ทว่าคำพูดบางอย่างของเทียนหยวนก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หนิวโหย่วเต๋อกลับตระกูลอิ๋งขัดแย้งกันถึงขั้นนั้นแล้ว เขาเทียนหยวนก็เป็นคนของตระกูลอิ๋ง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับเทียนหยวนหรือเปล่า
คำกล่าวที่ว่าเป็นสามีภรรยากันหนึ่งคืนเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ความผูกพันยังมีอยู่บ้าง ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ที่จริงแล้วนางเป็นคนทรยศเทียนหยวน ในใจมีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะมีลูกสาวนางจึงเอนเอียงไปทางฝั่งไห่ยวนเค่อ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่หวังจะเห็นเทียนหยวนเป็นอะไรไป
เมื่อลองไตร่ตรองดู นางก็ยังแข็งใจเดินไปตรงประตู อยากจะลองดูสักหน่อย
ทหารยามตรงประตูทยอยกันมองมา ผู้บัญชาการที่รับหน้าที่เฝ้าประตูกุมหมัดคารวะ “ปี้เยว่ฮูหยิน”
นับว่ามีท่าทีเกรงใจพอสมควร ต่างก็รู้ว่านางเป็นคนที่ทำงานอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว
ปี้เยว่พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ ผู้บัญชาการคนนั้นจำต้องเดินเข้ามาขวางนางไว้ แล้วกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ฮูหยินจะไปไหนหรือ?”
ปี้เยว่ขมวดคิ้ว “ออกไปเดินเล่นสักหน่อย ทำไมเหรอ ข้าจะออกไปไหนต้องรายงานเจ้าด้วยเหรอ?”
ผู้บัญชาการรีบอธิบาย “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่มีคำสั่ง คนที่เข้าออกในจวนผู้สำเร็จราชการล้วนต้องแสดงหนังสืออนุญาตของพ่อบ้านหยาง คาดว่าท่านเองก็รู้เช่นกัน ช่วงนี้เรื่องพระปีศาจหนานโปร้ายแรงมาก ผู้ตรวจการใหญ่เสริมการป้องกันก็เพราะหวังดีต่อทุกคน”
ปี้เยว่ทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่อง ถามเหมือนแปลกใจว่า “จะออกจากประตูต้องขอหนังสืออนุญาตจากพ่อบ้านหยางด้วยเหรอ? ข้าออกไปเดินประเดี๋ยวเดียว คงไม่ต้องรบกวนพ่อบ้านหยางหรอกมั้ง?”
ผู้บัญชาการยิ้มเจื่อน “ฮูหยิน ท่านอย่าทำให้ผู้น้อยลำบากใจเลย ผลจากการขัดคำสั่ง ขผู้น้อยรับผิดชอบไม่ไหว ฮูหยินกลับไปดีกว่า ไปคุยกับพ่อบ้านหยางก่อนเถอะ”
ปี้เยว่ก็แค่ลองดูเฉยๆ เมื่อเห็นว่าเฝ้าระวังเข้มงวด นางก็ทำได้เพียงกลับไป
ที่ทำงานของหยางเจาชิงในจวนผู้สำเร็จราชการอยู่ที่อุทยานฝั่งซ้าย ตรงข้ามกับอุทยานฝั่งขวาที่ปี้เยว่และผู้หญิงคนอื่นๆ อยู่พอดี
พอเดินมาถึงประตูอุทยานซ้าย ปี้เยว่ก็ลังเลอีก เห็นว่าขอหนังสืออนุญาตจากหยางเจาชิงน่าจะไม่ยาก หยางเจาชิงไม่ถึงขั้นไม่ไว้หน้านาง แต่ปัญหาก็คือการรายงานในเวลานี้ก็เพราะต้องการจะรู้ความเคลื่อนไหวของสมาชิกในจวนผู้สำเร็จราชการ หยางเจาชิงจะให้หนังสืออนุญาตนางก็ต้องถามแน่นอนว่านางจะไปไหน
นางย่อมหาข้ออ้างมาเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อเคยบอกนางไว้ ว่าถ้าจะไปเจอเทียนหยวนก็ให้นางบอกอวิ๋นจือชิวก่อน หลายปีมานี้ฝั่งนี้เห็นแก่หน้าไห่ยวนเค่อ จึงทรัพยาก่อนฝึกตนเลี้ยงนางแบบให้เปล่ามาตลอด ถ้าจะให้นางพูดหลอกลวง ก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม
พอคิดไปคิดมา นางก็รู้สึกว่าต่อให้บอกเหมียวอี้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ตระกูลอิ๋งเป็นอดีตไปแล้ว เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องเล่นงานเทียนหยวนเช่นกัน เทียนหยวนในตอนนี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเหมียวอี้
อวิ๋นจือชิวไม่อยู่ นางคิดไปคิดมาก็ไปหาเหมียวอี้ที่อุทยานด้านหลังด้วยตัวเอง
ใครจะคิดว่าตอนที่มาเจอเหมียวอี้ที่สวนดอกไม้ หยางเจาชิงก็กำลังคุยงานอยู่ข้างกายเหมียวอี้พอดี
“เทียนหยวนต้องการพบเจ้าเหรอ?”
