ตอนที่ 411 ตั้งใจไปหาสมบัติ กลับไม่ได้ แต่กิ่งหลิวที่ไร้ใจกลับระเบิดเกิดขึ้นมา (2)
ในครึ่งปีต่อมา กลุ่มตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ล่าสมบัติของหลี่ฉางโซ่วก็ได้ค้นหาไปทั่วทุกพื้นที่ในดินแดนเทวะมัชฌิมา
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ล่าสมบัติมากกว่ายี่สิบตัวจึงแยกกลุ่มกัน พวกเขาใช้ชื่อคู่มือสมบัติวิญญาณบรรพกาลเพื่อรวบรวมข่าวลือและข้อมูลทุกประเภท แต่ในท้ายที่สุด เขาก็รวบรวมได้เพียงสมบัติวิญญาณที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่มีข่าวว่าเหรียญทองแดงลั่วเป่าอยู่ที่ใด และในทางกลับกัน ก็ดูเหมือนว่า คู่มือสมบัติวิญญาณบรรพกาลกำลังจะถูกเผยแพร่ออกไป…
เฉาเป่า และเซียวเซิงก็เป็นเซียนเช่นกัน และไม่รู้ว่าจะไปหาพวกเขาที่ใด
แม้งานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา จะไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่ผลที่ได้มาก็ยังทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหดหู่เล็กน้อย มันช่วยไม่ได้ ในทุกวันนี้ การค้นหาสมบัติเป็นเรื่องยาก
“ไปถ้ำเมฆไฟกันเถิด” จากนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เทพแห่งท้องทะเลของหลี่ฉางโซ่วในศาลสวรรค์ก็ออกจากที่พำนักของเทพแห่งท้องทะเลและขี่เมฆไปทางหอสมบัติหลิงเซียวโดยไม่รอช้า
เมื่อกล่าวถึงถ้ำเมฆไฟ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอ่ยถึงชายชราผู้มีชื่อเสียงแห่งโลกบรรพกาล ตัวอย่างเชิงลบทั่วไปของพระสูตรมั่นคง บรรพชนหงอวิ๋น ! เมื่อบรรพชนหงอวิ๋นถูกคุนเผิงซุ่มโจมตีและกลับชาติมาเกิดหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ถ้ำเมฆไฟก็ถูกปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ต่อมาก็ได้กลายเป็นสถานที่ที่สามกษัตริย์ และห้าจักรพรรดิแห่งเผ่ามนุษย์เข้าปิดด่านหลังจากกลายเป็นปราชญ์ คำว่า ‘ปราชญ์’ ของสามกษัตริย์ และห้าจักรพรรดิเป็นความหมายของปราชญ์ ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมต่างจากเหล่าจอมปราชญ์เทพบรรพกาล
หลี่ฉางโซ่วเคยได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นในช่วงวัยเยาว์ของเขา
หลังจากการเทศนาเต๋าในวังเมฆม่วง หงอวิ๋นก็ได้รับกระแสพลังปราณม่วงหงเหมิง แต่เนื่องจากหงอวิ๋นแห่งวังเมฆม่วงได้สละที่นั่งให้กับคนสองคนแห่งสำนักบำเพ็ญประจิม คุนเผิงจึงถูกบังคับให้สละที่นั่งของเขาโดยไม่มีทางเลือกและทำให้คุนเผิงสูญเสียโอกาสในการเป็นปราชญ์ จากนั้น ปรมาจารย์ปีศาจคุนเผิงก็ลอบโจมตีบรรพชนหงอวิ๋น
เมื่อบรรพชนหงอวิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้ตาย เขาโชคดีที่มีปรมาจารย์ซันชิงและเจิ้นหยวนจื่อ เข้ามาจัดการหยุดคุนเผิงเอาไว้ แล้วปล่อยให้เสี้ยววิญญาณของบรรพชนหงอวิ๋นหลบหนีไปที่สังสารวัฏหกวิถีเพื่อหล่อเลี้ยง และบรรพาจารย์เต๋าก็ดึงพลังปราณม่วงหงเหมิงออกมา เมื่อเผ่าเวทและปีศาจพ่ายแพ้ เผ่ามนุษย์ได้ผงาดขึ้นมา สามกษัตริย์จะปรากฏขึ้น และห้าจักรพรรดิจะกลับมา และเผ่ามนุษย์ก็จะกลายเป็นตัวเอกของโลก
