หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วดูการต่อสู้รายการสุดท้ายแล้ว เขาก็แอบหนีไปทันทีโดยใช้ข้ออ้างในการกล่าวคำอำลากับอ๋าวอี่
และเป็นไปตามที่คาดไว้…ขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังกล่าวสุนทรพจน์แห่งชัยชนะของนาง นางก็กล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า
“ข้าอดจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยไม่ได้ที่ไม่สามารถอยู่ในสังเวียนการประลองกับศิษย์พี่ของข้าที่ข้าปรารถนาจะแลกเปลี่ยนทักษะด้วยมากที่สุดในการแข่งขันภายในสำนักในครั้งนี้”
ขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่บนก้อนเมฆในระยะไกล กำลังกล่าวคำอำลากับอ๋าวอี่ ก็เกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อยในใจอย่างไม่อาจระงับได้…
ในที่สุด เขาก็สามารถทำนายวิถีทางส่วนหนึ่งที่ศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายกำลังจะก้าวต่อไปได้
“พี่ฉางโซ่ว ท่านเพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนของท่านในสำนักอย่างสบายใจเท่านั้น” อ๋าวอี่กล่าว “โปรดอย่ากังวลมากไป…ในบางสิ่ง” จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบถุงเก็บสมบัติออกมาและกล่าวอย่างจริงจังว่า “มีภาพวาดสองสามภาพอยู่ในนี้ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกล่าสุดของข้าที่ข้าภูมิใจ นอกจากนี้ยังมีถุงผ้าที่อาจช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ จำไว้ว่าอย่าเปิดมันต่อหน้าผู้อื่น”
อ๋าวอี่ยิ้มแล้วหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาสองแผ่นก่อนจะยื่นมันให้หลี่ฉางโซวแล้วกล่าวว่า “พี่ฉางโซ่ว ท่านสามารถใช้แผ่นหยกทั้งสองนี้ติดต่อข้าได้โดยตรง และหากท่านมี…มีอะไรจะพูด ท่านก็สามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อถ่ายทอดข้อความที่ท่านอยากจะพูดออกมาได้”
หลี่ฉางโซ่วรับแผ่นหยกไป จากนั้นทั้งสองต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะโค้งคำนับให้กันและกันบนก้อนเมฆ
“หมู่เมฆนั้นกว้างใหญ่ไพศาลนัก ขุนเขาสูงตระหง่านและแม่น้ำสายยาว ลาก่อนพี่อี่ แล้วพบกันใหม่ อย่างไรข้าจะพบกับท่านอีกหลังจากแยกกับท่านในวันนี้ พี่อี่”
“พี่ ข้าหวังว่าท่านจะมีสุขภาพที่ดีและทะยานขึ้นสู่เซียนได้ในเร็วๆ นี้ เกาะเต่าทองตั้งอยู่ลึกเข้าไปในกลุ่มเมฆที่เป็นจุดบรรจบกันของทะเลทักษิณและทะเลบูรพา พี่ฉางโซ่ว หากมีเวลา ท่านก็มาที่เกาะได้ พวกเราจะได้ดื่มและพูดคุยกัน”
แล้วหนึ่งคนหนึ่งมังกรต่างก็มองหน้ากันและแย้มยิ้มให้กัน
ไม่นานหลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็หันกลับและขับเคลื่อนก้อนเมฆ ตรงไปหาผู้คนของเกาะเต่าทองที่กำลังรอเขาอยู่
และในขณะนั้น เขาก็โค้งคำนับให้อีกครั้งจากระยะไกล แล้วหานจื่อ และ ‘ผู้เยาว์’ คนอื่นๆ ต่างก็โค้งคำนับกลับเป็นการให้เกียรติเช่นกัน
ในขณะนั้น จี้อู๋โหย่ว เจ้าสำนักและผู้ติดตามของเขา ที่กำลังรอส่งผู้คนจากเกาะเต่าทองต่างก็พยักหน้าให้แก่กันพร้อมด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
บัดนี้ ปรมาจารย์เจ้าสำนักมองดูศิษย์หนุ่มน้อยที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งนำความรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่มาสู่สำนักตู้เซียนในครั้งนี้ พลางคิดหาวิธีที่จะทำให้ศิษย์ผู้นี้รอดพ้นจากข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์บรรลุเซียนอย่างมุ่งมั่น…
และในที่สุด…
