ตอนที่ 460 เสวียนตูเที่ยวชมทั่วยอดเขาหยกน้อย ฉางโซ่วต้องการผ่านพระสูตร (2)
ในเวลาไม่นานต่อมา ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ก็เดินผ่านมิติด้วยพลังเวทของเขา และกลับไปที่ หอโอสถที่ถูกห่อหุ้มด้วยค่ายกลชั้นนอก เขาหยุดอยู่หน้าชั้นวางตำราตรงมุมหอโอสถและจ้องมองไปยังม้วนตำราที่วางแบนราบ
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เดินไปข้างหน้าช้าๆ พลางไพล่มือไปไว้ด้านหลัง เขามองทะลุใบไผ่นอกม้วนกระดาษอย่างง่ายดาย และเห็น “ห้อง” เล็กๆ ที่ถูกห่อหุ้มด้วยกฎห้ามต่างๆ เอาไว้
ห้องนี้มีความยาวเพียงสามชุ่นและกว้างหนึ่งชุ่น มันเต็มไปด้วยเครื่องตกแต่งทุกชนิด
บนเตียงเล็กๆ นั้น มีนักพรตเต๋าตัวเท่ามด กำลังนอนไขว้ขา ดื่มสุรา และอ่านตำราโบราณอย่างเพลิดเพลิน…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เกือบจะหัวเราะลั่นออกมา
เมื่อคิดถึงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่เขาเห็นในระหว่างทาง ในท้ายที่สุดปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วมองดูม้วนตำรา พลางทอดถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เจ้าหมอนี่ เหตุใดเจ้าถึงต้องอำพรางตัวแน่นหนาปานนี้? เจ้ากลัวว่า ท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์จะจับกุมเจ้าหรือ?”
“หือ?”
‘เจ้าคนตัวเล็ก’ ในม้วนตำรา พลันตะลึงงันไปชั่วครู่ก่อนจะตัวแข็งค้างอยู่บนเตียง
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ใช้พลังเวทเพื่อตรวจสอบและพบว่าเขายังคง…
ในขณะนั้น ที่ด้านหลังของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นักหลอมโอสถ ซึ่งกำลังเฝ้าเตาหลอมโอสถอยู่ ก็หันศีรษะไปมอง แล้วรีบลุกขึ้นยืนอย่างลุกลี้ลุกลนพลางกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ศิษย์อยู่นี่! ส่วนนั่น เอาไว้ใช้หลอกล่อศัตรูขอรับ!”
กล่าวจบ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็หยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาจากแขนเสื้อแล้วเทเม็ดโอสถวิญญาณสีหยกออกมา ทันใดนั้น โอสถวิญญาณก็ระเบิดออกแล้วกลายเป็นร่างของหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วรีบโค้งคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นมองปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อย่างระมัดระวัง ซึ่งในขณะนั้น มองปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กำลังหันกลับมาช้าๆ
เอ่อ…
มีเจตนาสังหาร!
ชั่วเวลาต่อมา ในหุบเขาที่หลี่ฉางโซ่วและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พบกันครั้งแรก ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยืนยิ้มอยู่ข้างลำธารด้วยอารมณ์เบิกบานใจยิ่ง
หลี่ฉางโซ่วเอามือกุมหน้าผากที่ปูดบวมขณะย่างปลาวิญญาณสองสามตัวที่เขาเพิ่งเก็บขึ้นมาจากแม่น้ำ เขายังคงถอนหายใจเบาๆ ไม่หยุด… ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ใช้คาถาเวทอะไรที่ทำให้ข้าเกิดอาการ ‘สมองยุบ’ จนถึงขนาดที่ศีรษะของข้ายังบวมไม่หายซึ่งทำให้ข้ายังเจ็บปวดอยู่ มาก แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างเต๋าและปราณวิญญาณของข้าให้ได้รับบาดเจ็บ?
จากนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถามอย่างสบายๆ ว่า “ฉางโซ่ว เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าเคยพบศัตรูที่ทรงพลังหรือไม่?”
ถามราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้และหาคำตอบก่อนที่จะคิดว่า เหตุใดปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงถามเช่นนั้น
หากต้องพูดถึงศัตรูทรงพลังที่เขาเพิ่งเผชิญหน้ามา ก็น่าจะพิจารณาให้นักพรตเต๋าลู่หยาเป็นหนึ่งในนั้น และนักพรตเต๋าหรานเติ้งก็นับเป็นหนึ่งได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีจักจั่นสีทองซึ่งแทบจะนับได้เป็นหนึ่งในสาม…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วกล่าวเสียงทุ้มเบาๆ ออกมาในทันทีว่า “เมื่อไม่นานมานี้ ศิษย์ได้พบกับนักพรตเต๋าชรา เขามีสมบัติวิญญาณน้ำเต้าที่เรียกว่า มีดบินสังหารเซียน
ตามที่ศิษย์คาดเดา นักพรตเต๋าชราผู้มีนามว่า ลู่หยา น่าจะเป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งศาลปีศาจโบราณที่ยังเหลืออยู่ มีดบินของเขาทรงพลังยิ่ง หากเขาปรับแต่งมันได้สำเร็จ เขาก็จะเป็นคนที่รับมือได้ยากลำบากมาก”
“ลู่หยา?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ทำมุทราหยั่งรู้ และผ่านไปไม่นาน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มีคำเตือนจากลูกซิ่วฉิว[1]สีแดง
“จอมปราชญ์เทพได้ปกปิดความลับแห่งสวรรค์เอาไว้ให้เขา” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแบมือซ้าย แล้วแผนภาพไท่จี๋ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้น เขาก็ยังคงทำการหยั่งรู้ต่อไป
ในเวลาไม่นาน ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็กล่าวว่า “ลู่หยาซ่อนตัวอยู่ในวังอีกาทองคำบนดวงสุริยัน ดูเหมือนว่า จอมปราชญ์เทพได้ช่วยรวบรวมโชคที่เหลืออยู่ของเผ่าปีศาจให้เขาและมอบโชคชะตาในการฟื้นฟูเผ่าปีศาจให้แก่เขา ทว่าโชคที่เหลืออยู่นี้ไม่ลึกล้ำนัก ทั้งยังไม่แน่นอน ชะตากรรมของเขาคงยากจะจบลงด้วยดี ฉางโซ่ว ความจริงแล้ว ในวันนี้ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องนักพรตเต๋าลู่หยา เจ้าเคยพบจั๊กจั่นสีทองหกปีกหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “นั่นเป็นสัตว์ร้ายที่สำนักบำเพ็ญประจิมเลี้ยงดูอยู่ ศิษย์ประมือกับเขามาสองสามครั้งแล้วขอรับ”
“ลองดูสิ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่สะบัดนิ้ว แล้วเสี้ยวอักขระเต๋าก็พุ่งตรงไปที่หน้าผาก เจาะเข้าที่กลางหว่างคิ้วของหลี่ฉางโซ่ว และทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์เดียวกันนี้ ก็ปรากฏขึ้นในใจของหลี่ฉางโซ่ว
เพียงแวบเดียว หลี่ฉางโช่ว ก็เข้าใจความหมายได้ทันที
พระถังเซิ่ง[2]ขี่อาชาขาว สวมชุดกาสาวพัสตร์ ออกเดินทางไปสู่ตะวันตก!
หลี่ฉางโช่วยังเสริมใส่เพลงประกอบฉากนั้นขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว
แค่กๆ มาคุยเรื่องงานกันต่อเถิด
มีแสงสีทองสาดประกายอยู่ทางด้านหลังของถังเซิ่ง มันเป็นโชคของเผ่ามนุษย์และยังเป็นบุญของเผ่ามนุษย์ด้วยเช่นกัน
ภาพเหตุการณ์นี้ได้ยืนยันว่า “การอัญเชิญพระไตรปิฎก” นั้น เป็นการวางแผนของสำนักบำเพ็ญประจิมที่ใช้โชคและบุญของเผ่ามนุษย์เพื่อสร้างความรุ่งโรจน์ให้สำนักบำเพ็ญประจิม
หลี่ฉางโช่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจอมปราชญ์เทพได้ให้คำชี้แนะใดบ้างหรือไม่ขอรับ?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวอย่างสงบว่า “ท่านให้คำชี้แนะข้ามาแค่สองคำ ‘หนึ่งคำ พยายาม และหนึ่งคำ สังหาร’”
หือ?
หลี่ฉางโช่วรู้สึกประหลาดใจจริงๆ ปฏิกิริยาแรกคือ เขาคิดว่า…
นี่ไม่ใช่วิถีทางของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน นี่ไม่ใช่วิถีทางของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอย่างสิ้นเชิง!