ลือกันว่า หงอวิ๋นได้กลับชาติมาเกิดเป็นเสิ่นหนง และพลังปราณม่วงหงเหมิงที่แต่เดิมเป็นของหงอวิ๋นก็ถูกแบ่งออกเป็นแปดส่วน แล้วสามกษัตริย์ ห้าจักรพรรดิก็ได้แบ่งปันโอกาสที่จะเป็นปราชญ์ สามกษัตริย์ได้รับส่วนแบ่งที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยในขณะที่ห้าจักรพรรดิก็มีส่วนแบ่งน้อยกว่าเล็กน้อย
ดังนั้น สามกษัตริย์และห้าจักรพรรดิจึงไม่ใช่ปราชญ์ แต่พวกเขาเข้าใกล้ปราชญ์
พวกเขาเป็นรากฐานสำคัญแห่งชะตากรรมของเผ่ามนุษย์และเป็น “ไพ่ไม้ตาย” ของเผ่ามนุษย์ และเผ่าพันธุ์อมนุษย์จะไม่ปรากฏขึ้นง่ายๆ เมื่อเผชิญกับความตาย
บัดนี้ศาลสวรรค์ทรงพลังอำนาจแล้ว วิถีมนุษย์ก็อยู่ภายใต้อำนาจของศาลสวรรค์ ดังนั้นการอาศัยนามขององค์เง็กเซียนเพื่อไปเยี่ยมเยียนปราชญ์มนุษย์ในถ้ำเมฆไฟ จึงเป็นการเคลื่อนไหวที่สมควรแล้ว
ที่สำคัญที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็จะไม่ได้รับกรรมใดๆ เพิ่มเติม เพราะในท้ายที่สุดเขาก็เพียงแค่ทำตามบัญชาเท่านั้น
องค์เง็กเซียนนั้นหลอกง่าย…
แค่กๆ องค์เง็กเซียนทรงพระปรีชา เขาย่อมเห็นด้วยกับคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่วทั้งหมด องค์เง็กเซียนเขียนสารมาโดยกล่าวว่า ตอนนี้เขาเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์ที่ดูแลสามอาณาจักร ในอนาคตเขาจะดูแลเผ่าซึ่งเป็นตัวเอกของโลก และหวังว่าเผ่ามนุษย์จะสนับสนุนศาลสวรรค์และทำพิธีเซ่นไหว้ บูชาต่อสวรรค์และปฐพีและศาลสวรรค์ หากเผ่ามนุษย์เกิดความขัดแย้งกับศาลสวรรค์ พวกเขาก็จะสื่อสารกันได้ทันการณ์
ด้วยสารนี้และบัญชาขององค์เง็กเซียน หลี่ฉางโซ่วจึงขอให้แม่ทัพตงมู่เตรียมของขวัญก่อนจะออกจากศาลสวรรค์ แล้วมุ่งหน้าตรงไปที่ถ้ำเมฆไฟในดินแดนเทวะมัชฌิมา
ทว่าเพียงเมื่อตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เทพแห่งท้องทะเลของหลี่ฉางโซ่วขี่เมฆ บินอยู่เหนือดินแดนเทวะมัชฌิมา ก็เกิดเสียงวุ่นวายหนึ่งกระตุ้นเตือนร่างหลักของเขา ทำให้หลี่ฉางโซ่วเสียสมาธิ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้น จึงให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เทพแห่งท้องทะเลร่อนลงในป่าแล้วใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อซ่อนตัวใกล้เส้นชีพจรปฐพี
ในขณะนั้น เขาก็เพ่งจิตส่วนใหญ่ไปที่ยอดเขาหยกน้อยแล้วออกจากหอโอสถไปอย่างรวดเร็ว
ตึ้ง
เสียงระฆังบนยอดเขาพิชิตสวรรค์ดังขึ้น พลังลมปราณเซียนจินทั้งสามพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า และมีร่างต่างๆ บินขึ้นจากยอดเขาทั้งหลาย!
