ตอนที่ 465 ปู่ใหญ่เจดีย์อยู่นี่แล้ว (1)
เขาควรใช้แผนใดเพื่อจัดการจักจั่นทอง?
แน่นอนว่า เขาจะล่อจักจั่นออกมาจากภูเขาก่อน แล้วค่อยล่อเข้าไปในค่ายกลเพื่อยับยั้งพลังเวทของจักจั่นก่อนจะเผยจุดอ่อนของจักจั่น และโจมตีเมื่อจักจั่นไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นเขาจะฆ่าจักจั่นแล้วกระจายเถ้าถ่านมันออกไป
หลี่ฉางโซ่วเข้าใจว่านี่เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญของเขาเพื่อจะก้าวตรงไปยังวังดุสิต!
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ในเวลานี้ หากหลี่ฉางโซ่ว “บังเอิญ” ได้เผชิญหน้าตัวต่อตัวกับจินฉานจื่อ หลี่ฉางโซ่วจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจินฉานจื่ออย่างแน่นอน เพราะการสะสมจากการฝึกฝนในด้านต่างๆ ของพวกเขานั้น แตกต่างกันมากเกินไป
ในเวลานี้ พลังเวทในการต่อสู้และความรวดเร็วในการตอบโต้ของหลี่ฉางโซ่วเมื่อเทียบกับจินฉานจื่อนั้น ยังมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจถึงความสำคัญของการมีความยืดหยุ่นได้อย่างดียิ่ง เขาจะไม่มีวันฝืนตัวเอง แล้วออกไปสู้กับจั๊กจั่นทองหกปีกโดยไม่แยแสสิ่งใดจริงๆ
หากเขาไม่มีพลังต่อสู้เพียงพอ เขาก็วางแผนรวบรวมบางส่วนได้ จัดวางค่ายกลเวท และเพิ่มแผนการบางอย่างได้
เวลานี้ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า กำลังคุ้มกันหลี่ฉางโซ่วในขณะที่สมบัติซียนเทียนก็กำลังปกป้องเขา หลี่ฉางโซ่วจึงอยู่ในสถานะที่ไม่มีสิ่งใดจะทำร้ายเขาได้จริงๆ สิ่งที่เขาต้องคิดก็คือ วิธี ‘ดักจับจักจั่น’ และ ‘ทำลายการป้องกัน’
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยังกังวลว่า หลี่ฉางโซ่วจะบังเอิญพลาดพลั้งจนถูกจักจั่นสีทองสังหารได้ ในครั้งนี้ เขาจึงไม่ตระหนี่ใดๆ เมื่อพวกเขาไปจัดวางการซุ่มโจมตีที่ทะเลประจิม ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้มอบพลังเวทในการต่อต้านจินฉานจื่อ ซึ่งช่วยสนับสนุนสามรูปแบบในการเอาชนะศัตรูให้หลี่ฉางโซ่ว
เขาใช้ค่ายกลต้นกำเนิดไฟวารีเพื่อปิดผนึกจักรวาล และยังได้ใช้ค่ายกลพลังลึกลับเก้าวิญญาณเพื่อดักจับจินฉานจื่อและชะลอความเร็วของเขาลงได้ นอกจากนี้ ยังมีเม็ดโอสถทองคำเก้าแปรเปลี่ยนอีกสองเม็ดด้วย
แม้ตัวปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เองจะไม่มีสมบัติวิญญาณใดๆ แต่เขาก็สามารถยืมใช้แผนภาพไท่จี๋ เจดีย์เสวียนหวง เบาะทำสมาธิไฟวายุ ธงไฟปฐพี และสมบัติล้ำค่าอื่นๆ อีกมากมายของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินได้ตลอดเวลา…
มันไม่มีทางเลือกใด เพราะในตอนนี้ หลี่ฉางโซ่วยังไม่ได้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ เขาจึงทำได้เพียงอาศัยประโยชน์จากประสบการณ์ที่ผู้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ มอบให้เท่านั้น…
เมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่โบกแขนเสื้อของเขาขึ้นไปในอากาศ และจัดวางค่ายกลใหญ่สองค่ายกลขึ้นด้วยตัวเอง เขาซ่อนค่ายกลใหญ่ทั้งสองนี้ไว้ในป่ารกร้างที่จุดบรรจบ เชื่อมต่อกันของทะเลประจิม และดินแดนเทวะประจิม…
“ฉางโซ่ว รับเจดีย์ไป!” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูร้องตะโกนเบาๆ เขาถือเจดีย์วิจิตรเสวียนหวงเทียนตี้ แล้วผลักดันมันเบาๆ เพื่อส่งมันขึ้นไปบนศีรษะของหลี่ฉางโซ่ว
บัดนั้น พลังลมปราณลึกลับรอบๆ เจดีย์สูงสามชุ่นนั้น ได้แผ่กระจายและเปล่งแสงหลากสีสัน เข้าห่อหุ้มร่างของหลี่ฉางโซ่ว
มันเป็นสมบัติวิญญาณสายป้องกันระดับสูงสุด หนึ่งในสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เจดีย์วิจิตรเสวียนหวงเทียนตี้!