จากนั้นหลี่ฉางโช่วก็รู้สึกงงงวย
หากจอมปราชญ์เทพบรรลุแผนการเปลี่ยนชาวหูเป็นพระพุทธเจ้า[3]ได้สำเร็จหลังมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ พระพุทธเจ้าแห่งพุทธศาสนาจะเป็นนักพรตเต๋าตั๋วเป่าแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยในวันนี้…
หรือว่า อาจยังมีตัวแปรบางอย่างในแผนการนี้?
หรือว่า นักพรตเต๋าตั๋วเป่าไม่อาจจัดการสำนักบำเพ็ญประจิมและถูกจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมทั้งสองคนโต้กลับแทน?
ความสัมพันธ์นั้นซับซ้อนจนหลี่ฉางโช่วไม่อาจเข้าใจได้
คำสั่งที่จอมปราชญ์เทพมอบให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่คือ ให้พวกเขาพยายามสังหารจั๊กจั่นสีทองและทำลายชะตากรรมของสำนักบำเพ็ญประจิมในอนาคต
หลี่ฉางโช่วหัวเราะเมื่อได้รับแรงกระตุ้นบางอย่าง
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ฉางโซ่ว เจ้าหัวเราะด้วยเหตุอันใด?”
“คำว่า ‘พยายามสังหาร’ ที่ท่านจอมปราชญ์เทพให้ไว้นั้น ช่างลึกซึ้งซับซ้อนจริงๆ ขอรับ” หลี่ฉางโช่วกล่าวพลางยื่นปลาย่างให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อย่างนอบน้อม
ในขณะนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระจ่าง รู้แจ้งขึ้นมาในใจ
จอมปราชญ์เทพย่อมเริ่มคิดหาทางทำลายสถานการณ์เช่นกัน!
สิ่งที่ความลับสวรรค์มีนั้น น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เป็นไปได้มากว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต หากจอมปราชญ์เทพมองเห็นความเป็นไปได้นั้น แล้วเกิดไม่พอใจและเป็นกังวลกับมัน แม้แต่จอมปราชญ์เทพที่ดำรงวัตรนิรกรรมแห่งองค์ไท่ชิงก็ย่อมจะเข้ามาแทรกแซง!
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง … ไม่มีสิ่งใดที่ถูกลิขิตตายตัวเอาไว้ล่วงหน้าได้ ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่แน่นอน
ดังนั้น อนาคตย่อมเปลี่ยนแปรได้!
หัวใจเต๋าของหลี่ฉางโช่วสั่นไหว เขารู้สึกรู้แจ้งขึ้นมาในทันใด ปมปัญหาในใจต่างๆ ที่เขาเคยรู้สึกหดหู่ใจและเก็บงำเอาไว้ก่อนหน้านี้ พลันสลายไปด้วยการถูกคำว่า ‘พยายาม’ เจาะเข้าไปเบาๆ !
หลี่ฉางโช่วรวบรวมการรู้แจ้งเข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งหมดเหล่านี้โดยที่ยังไม่ได้เข้าสู่จิตอริยะต่อหน้าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่
จอมปราชญ์เทพได้ออกคำสั่งไปแล้วว่าให้เขาและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พยายามมุ่งเป้าสังหารไปที่จินฉานจื่อ หากพวกเขาสังหารจินฉานจื่อได้ พวกเขาก็จะเปลี่ยนพระสูตรได้ในระดับหนึ่ง
นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดี หากล้มเหลว ก็ล่าถอยให้ทันการณ์ และจะไม่มีความสูญเสียใดๆ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ดวงตาของเจ้าดูราวกับจะเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา เจ้าคิดอันใดได้หรือ?”