หลี่ฉางโซ่วก็ขับเคลื่อนเมฆและมุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาหยกน้อย
ทันทีที่เขาร่อนลงบนยอดเขาหยกน้อย ก็มีหมู่เมฆขาวบินออกมาจากหุบเขาที่เชิงเขาของยอดเขาพิชิตสวรรค์ และบรรดาศิษย์จากยอดเขาต่างๆ กลับมาที่ยอดเขา…
ในหมู่พวกเขา บางคนก็ยิ้ม ในขณะที่บางคนก็ดูห่อเหี่ยวเศร้าใจ ซึ่งย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
หลี่ฉางโซ่วสรุปออกมาสั้นๆ และเมื่อเห็นหลิงเอ๋อร์และจิ่วจิ่วผู้โปรดปรานคทาหนามบินกลับมาด้วยกัน เขาก็คิดว่าจะไปหาอาจารย์เพื่อรายงานข่าวดีด้วยกัน
ก่อนหน้านี้ มีเหล่าผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่จำนวนมากมาที่ยอดเขาหยกน้อย แต่อาจารย์ของเขาก็ยังคงความสงบเสงี่ยมมั่นคงดุจเขาไท่ซาน
หากหลี่ฉางโซ่วไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขากำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง เขาจะต้อง ‘ประทับใจ’ ท่านอาจารย์ของเขาอย่างแน่นอน
แต่ก่อนที่หลิงเอ๋อร์จะบินกลับ หัวใจของหลี่ฉางโซ่วก็พลันเต้นแรงผิดจังหวะ เมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในทันที
ดูเหมือนว่า จะมี ‘แขกผู้มีเกียรติ’ อีกคนมาที่วิหารเทพทะเล ซึ่งเคยต้อนรับแขกในชุดขาวมาก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงใช้เวทวายุวัจน์ส่งเสียงไปพูดกับหลิงเอ๋อร์ ซึ่งยังคงอยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
“จู่ๆ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ข้าจะไปเข้าปิดด่านฝึกฝนก่อน เจ้าอยู่เล่นสนุกและสร้างความเพลิดเพลิดให้อาจารย์อาจิ่วจิ่วก่อน”
หลิงเอ๋อร์พยักหน้ารับทันทีในขณะที่หลี่ฉางโซ่วหันหลังกลับและบินตรงไปทางหอโอสถในทันใด
เขารู้สึกว่ามีผู้แสวงบุญจำนวนมากมาเยี่ยมเยียนที่วิหารเทพทะเล
ผู้อาวุโสในชุดสีเทาที่ติดตามองค์เง็กเซียนเข้าสู่โลกมนุษย์ก่อนหน้านี้ บัดนี้ กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างๆ รูปปั้นเทพเจ้า เขาเป็นผู้นำผู้พิทักษ์เซียนเทียนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
หลี่ฉางโซ่วตั้งสติสงบจิตใจของเขาและสรุปสองสามอย่างเกี่ยวกับถ้อยคำที่คนผู้นั้นจะเอ่ยในภายหลัง จากนั้น เขาก็แอบเปิดใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ใต้วิหารอย่างเงียบๆ…
ในเวลาเดียวกันนั้น บนเมฆสีขาวบนเกาะเต่าทองที่อยู่ห่างออกไปสามพันลี้ทางใต้ของสำนักตู้เซียน ขณะนั้น อ๋าวอี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาอดจะหยิบถุงเก็บสมบัติที่ฉางโซ่วมอบให้เขาออกมาไม่ได้
เขาสนใจผลงานชิ้นเอกที่พี่ฉางโซ่วภาคภูมิใจ ไม่ใช่เพราะเขาอยากเห็น ‘เคล็ดลับล้ำเลิศ’ ของพี่ฉางโซ่ว!
ดังนั้น อ๋าวอี่จึงแอบขับเคลื่อนเมฆไปอย่างเงียบๆ และในขณะนั้น เหล่าเซียนจินและเซียนเทียนอาวุโสสองสามคนจากเกาะเต่าทองพลันแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกมาทันที แต่พวกเขาเพียงแค่ยิ้มและไม่เอ่ยวาจาใด
แค่กๆ ข้าแค่กำลังดูภาพวาด…
อ๋าวอี่กระแอมไอแล้วหยิบม้วนภาพสองม้วนออกมา และเห็นข้อความเขียนอธิบายประกอบสองบรรทัดบนพื้นกระดาษด้านนอกของม้วนกระดาษ
‘เมื่อรู้สึกตื่นเต้น เลือดร้อน ควบคุมตัวเองไม่ได้และอยากแสดงความคิดเห็น โปรดอ่านม้วนนี้’
‘เมื่อท้อแท้และกระวนกระวาย เมื่อรู้สึกว่าหมดสิ้นความหวังในชีวิตนี้และจะไม่มีความสนใจในเรื่องความรัก อีกต่อไป ให้ดูที่ม้วนนี้’
อ๋าวอี่คิดอยู่ครู่หนึ่งและเปิดม้วนหลังก่อน แล้วเห็นบทกวีเกี่ยวกับการเชิดหน้า…