ที่ศาลาในสวนดอกไม้ เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินถามอย่างงุนงง เดิมทีเขาอยากจะส่งปี้เยว่ไปที่แดนอเวจีตั้งนานแล้ว แต่จนใจเพราะสิ่งที่ไห่ยวนเค่อฝากฝังยังไม่สำเร็จ ปี้เยว่ต้องอยู่ที่นี่ถึงจะหาเทียนหยวนได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลายปีมานี้ปี้เยว่จะไม่ได้ติดต่อกลับเทียนหยวนเลย ดีไม่ดีทั้งสองอาจจะติดต่อกันมาตลอดด้วย เพียงแต่ปี้เยว่ไม่ได้บอกเขาเท่านั้นเอง ไม่แน่ว่าทั้งสองอาจจะแอบพบกันหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจวนผู้สำเร็จราชการเสริมการป้องกันพอดี ไม่สามารถเข้าออกอย่างอิสระได้จึงจำเป็นต้องบอก
ปี้เยว่พยักหน้ายืนยัน
เหมียวอี้กล่าวยังลังเล “พบกันในเวลานี้ พระปีศาจหนานโปพรุ่งนี้ออกมาพอดี จะไม่ค่อยปลอดภัยหรือเปล่า?”
ปี้เยว่ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “พระปีศาจหนานโปคงไม่เพ่งเล็งมาที่ข้าหรอกมั้ง”
เหมียวอี้บอกว่า “ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เอาอย่างนี้ ข้าจัดส่งคนไปคุ้มกันเจ้าด้วย เจ้าวางใจ ไม่รบกวนการพบกันของพวกเจ้าของคนแน่นอน” นี่เป็นข้ออ้างทั้งนั้น เขาเองก็ไม่คิดว่าพระปีศาจหนานโปจะเพ่งเล็งมาที่ปี้เยว่พอดี
“เอ่อ…” ปี้เยว่ลำบากใจนิดหน่อย
เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะทำอะไรไม่ดีกับเทียนหยวนหรอกใช่มั้ย? เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย ครั้งนี้ถ้าเจ้าเจอเทียนหยวนแล้ว ตอนหลังก็ติดต่อกันได้อีก ถ้าข้าจะทำเรื่องอะไรไม่ดีต่อเขาจริงๆ ข้าก็ไม่มีทางชี้แจงกับเจ้าได้เช่นกัน ใช่ไหมล่ะ?”
เขาพูดแบบนี้ ปี้เยว่ก็เห็นด้วยเช่นกัน ถ้าต้องการจะทำอะไรเทียนหยวนจริง ตอนหลังตัวเองติดต่อกลับเทียนหยวนก็รู้แล้ว ทำได้เพียงฝืนใจพยักหน้า “ก็ได้!”