ในขณะนั้น บนยอดเขาตันติ่ง ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนได้ปรากฏตัวพร้อมกับผู้อาวุโสสองคน
ที่ข้างกรงสัตว์วิญญาณของยอดเขาหยกน้อย จิ่วจิ่วรีบเตือนหลิงเอ๋อร์ให้ดูแลจิ๋วอวี่ซือก่อนจะขี่น้ำเต้าใหญ่พุ่งไปที่สำนัก เสียงระฆังนั้น บ่งชี้ว่าพวกเขาได้เผชิญกับศัตรูแล้ว
หลี่ฉางโซ่วไม่รีบร้อน เขาขี่เมฆขาวแล้วก้าวช้าๆ ตรงไปที่สำนัก
สถานการณ์ในยามนี้ คล้ายกับที่เขาคาดไว้ก่อนหน้านี้
เวลานี้ มีเรือไม้ลำใหญ่พุ่งทะลุออกมาจากท้องฟ้า ทางทิศใต้ห่างจากสำนักตู้เซียนไปสามพันลี้ มีควันหลากสีลอยอยู่รอบลำเรือที่ประดับประดาไปทั่วทุกที่ด้วยโคมไฟและธงหลากสี นอกจากนี้ ยังมีบุรุษหล่อเหลาและสตรีอยู่บนนั้น ทว่าการแต่งกายของพวกเขาแต่ละคนนั้น คือ…
จะกล่าวให้ดี มันก็ไม่น่าฟัง แต่กล่าวตรงๆ ก็คือ ขั้นต่ำเรียกว่า อนาจาร และขั้นสูงสุดก็เรียกว่าน่าเกลียด
หลี่ฉางโซ่วมองดูมันอย่างระมัดระวังอยู่สักพักก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ในใจ
เปิดเผยเกินไป แน่นอนว่า คนเหล่านั้นย่อมเป็นปีศาจที่อาจารย์ลุงจิ่วอูกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ภูมิหลังของพวกเขาซับซ้อนยิ่งและยังมีบุญ
ก่อนหน้านี้ อาจารย์ลุงจิ่วอูได้กล่าวถึงปีศาจจิ้งจอก หลี่ฉางโซ่วจึงคิดให้แผนจิ่วอู แผนนั้นง่ายมากจริงๆ นั่นคือ ให้สำนักตู้เซียนแอบกระจายข่าวออกไปเพื่อให้เผ่าปีศาจจิ้งจอกรู้ว่า ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ สบายดี เป็นเพราะนางเปิดสำนักโคมเขียวอยู่ในดินแดนเทวะทักษิณ แล้วปล่อยให้ปีศาจบางตัวดูดซับพลังหยางของมนุษย์เพื่อฝึกบำเพ็ญ นางจึงถูกสำนักจับเอาไว้
แผนง่ายๆ แต่ได้ผลดียิ่ง
เขาต้องการแสดงให้เห็นชัดเจนเพื่อให้เผ่าปีศาจจิ้งจอกแน่ใจว่า ปีศาจจิ้งจอกยังปลอดภัยดีเพื่อไม่ให้เรื่องนี้บานปลายจนระเบิดจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อปีศาจมาเยือนสำนักบำเพ็ญเต๋าของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน พวกเขาก็ได้รับแจ้งว่าหลังจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีการจับปีศาจจิ้งจอกตัวใดอีกเลย
พวกเขาย่อมจะตรวจสอบทีละขั้นตอน และในที่สุดก็จะพบสำนักตู้เซียนอย่างแน่นอน ก่อนที่ปีศาจกลุ่มนั้นจะมาสำนักตู้เซียน พวกเขาก็ต้องได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักตู้เซียนมาเป็นอย่างดี
พวกเขาย่อมรู้ว่า แม้สำนักตู้เซียนจะอยู่ในดินแดนเทวะบูรพา แต่ครั้งหนึ่ง ก็เคยได้รับการคุ้มครองจากปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ดังนั้น พวกปีศาจจึงยับยั้งชั่งใจเอาไว้มากเช่นกัน พวกเขาหยุดเรือไม้ที่ชายแดนของสำนักตู้เซียนที่อยู่ห่างออกไปสองพันลี้ พวกเขาส่งชายหญิงสองสามคนที่อยู่ในขอบเขตเซียนเทียนออกไปข้างหน้าเพื่อชี้แจงเจตนาของพวกเขาจากระยะไกล
พวกเขายังทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกในทำนองที่พวกเขาบอกว่า อย่าลงมือนะ พวกเขามาที่นี่เพื่อขอไถ่ตัวผู้ที่ถูกคุมขังอยู่เท่านั้น
หลังจากนั้นสิ่งต่างๆ ก็จะราบรื่น
สำนักตู้เซียนได้แอบตรวจสอบปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นลับๆ และพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งเพียงกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในกรงใต้ดินเท่านั้น และบัดนี้ ก็มีฐานพลังแข็งแกร่งกว่าเมื่อยามที่มันถูกขังเอาไว้มาก
หนึ่งในผู้บริหารแห่งหอลงทัณฑ์ได้แจ้งให้ปีศาจจิ้งจอกรู้ตัวล่วงหน้า และคนในเผ่าของนางจะมารับนางในเร็วๆ นี้
ที่หน้าประตูสำนัก
เมื่อปีศาจเหล่านี้ก้าวออกไปข้างหน้า พวกเขาก็มอบของขวัญและกล่าวถ้อยคำดีๆ
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักตู้เซียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง พวกเขารู้สึกลำบากใจเมื่อให้กลุ่มปีศาจเหล่านี้สาบานว่า ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้จะไม่ทำสิ่งชั่วร้ายใดๆ อีกต่อไปในอนาคต
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินผ่านสถานที่รับรอง ภายใต้สายตาจับจ้องของบรรดาศิษย์มากมายของ สำนักตู้เซียน จากนั้น ผู้บริหารสองสามคนก็ปล่อยปีศาจจิ้งจอกออกจากกรงขังเส้นชีพจรปฐพี …
ดูเหมือนว่า ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้จะมีภูมิหลังแข็งแกร่งยิ่ง เมื่อเห็นนาง เผ่าปีศาจก็ส่งเสียงร้องเบิกบานทันที และมีปีศาจจำนวนมากถึงกับร้องไห้ด้วยความปีติยินดี
เดิมทีเรื่องนี้ควรจะจบลงแล้ว ทว่าจู่ๆ ก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ… “ข้าขอเข้าร่วมสำนักตู้เซียน ได้หรือไหม?” ปีศาจจิ้งจอกถามเบาๆ ดวงตาของนางดูบริสุทธิ์ใสกระจ่างชัดเจน และกลิ่นอายลมปราณที่นางแผ่ออกมารอบตัวชัดเจนนั้น ก็มีกลิ่นอายปีศาจอยู่ไม่มากนัก
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน ก็สังหรณ์ใจไม่ดี
“นี่?” ผู้อาวุโสขมวดคิ้วและกล่าวว่า “สหายเต๋า สำนักตู้เซียนเป็นศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เรารับแต่ศิษย์มนุษย์เท่านั้น”
“ข้าเป็นสัตว์วิญญาณที่ปกป้องภูเขาได้และยังยินดีจะเป็นสาวใช้กวาดพื้นด้วย”
ปีศาจจิ้งจอกที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมา รีบกล่าวทันควัน ภายใต้สายตาจ้องมองที่สับสนของพวกพ้องของนาง นางก็ก้าวออกไปข้างหน้าบนก้อนเมฆสองสามก้าว ดวงตาดุจหงส์ของนางฉายแวววิงวอน
“หากไม่ ได้ เช่นนั้น ก็โปรดให้ข้าไปพบนักพรตเต๋าที่จับข้าในตอนนั้นด้วยเถิด ข้ามีอะไรบางอย่างจะพูดกับเขา”
………………………………………………………………..