ทันใดนั้น มันก็ตกลงมาบนหัวของเขา!
ชั่วเวลานั้น! หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความสงบของจิตใจ และ… ความซาบซึ้งใจอย่างไม่อาจพรรณนาได้! ศิษย์ ฉางโซ่วยินดีจะยอมทำงานหนักโดยไม่หยุดพัก แม้ต้องหลั่งเลือด สละสิ้นชีพเพื่อสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน!
ในขณะนั้น เจดีย์พลันสั่นสะเทือนเบาๆ แล้วหลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย ราวกับว่า เจดีย์กำลังพูดคุยกับเขา ให้กำลังใจและปลอบโยนเขา มันทำให้เขารู้สึกฮึกเหิม และเผชิญกับอนาคตได้อย่างกล้าหาญ …
“เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่? เร็วเข้า! ปล่อยวางความคิดของเจ้าออกไปเสีย และปล่อยให้ข้าได้ปกป้องปราณวิญญาณของเจ้า”
เอ่อ? นั่นผู้ใดกำลังพูดอยู่?
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เงยหน้าขึ้น และจ้องมองเจดีย์ขนาดเล็กเหนือศีรษะของเขา
ดูเหมือนว่า แสงรอบเจดีย์จะริบหรี่ลงเป็นจังหวะ แล้วเสี้ยวพลังลมปราณอันอบอุ่นก็ไหลผ่านสู่ร่างของหลี่ฉางโซ่วทำให้พลังเซียนของเขาใสสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ด้านข้าง และยิ้มเฉยไม่เอ่ยอันใด หลี่ฉางโซ่วได้ยินเสียงหยาบกระด้างซึ่งไม่ได้เผยความแตกต่างว่าเป็นเสียงชายหรือหญิงอย่างชัดเจนนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในใจเขา มันเป็นเสียงที่หลี่ฉางโซ่วคุ้นเคยในชีวิตชาติก่อนของเขา
ไฉนใจข้าถึงปั่นป่วนแปรปรวนเช่นนี้?
“นายท่าน มอบข้าให้เจ้าใช้ชั่วคราว ดังนั้น จงอย่าคิดว่า เจ้าจะควบคุมข้าได้ด้วยการบรรลุเต๋าสำเร็จเพียงเล็กน้อยเช่นนี้” “ในฐานะศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เจ้าน่าจะมีภูมิหลังบางอย่างเหมือนศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน บัดนี้ สภาวะจิตใจที่ผันผวนของเจ้าเป็นอย่างไร? เจ้ามาจากที่ใดกัน?” “วันนี้ เรา พระเจดีย์ จะปกป้องเจ้าเอง แล้วจะมีอะไรจะเกิดขึ้นได้อีกเล่า?” “หากค่ายกลกระบี่สังหารเซียนไม่มา ธงผานกู่จะไม่ทำงาน หากผู้ใดทำร้ายเจ้าได้ ข้าจะเขียนชื่อตัวเองย้อนกลับ เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?” “เจ้าได้รับการดูแลจากจอมปราชญ์เทพแล้ว และเจ้าก็กำลังจะกลายเป็นศิษย์ของเขา ทว่าไยเจ้าถึงไม่มีลักษณะท่าทางของปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเลย? เจ้าจะทำให้สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินต้องอับอายขายหน้าอย่างแน่นอน!”
“ดูตัวเจ้าเองสิ จะสู้ไหวหรือ?”