เกรงว่าต่อให้นางนอนฝันก็คงนึกไม่ถึงว่าไห่ยวนเค่อจะสั่งให้เหมียวอี้กำจัดเทียนหยวน
เหมียวอี้กำชับหยางเจาชิงทันที “เลือกยอดฝีมือจำนวนหนึ่งจากจวนกลยุทธ์ฟ้าให้คุ้มกันนานแล้วกัน”
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง
หลังจากมองคล้อยหลังทั้งสองจากไป เหมียวอี้ก็หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมตะโกนเรียก “เหยียนซิว!”
ไม่รู้ว่าเหยียนซิวถลันตัวมาจากตรงไหน ราวกับเป็นเงาผี มารอฟังคำสั่งอยู่ข้างกายเหมียวอี้ทันที
เหมียวอี้เอียงหน้าถ่ายทอดเสียง “ไปขอกำลังพลจากเจาชิงแล้วออกเดินทาง อย่าให้ปี้เยว่รู้ตัว รอให้ปี้เยว่กับเทียนหยวนเจอหน้ากันแล้วแยกกันก่อน แล้วค่อยจัดการเทียนหยวน ควบคุมเอาไว้ก่อน รอหลังจากปี้เยว่ยืนยันความปลอดภัยของเทียนหยวนแล้ว ค่อยกำจัดเทียนหยวนทิ้ง” ให้เหยียนซิวออกหน้าเอง ก็ย่อมเป็นเพราะเหยียนซิวมีวิชาที่ควบคุมคนได้ เขาพูดเสริมอีกว่า “เทียนหยวนเองก็มีพลังไม่อ่อนแอ ไม่แน่ว่าข้างกายอาจยังมียอดฝีมือที่รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง เอาตั๊กแตนทมิฬไปด้วยซักสองสามตัว พี่ใหญ่เยี่ยนยังอยู่ที่ดาวสยบใต้ เจ้าถือโอกาสพาเขาไปด้วย จะได้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด เรื่องตรวจสอบตรงประตูดวงดาวข้างนอกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะบอกให้คนปล่อยไป” ตอนนี้เขาเริ่มจะมีอำนาจมากแล้ว อำนาจฝ่ายอื่นก็ยอมรับเช่นกัน ดังนั้นพวกนั้นก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง คนบางกลุ่มสามารถมองข้ามธรรมเนียมบางอย่างไปได้
“รับทราบ!” เหยียนซิวเอ่ยรับ แล้วหายไปเงียบๆ
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาเงียบไป ตัดสินใจว่าหลังจากกำจัดเทียนหยวนแล้ว ก็จะพาปี้เยว่ไปส่งที่แดนอเวจี
เมื่อเห็นว่าไม่คุยธุระกันอีก เฟยหงที่อยู่ไม่ไกลก็เดินอมยิ้มผ่านทางเดินข้างแปลงดอกไม้มา…
ตรงตีนเขาติดแม่น้ำ บ้านพักภูเขาแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าที่มืดครึ้ม
ในบ้านพักภูเขาเงียบสงบ มีเพียงเทียนหยวนขมวดคิ้วมุ่นเดินไปเดินมาอยู่คนเดียว
การนัดเจอปี้เยว่ครั้งนี้ไม่ใช่ความเต็มใจของเขา แต่เป็นประสงค์ของเบื้องบน ให้เขายุยงปี้เยว่ ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าการยุยงปี้เยว่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน เขาไม่อยากทำอย่างนี้ ประกาศแรกเป็นเพราะปี้เยว่ห่างไกลจากอันตรายมากแล้ว เขาตกต่ำถึงขั้นนี้ ไม่อยากดึงปี้เยว่เข้ามาเกี่ยวอีก และตอนนี้ปี้เยว่มีชีวิตที่สงบสุขได้ หนิวโหย่วเต๋อก็มีส่วนช่วยเหลือไม่น้อย แน่นอนว่าเรื่องหลังเป็นสาเหตุรองสาเหตุสำคัญก็คือไม่อยากให้ปี้เยว่เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก นอกเสียจากจะเลือกต่อต้านอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง แต่ก็เงยหน้าถอนหายใจอย่างจนปัญญา ทำได้เพียงก้าวไปทีละก้าว ถ้าเบื้องบนทำเกินไป เขาก็ต้องพิจารณาให้ดีว่าจะเลือกอีกทางหรือไม่