‘ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ท่านรู้เรื่องความเพ้อฝันของข้ามากเพียงใด’
ขณะที่เขาเปิดม้วนภาพวาด สายตาของอ๋าวอี่ก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวและเผยคลี่ภาพวาดออกมาอีกเล็กน้อย ก่อนจะมองดูโฉมงามที่แตกต่างกันหลายสิบรูปบนภาพวาดนั้นอย่างระมัดระวัง…
นี่คือเหตุผลของการขยายเผ่าพันธุ์อย่างรวดเร็วของมนุษย์หรือไม่
ผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีความพิเศษเฉพาะตัว…
แต่สำหรับอ๋าวอี่ที่ยังไม่โตเต็มที่นั้น มันก็เกินไปจริงๆ…
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงอุทานบางอย่างดังมาจากทางด้านหลังของเขา
“จิตรกรคนนี้ช่างพิถีพิถันจริงๆ ภาพวาดของเขาเหมือนจริง หาได้ยากมากที่จะมีภาพวาดเปี่ยมเสน่ห์เช่นนี้”
“ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ”
“เท่าที่เห็น มันยากที่จะเทียบได้กับคำว่า ‘สง่างาม’”
“แม้สตรีในภาพวาดจะไม่ได้มีกิริยาท่าทียั่วยวน แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนเพ้อฝันได้”
“พวกเรามีชีวิตอยู่มาหลายปีแล้ว แทบจะไม่ได้เห็นภาพวาดที่มีคุณภาพเช่นนี้” ทันใดนั้น อ๋าวอี่รู้สึกอับอายฉับพลัน เขาหันศีรษะไปและเห็นอาจารย์ลุงสองสามคนยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ ขณะกำลังแสดงความคิดเห็นออกมา
อ๋าวอี่พลันอึกอักขณะตัวแข็งทื่อกะทันหัน แล้วเอ่ยอันใดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญสองสามคนบนเกาะเต่าทอง ซึ่งจงใจหยอกล้ออ๋าวอี่เล่นพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
ในขณะนั้น ฉินหว่านที่อยู่บนเมฆข้างหน้า ก็มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
แม้เหล่ารุ่นเยาว์ที่อยู่ข้างๆ เขาจะอยากรู้อยากเห็นและอยากจะข้ามไปดู แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำตัวสบายๆ เฉกเช่นเหล่าผู้บำเพ็ญในรุ่นอาวุโส
“ศิษย์น้องอ๋าวอี่ลองเปิดอีกม้วนดูด้วยสิ”
“ของดีๆ เยี่ยงนี้ควรต้องแบ่งปันกัน”
“มานี่สิ…”
“มา มา มา…”
ในขณะนั้น อ๋าวอี่ไม่มีเวลาทันได้หยุดพวกเขา และจริงๆ แล้ว เขาก็ไม่รู้วิธีหยุดจะพวกเขาได้เช่นกัน แล้วจู่ๆ นักพรตเต๋าชราเซียนเทียนผู้หนึ่งก็ดึงม้วนภาพอีกม้วนหนึ่งไป
จากนั้น พวกเขาสองสามคนก็ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ขณะที่นักพรตเต๋าชราสะบัดมือของเขาแล้วม้วนภาพวาดก็ถูกคลี่เปิดออกมาอย่างรวดเร็ว…และฉับพลันนั้น บนเมฆที่ครึกครื้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาก็เงียบงันไปในทันใด
ชั่วขณะนั้น ฉินหว่านพลันกระตุกมุมปากขึ้นสองสามครั้ง
หลังจากนั้น นักพรตเต๋าชราม้วนภาพทั้งสองม้วนลงอย่างเงียบๆ แล้วมอบคืนให้อ๋าวอี่ พวกเขาสองสามคนต่างดูสงบเสงี่ยมขณะก้มศีรษะและบินกลับไปที่เมฆด้านหน้า ดวงตาของพวกเขาแต่ละคนล้วนดูเฉยเมยไร้ชีวิตชีวา…
อ๋าวอี่เปิดมันออกดูอย่างสงสัยและเมื่อเห็นคำว่า ‘ราชินีไป่เหมย’ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วไม่กล้ามองมันอีกต่อไป มีเพียงคนที่ยอดเยี่ยมอย่างพี่ฉางโซ่วเท่านั้นที่มีจิตใจกล้าหาญและไร้ขีดจำกัดได้
จากนั้น อ๋าวอี่ก็ฉวยโอกาสนี้หยิบถุงผ้าออกมา และเมื่อเปิดดูก็พบว่ามีป้ายไม้อยู่ข้างใน บนป้ายไม้เขียนตัวอักษรเจ็ดตัวเอาไว้อย่างน่าประทับใจ ‘ท่านบังคับมันไม่ได้ ดังนั้นจงเปลี่ยนมันซะ’
อ๋าวอี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็เงยขึ้นและเก็บม้วนภาพวาดทั้งสองและถุงผ้าก่อนจะบินไปข้างหน้า หันมองไปศิษย์หลานหานจื่อ ในขณะนั้น สายตาของเขาพลันแจ่มกระจ่างและไร้กังวลใดๆ