ตอนที่ 318 ต้องโทษว่า ผิดที่เขา…มั่นใจมากเกินไป (2)
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วเข้าไปในหอนั้น ดวงตาของเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่ว ก็สว่างวาบขึ้น และดูเหมือนว่า ดวงตาที่สิ้นหวังแต่เดิมของเจียงหลินเอ๋อร์ ก็ฉายแววแห่งความหวังขึ้นมาเล็กน้อยในขณะที่ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งเป็นเพียงคนเดียวที่มองหลี่ฉางโซ่วด้วยท่าทางใจดีมีเมตตาที่บรรดาผู้อาวุโสส่วนใหญ่จะมีให้กับเหล่าผู้เยาว์
หลี่ฉางโซ่วพาหลิงเอ๋อร์ก้าวออกไปข้างหน้าแล้วโค้งคารวะให้เพื่อน้อมพบเจ้าสำนัก ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งและปรมาจารย์ใหญ่ของเขา
จี้อู๋โหย่วหรี่ตาและพยักหน้าให้พลางกล่าวทักทายอย่างกันเองว่า “ฉางโซ่ว เจ้ามาแล้ว”
“ศิษย์อยู่ที่นี่แล้วขอรับ…”
“อืม ดี ข้าจะจัดการกับยอดเขาหยกน้อยของเจ้าก่อน” จี้อู๋โหย่วกล่าวว่า “เดิมทีข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนหว่างฉิง แต่ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้า”
ไฉนจึงดูเหมือนว่า เจ้าสำนักกำลังพยายามจะชี้แจงอะไรบางอย่าง?
จิ่วอี้อีงุนงงเล็กน้อย จากมุมมองของนาง บางทีอาจจะเป็นเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่ว และศิษย์น้อยที่โดดเด่นแห่งยอดเขาหยกน้อยผู้นี้… มีมิตรภาพที่ยาวนาน ทันใดนั้น จิ่วอี้อี ก็นึกถึงอีกตัวตนหนึ่งของหลี่ฉางโซ่ว ซึ่งเป็นนักหลอมโอสถอัจฉริยะของสำนัก!
โอสถที่เขาหลอมขึ้นมาเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้อาวุโสอย่างมาก และยังยากที่จะได้รับแม้แต่เม็ดเดียว
หรือว่า บางที่ท่านเจ้าสำนักก็เช่นกัน…
ใช่ แม้เจ้าสำนักจะไม่มีคู่บำเพ็ญเต๋า แต่เขาก็ดูอ่อนแรงเล็กน้อย
จิ่วอี้อีคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างมากมายในทันที
หลี่ฉางโซ่วถามเบาๆ ว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ ท่านเรียกหาศิษย์ให้มาที่นี่ ไม่รู้ว่า… มีอันใดเกิดขึ้นหรือขอรับ?”
เจียงหลินเอ๋อร์ถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวเสียงเบาว่า “เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน สหายของข้าเพิ่งส่งข้อความผ่านยันต์หยกส่งสารมาว่า อาจารย์ป้าของเจ้าหายตัวไปในชีวิตนี้ และข้าก็ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใดในแดนยมโลก ไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว! ฉางโซ่ว เราควรทำอย่างไรกันดี? เดิมทีชาตินี้นางก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวนัก ข้ายังเคยคิดด้วยซ้ำว่าจะฝึกบำเพ็ญอย่างไรและจะบรรลุสู่เซียนได้อย่างไรหลังจากที่นางกลับชาติมาเกิด เรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้งโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร!?! เป็นสวรรค์ที่ไร้ตาจริงๆ เหตุใดศิษย์คนโตของข้าจึงต้องทนทุกข์ทรมานมากถึงเพียงนี้!?!”
ขณะนั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งที่อยู่ด้านข้างของนางก็ยื่นมือออกมาตบแขนของเจียงหลินเอ๋อร์เบาๆ
เขากล่าวปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นใจว่า “นี่เป็นเพียงข้อความที่เพิ่งส่งมาจากแดนยมโลก สถานการณ์ยังไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น หลินเอ๋อร์ อย่ากังวลมากเกินไปเลย เรายังมีโอกาสจะพลิกสถานการณ์ได้”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ไม่เอ่ยวาจาใด เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง
ความจริงแล้ว เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นไม่ออกจริงๆ วิญญาณต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ จึงไม่แปลกที่จะถูกฆ่าหรือเอาไปใช้หลอมโอสถ เป็นเพียงว่า เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับคนใกล้ตัว จึงยากที่จะยอมรับได้
*แค่กๆ แค่กๆ*
จี้อู๋โหย่วอดกระแอมไอออกมาไม่ได้
วันนี้ เจ้าสำนักมีอาการไอเล็กน้อย อย่างน้อยๆ เขาก็ยังไม่กระอักเลือดออกมาตรงๆ
บางที คงเป็นเพราะปราณวิญญาณที่ความบอบช้ำได้ทุเลาลงมาก
เจ้าสำนักเพียงกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ข้าคิดว่า ตอนนี้ เราน่าจะส่งคนไปตรวจสอบที่แดนยมโลก ย่อมจะดีกว่าที่เราจะมัวมาคาดเดากันไปเรื่อยๆ อยู่ที่นี่”
เดิมทีเจียงหลินเอ๋อร์ก็อยากจะพยักหน้ารับทันที แต่นางก็เงยหน้ามองไปที่หลี่ฉางโซ่วด้วยดวงตาที่ฉายแววคำถามอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า ผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อการตัดสินของเจียงหลินเอ๋อร์มากที่สุดนั้น หาใช่เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วไม่ แต่เป็นศิษย์หลานตัวน้อยของนางเอง…
“โปรดอภัยที่ศิษย์ขอบังอาจกล่าวขอรับ ท่านเจ้าสำนักกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ เราจะรู้เรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราไปที่แดนยมโลก”
หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า “ไยท่านปรมาจารย์ใหญ่ไม่พาศิษย์ไปที่แดนยมโลกเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดเล่าขอรับ?”