ประเด็นก็คือเขาไม่รู้ว่าเบื้องบนให้เขายุยงปี้เยว่เพราะจะให้ปี้เยว่ทำอะไร ถ้าจะให้ทรยศรายงานข่าวบางอย่างของหนิวโหย่วเต๋อก็ว่าไปอย่าง กลัวก็แต่จะให้ปี้เยว่ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าปี้เยว่จะทำสำเร็จหรือไม่ ต่อให้ทำสำเร็จ แต่เกรงว่าก็ต้องตายอยู่ดี ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อที่แดนรัตติกาลแล้วจะมีทางรอดได้อย่างไร
เขารู้เพียงว่าอำนาจที่เหลืออยู่ของตระกูลอิ๋งตอนนี้มีหัวหน้าตระกูลคนใหม่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลคนใหม่คือใคร เรื่องบางเรื่องคนระดับบนไม่ประกาศต่อเบื้องล่าง…
นอกประตูดวงดาว สงฉีและหู่หลินที่ปลอมตัวแล้วถูกทหารยามดักไว้ สัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วก็ไม่ต้องตรวจ ทุกคนต่างก็รู้ธรรมเนียมในตอนนี้ ทั้งสองใส่หน้ากากโดยเว้นช่องว่างตรงหว่างคิ้วเอาไว้ สามารถเหาะออกมาจากดาราจักรได้ แค่มองตรงหว่างคิ้วปราดเดียวก็รู้แล้ว
ต่อให้เห็นว่าวรยุทธ์ของทั้งสองไม่ธรรมดา แต่รหัสยามคนหนึ่งก็ยังตะโกนบอกอย่างหลงระเริงว่า “ถอดหน้ากากออก”
สงฉีไม่ถอดหน้ากาก แต่หยิบแผ่นหยกขุนนางโยนออกไปโดยตรง
อีกฝ่ายรับมาอ่านดู แล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มอัธยาศัยดีทันที ใช้สองมือคืนแผ่นหยกให้ แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพใหญ่ถง ขออภัยที่เสียมารยาท”
สงฉีรับแผ่นหยกกลับมาแล้วกล่าวเสียงเย็น “เข้าไปได้หรือยัง?” แผ่นหยกเป็นของจริง เพียงแต่เจ้าของแผ่นหยกนี้ตายไปนานแล้ว คนที่มาเฝ้าประตูดวงดาวได้ยศไม่สูงเท่าไหร่ ความรู้ไม่กว้างขวาง เป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบตัวตนทุกคนที่ไปมาประตูดวงดาวแต่ละแห่ง
ทหารยามขออภัยและยิ้มสู้ “แม่ทัพใหญ่ ท่านเองก็รู้ธรรมเนียม อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย”
สงฉีทำเสียงฮึดฮัด “งั้นก็เร็วๆ หน่อย ถ้ายังมีธุระด่วน”
“ได้ๆๆ!” ทหารยามพยักหน้าซ้ำๆ โบกมือเรียกคนคนหนึ่งออกมา รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบบนตัวทั้งสอง โดยเฉพาะตรงที่ใส่สัมภาระ
จู่ๆ ทหารยามที่ตรวจสอบก็เงยหน้ามองหู่หลิน “ในนี้มีผู้หญิงด้วยหมายความว่ายังไง? ให้นางออกมาตรวจสอบสัญลักษณ์พลังสักหน่อยเถอะ”
หู่หลินโบกมือเรียกผู้หญิงออกมา รวบไว้ในอ้อมกอด ผู้หญิงคนนี้หน้าตางดงามที่สุด ปิดตาสนิทเหมือนหลับลึก “ไม่ใช่นักพรต เป็นคนธรรมดา รีบตรวจเร็วๆ หน่อย”
ทหารยามยื่นมือแตะหัวไหล่ผู้หญิงที่หลับลึกพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ พบว่าเป็นผู้หญิงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ์ ไม่ใช่นักพรต อดไม่ได้ที่จะมองหู่หลินหลายครั้ง พึมพำในใจว่า ไม่รู้ว่าไปเสาะหายอดหญิงงามแบบนี้มาจากไหน คนใหญ่คนโตช่างขยันเสพสุขจริงๆ
หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีความผิดปกติอะไร ทหารยามก็ปล่อยไป สงฉีกับหู่หลินรีบเข้ามาในประตูดวงดาวอย่างรวดเร็ว
หลังจากโผล่ออกมากลางอากาศ สงฉีที่เหาะด้วยความเร็วสูงตลอดทางก็หันมองรอบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงถาม “ดังนั้นเตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง?”