“ศิษย์มีความคิดที่ยังไม่ตกผลึกนัก ขอท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้โปรดช่วยชี้แนะศิษย์ด้วยขอรับ”
“ว่ามาเถิด”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กลับมานั่งลงบนหินเขียวครามและคว้าปลาย่างมาลิ้มรสอย่างช้าๆ
“ขอรับ” หลี่ฉางโช่วค่อยๆ เดินมาข้างๆ ช้าๆ พลางใช้ความคิดใคร่ครวญ จากนั้น ก็เริ่มพูดถึงแผนการกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสังหารจินฉานจื่อ
เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้เผชิญหน้ากับจินฉานจื่อและเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกัน
จินฉานจื่อได้โจมตีร่างจำแลงของหลี่ฉางโช่ว ในวันนั้น เขาโหดร้ายและต้องการทำลายล้างร่างจำแลงของหลี่ฉางโช่ว
หลี่ฉางโช่วได้ขอให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ช่วย “ผดุงความยุติธรรม” ให้กับเขา และในอีกด้านหนึ่งนั้น เขาก็ไล่ตามจินฉานจื่อโดยมีเหตุผลและหลักฐานรองรับสนับสนุน
นั่นก็เพียงพอแล้ว
ปัญหาในตอนนี้คือ หลี่ฉางโช่วและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูไม่แน่ใจว่า จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมทั้งสองรู้ถึง “ความสำคัญ” ของจินฉานจื่อหรือไม่
“ดังนั้น ศิษย์จึงคิดว่า ศิษย์ต้องสังหารจักจั่นทองตัวนี้ให้ได้ในพริบตา เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที”
“นั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่เล็กน้อย” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าว “ความสามารถของจอมปราชญ์เทพคือ การเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่อาจดูเบาจอมปราชญ์เทพได้เลย นอกจากนี้ ฉางโช่ว เจ้ายังไม่มั่นใจในการต่อสู้กับจินฉานจื่อมากนัก แล้วเจ้าจะฆ่าเขาด้วยการโจมตีครั้งเดียวได้อย่างไร?”
หลี่ฉางโช่วอดจะถามออกไปเบาๆ ไม่ได้ว่า “ทว่าท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่… ศิษย์มีหน้าที่รับผิดชอบในการวางแผนไม่ใช่หรือขอรับ?”
ทันใดนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็หรี่ตาพลางยิ้ม แล้วเหยียดยื่นมือขวาออกไป แล้วจู่ๆ ก็มีเจดีย์ขนาดเล็กที่แผ่พลังลมปราณสีเหลืองลึกลับออกมาล้อมรอบ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา
“คราวนี้ มันไม่ได้ธรรมดาเหมือนเพียงหนึ่งเสี้ยวพลัง เช่นนั้นก็พอสบายใจได้” หลี่ฉางโช่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาอดจะใคร่ครวญอยู่สักพักไม่ได้และเริ่มทบทวนเรื่องราวเพื่อคิดหามาตรการตอบโต้
ในขณะนั้นเจตจำนงวิญญาณของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่า อ๋าวอี่มาถึงเมืองอันสุ่ยพร้อมกับกองทหารมังกรจำนวนมาก อ๋าวอี่มาจากวังมังกรทะเลประจิม เขาน่าจะอยู่ในงานเลี้ยงที่วังมังกรทะเลประจิม แล้วเพิ่งได้กลับมาในวันนี้
หลี่ฉางโช่วกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ท่านช่วยพาศิษย์ไปเมืองอันสุ่ยได้หรือไม่ขอรับ? บังเอิญว่า ศิษย์มีคัมภีร์เล่มหนึ่งที่จะมอบให้อ๋าวอี่ หากศิษย์ใช้ร่างหลัก ศิษย์ก็จะดูมีเกียรติสูงส่งมากขึ้น แล้วเราค่อยพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบที่นั่นได้เช่นกันขอรับ”
“ได้สิ”
………………………………………………………………..
[1] ลูกซิ่วฉิว หรือ ลูกบอลแพรปัก เป็นลูกทรงกลมที่ทำจากผ้าไหมชนิดหนึ่ง ถือเป็นสัญลักษณ์มงคลชนิดหนึ่งของจีน
[2] อีกนามหนึ่งของพระถังซัมจั๋งในวรรณกรรมไซอิ๋ว
[3] หรือเหล่าจื้อฮวาหู ทั้งนี้ มีบางตำนานเล่าว่า เหล่าจื้อไปจุติในครรภ์ราชินีในอินเดีย ภายหลังกำเนิดได้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา และเริ่มแสดงธรรมโปรดชาวเผ่าหูที่โหดร้ายป่าเถื่อน จึงเรียกว่า “เปลี่ยนชาวหูเป็นพระพุทธเจ้า หรือเหล่าจื้อฮวาหู” ถือว่าเป็นอีกปางหนึ่งของพระพุทธเจ้า