แล้วต่อจากนั้น แน่นอนว่า เขาย่อมจะใช้ให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ไปที่นั่นพร้อมกับปรมาจารย์ใหญ่ของเขา
เจียงหลินเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วยในทันที และก่อนที่นางจะทันได้กล่าวอะไรออกไปมากกว่านี้ เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกชายเสื้อคลุมเต๋าของเขาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เช่นนั้นก็อย่าได้รอช้า พวกเรารีบไปเถิด!”
ในขณะนั้น ทุกคนในห้องต่างก็เงียบสนิท เงียบจนสามารถได้ยินแม้เสียงเข็มหมุดร่วงหล่น ชั่วเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนมีสีหน้าแตกต่างกัน
พวกเขาคิดว่า ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านเจ้าสำนักใส่ใจเรื่องของยอดเขาหยกน้อยมากเช่นนี้?
จี้อู๋โหย่วกล่าวอย่างสงบว่า “เป็นเพียงว่า ในเวลานี้ ผู้อาวุโสหว่างฉิงกำลังเตรียมพร้อมเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ จึงไม่อาจดำเนินการได้ แล้วข้าก็อยู่เงียบๆ มานาน จู่ๆ ก็เลยเพิ่งคิดได้ว่า อยากออกไปเดินเล่นรอบๆ ที่ข้างนอกบ้างสักหน่อย ดังนั้นข้าก็จะได้ไปเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่แดนยมโลก”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
ท่านต้องกล่าวว่า ‘เพิ่งคิดได้’ เพื่อให้เหตุผลของท่านกระจ่างชัดหรือนั่น?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงและเจียงหลินเอ๋อร์ ต่างก็มองหน้าและยิ้มให้กันและกัน พวกเขาทั้งสองต่างก็งุนงงอย่างอธิบายไม่ถูกเล็กน้อย
จิ่วอี้อีที่สง่าและงดงามเป็นปกติแล้ว บัดนี้ ดวงตาคู่งามของนางได้ขยับมองไปมาระหว่างท่านอาจารย์ของนางและท่านเจ้าสำนัก
เรื่องราวเป็นเช่นนั้น
ในอีกด้านหนึ่งนั้น หลิงเอ๋อร์ ปีศาจน้อยผู้เฉลียวฉลาด จะกะพริบตาปริบๆ อย่างรวดเร็วก่อนจะเลื่อนสายตาของนางกลับไปกลับมาที่ทั้งสามคนคือ ปรมาจารย์ใหญ่ของนาง ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและท่านเจ้าสำนัก
นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านยังต้องปกป้องสำนักด้วยเช่นกัน ย่อมไม่อาจเคลื่อนไหวตามอำเภอใจได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์อันเป็นที่รักของหลินเอ๋อร์ ในการเดินทางครั้งนี้ ข้าต้องติดตามหลินเอ๋อร์ไปตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดนี้เองขอรับ”
“เฮ้ ไม่เป็นไร” จี้อู๋โหย่วโบกมือและกล่าวว่า “อย่าห่วงไปเลย หว่างฉิง เวลานี้ สำนักตู้เซียนของเรามีแต่ความมั่นคงเท่านั้นแล้ว! ข้าจะอยู่ปกป้องสำนักหรือไม่ก็ไร้ประโยชน์ แต่ตรงกันข้าม กลับจะเป็น… แค่กๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ตัดสินอย่างนี้แล้ว พวกเราจะออกเดินทางกันในอีกครึ่งชั่วยาม!
