และในเวลาเดียวกันนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินก็ตื่นขึ้นและเคลื่อนเข้าไปใกล้วิหารอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วและอ๋าวอี่ต่างก็ขมวดคิ้ว
แต่ในเวลานี้ อ๋าวอี่เป็นเซียนหยวนเท่านั้น เขายังอยู่ห่างจากเซียนเสิ่น และนอกจากนี้เขายังเป็นเพียงรองเจ้าสำนักและผู้พิทักษ์มังกรคราม เขาจึงรู้สึกได้เพียงว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
อ๋าวอี่แผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจสอบตำแหน่งของหลี่ฉางโซ่ว แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติกับ ‘ศิษย์พี่เจ้าสำนัก’ เขาจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นมากนัก…
ทว่าในเวลานี้ แน่นอนว่า ความจริงแล้ว วังมังกรได้ดูแลเรื่องของสำนักเทพทะเลให้กับอ๋าวอี่
และยามนี้ อ๋าวอี่ก็กำลังรับบุญขณะที่กำลังฝึกฝน เขาต้องการปลดปล่อยพลังแห่งสายโลหิตของเขาทั้งหมดให้เร็วที่สุดและกลายเป็นเสาหลักของเผ่าพันธุ์มังกร!
ในอีกด้านหนึ่งนั้น บัดนี้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วรีบเข้าไปใกล้วิหารที่ผิดปกติอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้น มันแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปค่อยๆ ค้นหาและค้นพบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ดูเหมือนจะมีคนพิเศษเหนือสามัญอยู่ในวิหารของเขา…
พวกเขาเป็นบุรุษหนุ่มในชุดคลุมสีขาวและชายชราในชุดคลุมสีเทา และที่ด้านหลังพวกเขา ยังมีคนจำนวนแปดคนซึ่งแผ่กลิ่นอายลมปราณที่แข็งแกร่ง พวกเขาล้วนสวมชุดสีเขียวซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้พิทักษ์
และผู้พิทักษ์ทั้งแปดนั้นล้วนเป็นเซียนเทียน…
หลี่ฉางโซ่วแอบประหลาดใจ เขามองไปที่บุรุษหนุ่มในชุดสีขาวจากระยะนั้น และเห็นแสงสีทองเปล่งประกายล้อมรอบกายของบุรุษหนุ่มผู้นั้นในทันที…
นี่เป็นสถานการณ์ที่เห็นได้ชัด ซึ่งทำได้เพียงการปกป้องบุญ รวมทั้งปกป้องสวรรค์และปฐพีเท่านั้น!
“โอ?”
ดูเหมือน บุรุษหนุ่มในชุดขาวจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งและมองดูรูปปั้นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลขณะไพล่มือของเขาเอาไว้ทางด้านหลัง ทว่าเขาเพียงแค่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไปกันเถิด พวกเราทำให้เจ้าของที่นี่ตัวจริงตื่นตระหนกแล้ว”
“ขอรับ” ชายชราในชุดสีเทาที่อยู่ข้างๆ ก้มศีรษะลงแล้วตอบรับ ก่อนจะเดินตามหลังบุรุษหนุ่มในชุดคลุมสีขาวแล้วนำผู้พิทักษ์เซียนเทียนทั้งแปดคนเดินตรงไปที่ประตู
คนผู้นี้คือใครกัน
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเขาก็คาดเดาได้อย่างมั่นใจ
บุรุษหนุ่มในชุดขาว ครองขอบเขตพลังที่เขามองไม่เห็น มีบุญคุ้มกาย และมีเหล่าผู้ติดตาม…
เป็นไปได้ว่า!
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ถอนพลังสัมผัสเซียนรับรู้กลับทันที แล้วใช้เวทวายุวัจน์เฝ้าติดตามไป
หลังจากที่บุรุษหนุ่มในชุดขาวออกจากวิหารเทพทะเลไป เขาก็ยิ้มให้ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ
“ข้าเคยเห็นเทพเจ้านอกรีตมามากมายในดินแดนเทวะทักษิณ ยกเว้นแต่สำนักบำเพ็ญเต๋าแล้ว ที่แห่งนี้เป็นที่สถานที่เดียวที่นับว่าไม่เลว
เขาสั่งสอนมนุษย์ให้ทำความดีและปกป้องพวกเขา มอบบุญให้กับคนดีและลงโทษผู้กระทำชั่ว
แต่มันไม่ถูกต้องที่จะฉวยโอกาสเอาประโยชน์จากร่างจุติใหม่จากแดนยมโลก”
ชายชรายิ้มและกล่าวว่า “ท่านจะเลือกที่นี่หรือไม่ขอรับ”
“ลองดูอีกทีก่อนว่ายังมีเผ่าพันธุ์มังกรอยู่ในสถานที่นี้หรือไม่ เผ่าพันธุ์มังกรหยิ่งยโสและอวดดีอยู่เสมอ พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์โบราณ ซึ่งข้าไม่อยากคุยกับพวกเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้แจ้งเข้าใจในทันที
บัดนี้ มีสองทางเลือกผุดขึ้นมาในใจของเขา
อย่างแรกคือ ทำทีออกไปหาสหาย และฉวยโอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์กับผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่ที่แท้จริงแห่งโลกบรรพกาล!
และอย่างที่สองคือ ปล่อยให้ดำเนินไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ…
แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน ก็ยังยากที่เขาจะรู้ได้ว่าบุรุษหนุ่มในชุดขาวมีเจตนาที่จะปล่อยให้เทพเจ้านอกรีตขยายกลุ่มสานุศิษย์ของเขาหรือไม่
เลือก…
ข้าต้องตัดสินใจเลือกให้เร็วที่สุด…
[1] ทำถั่วหก หลุดปากปิดเผยความลับโดยไม่เจตนาหรือโดยบังเอิญอีก