หู่หลินพยักหน้า “คนที่ไปถึงก่อนเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีคนเข้าใกล้ก็จะพบทันที”
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงนอกดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เมื่อหาตำแหน่งแล้วก็ฝ่าชั้นบรรยากาศลงไป
ในลานบ้าน เทียนหยวนพี่กำลังเดินไปเดินมาพลันเงยหน้า เห็นเพียงเงาคนสองคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงในลานบ้าน
เทียนหยวนกำลังระวังตัวอย่างสูง ขณะกำลังจะถามว่าเป็นใคร สงฉีก็เอ่ยปากก่อนแล้ว “เทียนหยวน”
เทียนหยวนตะลึงงัน แล้วกุมหมัดคารวะทันที “คารวะผู้ตรวจท่าน ท่านมาได้ยังไง?”
“เรื่องนี้ข้าต้องเข้ามายุ่งด้วยตัวเอง” สงฉีตอบเสียงเรียบ
เทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย รีบมองไปที่หู่หลิน เห็นเพียงหู่หลินเดินเข้าไปในบ้านคนเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านนี้คือใคร?”
สงฉีตอบอย่างคลุมเครือ “เป็นพวกเดียวกัน”
พอปิดหน้าต่างในบ้านสนิท หู่หลินก็ปล่อยสาวงามที่พกมาด้วยออกมา วางบนเก้าอี้อย่างเคารพ ทันใดนั้นบนตัวของผู้หญิงก็กะพริบแสงสีทอ ลำแสงสีทองสายหนึ่งเข้ามาในร่างกายหู่หลิน หู่หลินที่สีหน้าเย็นชายืนขึ้น แล้วเก็บสาวงามคนนั้นไว้ จากนั้นเดินออกจากประตูอย่างไม่รีบร้อน
เจอกันอีกครั้งในลานบ้าน เทียนหยวนก็มองประเมินหู่หลินเป็นระยะ เทียนหยวนสังเกตได้เช่นกันว่าตัวเองถูกสงฉีจับตาดูแล้ว ไม่ให้ตัวเองหลุดพ้นสายตา
เมื่อรอได้สักระยะหนึ่ง ปี้เยว่ก็ปรากฏตัว นำคนสี่คนเหาะลงมาจากฟ้ ลอยอยู่บนฟ้าด้านบนลานบ้าน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองรอบๆ เห็นเทียนหยวนและอีกสองคน สามคนนั้นใส่หน้ากากหมดแล้ว
เทียนหยวนส่งสัญญาณมือไปบนฟ้า พร้อมถ่ายทอดเสียง “ข้าเอง!”
พอเหยียบลงพื้น ปี้เยว่ก็มองคนแปลกหน้าทั้งสองอย่างระวังตัว แล้วถ่ายทอดเสียงให้เทียนหยวน “ทำไมยังมีคนอื่นด้วย?”
เทียนหยวนขมวดคิ้วเช่นกัน “ข้าให้เจ้ามาคนเดียวไม่ใช่เหรอ?”
สองสามีภรรยาชะงักพร้อมกันอีก เหมือนจะหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของกันและกัน
………………