และนั่นก็ถือเป็นคำสั่งของเจ้าสำนัก
พวกเจ้าทั้งสองคนไปเตรียมตัวให้พร้อม ข้าก็จะเตรียมของขวัญบางอย่างไปบ้าง ยังมีคนรู้จักอยู่สองสามคนในสำนักงานแห่งแดนยมโลก”
ขณะที่จี้อู๋โหย่วกล่าว เขาก็ออกจากหอไปโดยเอามือไพล่ไว้ข้างหลัง แล้วปล่อยให้พวกเขาที่เหลือต่างมองหน้ากัน
วันนี้ มีอันใดผิดปกติเกิดขึ้นกับท่านเจ้าสำนักผู้นี้หรือ?
โดยปกติแล้ว เขาไม่ค่อยเดินไปรอบ ๆ สำนัก แล้วไฉนจู่ๆ จึงทำตัวเช่นนี้… หลี่ฉางโซ่วพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างคร่าวๆ แต่ไม่เอ่ยอะไร
จากนั้นเขาก็กล่าวกับเจียงหลินเอ๋อร์ว่า “ศิษย์ขอกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจะรีบพาหลิงเอ๋อร์ออกจากที่พำนักหว่างฉิงกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยก่อนขอรับ” สิ่งที่เรียกว่าการเปลี่ยนเสื้อผ้านั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการเปลี่ยนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เท่านั้น
มันย่อมจะอันตรายเกินไปที่เขาจะใช้ร่างหลักออกไปพร้อมกับเจ้าสำนักที่เป็นเซียนจิน ซึ่งระดับพลังการต่อสู้เซียนจิน และเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน หลี่ฉางโซ่วจึงใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ดีที่สุดที่เขาสร้างขึ้นมา และใส่พลังลมปราณของเขาเข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้น เขาก็เตรียมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สำรองอีกสองสามตัว
เขายังสั่งหลิงเอ๋อร์ไม่ให้เปิดเผยเรื่องนี้…
“ศิษย์พี่ ข้าขอไปด้วยไม่ได้หรือเจ้าคะ?” หลิงเอ๋อร์ถามอย่างน่าสงสาร
“พลังงานวิญญาณในแดนยมโลกแพร่กระจาย และเต็มไปด้วยลมปราณปีศาจชั่วร้ายและลึกลับ ซึ่งหากเจ้าไปสัมผัสแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้กับรากฐานเต๋าของเจ้าเสียหายได้”
หลี่ฉางโซ่วชี้แจงบางอย่างให้นางฟัง และยังเตือนนางอย่างกังวลว่า “หากท่านอาจารย์ถามว่าพวกเราจะออกไปทำอะไรข้างนอก…”
“ข้าก็จะบอกว่าท่านปรมาจารย์ใหญ่พาท่านติดตามท่านเจ้าสำนักออกไปหารือเรื่องเต๋าด้วยกันเจ้าค่ะ!”
“ช่วงนี้ เจ้าฉลาดขึ้นแล้ว” หลี่ฉางโซ่วยกมือลูบศีรษะพลางขยี้เส้นของหลิงเอ๋อร์ จนทำให้เส้นผมของนางยุ่งเหยิงเล็กน้อย “เอาล่ะ ข้าต้องไปเดี๋ยวนี้แล้ว”
กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็หันกลับแล้วเดินไปที่… หอโอสถ
หลังจากนั้น ร่างหลักของเขาก็กลายเป็นควันพวยพุ่งแล้วไปที่ห้องลับใต้ดิน
ในเวลาเดียวกันนั้น เบาะนั่งสมาธิหน้าเตาหลอมโอสถก็สั่นไปมาเบาๆ แล้วร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ขยายตัวเติบโตขึ้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า นั่นเป็นร่างจำแลงของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์
หลิงเอ๋อร์กะพริบตา ดวงตาของนางฉายแววลังเลเล็กน้อยและถามเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ มีความแตกต่างระหว่างร่างนี้และร่างหลักของท่านหรือไม่เจ้าคะ? ไยข้าถึงมองไม่ออกเลย”
หลี่ฉางโซ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสรุปว่า “ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นี้เป็นเพียงรูปลักษณ์ลวงตาเท่านั้น ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของมันจะดูสมจริงเพียงใด มันก็ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังเวทเท่านั้น มันคล้ายกับเวทอำพรางที่ต่อกรกับผู้อื่น แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย”
หลิงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างสับสนแล้วเฝ้าดูร่างจำแลงของหลี่ฉางโซ่วออกไปจากหอโอสถ
เดิมทีหลิงเอ๋อร์ยังคงรู้สึกลังเลใจที่จะร่วมมือกับเขา แต่นางก็ก้มศีรษะมองลงมาและรู้ว่า ขณะนี้ ศิษย์พี่ของนางกำลังซ่อนตัวอยู่ในร่องหินบนยอดเขาหยกน้อย…
เฮ้อ ตัวตนของศิษย์พี่นั้น… อธิบายไม่ถูก ไม่อาจอธิบายได้จริงๆ
เขาลึกลับเกินไป จนทำให้ศิษย์น้องหญิงเช่นนาง รู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง!
………………………………………………………………..