ในยามนั้น หน้าผากของหลี่ฉางโซ่วก็มืดทะมึนเต็มไปด้วยเส้นสายสีดำ เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกจนต้องหันกลับไปมองปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่หันกลับมามองและยักไหล่ ทว่าเขาก็ไม่ได้หัวเราะอะไร
จากนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “ฉางโซ่ว เจ้าต้องเคารพผู้อาวุโส”
“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตอบอย่างนอบน้อม แล้วโค้งคำนับด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งไปทางเจดีย์วิจิตรเสวียนหวงเทียนตี้ที่อยู่เหนือหัวของเขาแล้วผ่อนคลายใจลง จากนั้น เจดีย์ขนาดเล็กก็ค่อยๆ จมลงสู่ร่างเต๋า ของหลี่ฉางโซ่ว
ทว่าในขณะนั้น วิจิตรเสวียนหวงเทียนตี้ก็ยังคงระดมพ่นวาจาออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ถูกต้อง ข้าเป็นสมบัติวิญญาณล้ำค่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมบัติวิญญาณคืออะไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลังลมปราณเสวียนหวงคืออะไร?”
“เจ้าไม่เข้าใจใช่หรือไม่? มา มาให้ข้าค่อยๆ บอกเจ้าช้าๆ” “ข้าต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนสร้างโลก…”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “หากสมบัติวิญญาณมีจิตวิญญาณเพียงพอ แน่นอนว่า มันย่อมจะสามารถสื่อสารกับผู้ถือได้ สมบัติของท่านอาจารย์ได้อยู่เคียงข้างท่านมาช้านานแล้ว และท่านอาจารย์ก็ปฏิเสธการสื่อสารทุกอย่างกับพวกเขาเช่นกัน ดังนั้น ตอนนี้ จึงดูเหมือนว่า พวกเขาค่อนข้างช่างพูด”
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่” หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เหตุใดข้าถึงได้ยิน…สำเนียงแปลกๆ”
ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วมีคำตอบสำหรับคำถามนั้นอยู่ในใจ
“สำเนียงแปลกอันใด? เจ้าคิดว่า ข้าพูดได้จริงๆ หรือ? ข้ามีปากหรือไร? “นี่คือเสียงที่ข้าส่งไปยังปราณวิญญาณของเจ้าผ่านการสื่อสารทางวิญญาณ ปราณวิญญาณของเจ้าจะเข้าใจและสร้างขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง หากเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ เจ้าจะกลายเป็นเซียนจินได้อย่างไร เจ้ามีวัยเท่าใดกัน? เจ้ายังไร้เดียงสายิ่ง… เอ่อ เหตุใดเจ้าจึงมีวัยยังไม่ถึงสามร้อยปีเล่า? ไม่เป็นไร เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อย ไม่ต้องห่วง ปู่ใหญ่อยู่นี่แล้ว ปู่ใหญ่จะปกป้องเจ้า ให้เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการเอง!” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย มันอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนมากนัก
หลี่ฉางโซ่วเม้มปากและขมวดคิ้ว วันนี้เขาได้เรียนรู้บางอย่างแล้ว
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “เหตุใดเราไม่ลองซ้อมการล่าถอยสักสองสามครั้งเล่าขอรับ?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “แผนของเจ้ายังไม่สมบูรณ์หรือ?”
“ไม่ว่าจะเขียนลงบนกระดาษไว้มากมายเพียงใด ก็ย่อมจะดีกว่าที่จะลองทดสอบดูสักสองสามครั้งขอรับ” หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดช่วยอนุญาตให้ศิษย์ได้ทำมันให้เสร็จตามความปรารถนาของศิษย์ด้วยเถิดขอรับ”
“ได้” ทันใดนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็สะบัดแขนเสื้อและกล่าวว่า “บอกข้าทีสิว่า เราควรจะซ้อมกันอย่างไร”
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกมาจากแขนเสื้อของเขา…
ดังนั้น ในอีกสองวันต่อมา…
ในยามเที่ยง แสงแดดอบอุ่นสาดส่องกระทบน้ำทะเลสีคราม
บนท้องฟ้าเหนือทะเลประจิม ใกล้กับดินแดนเทวะประจิม บัดนี้ มีร่างหลายร่างได้ขี่เมฆข้ามมา คนแรกมีรอยยิ้มเผยออกมาบนใบหน้า เขามีเส้นผมสีขาว และสวมชุดคลุมสีขาว พร้อมกับถือแส้หางม้าเอาไว้ในมือ ร่างเซียนของเขาได้แผ่พลังแรงกดดันระดับเซียนจินออกมาบางเบา เขาคือ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่ว
นอกจากนี้ ที่ข้างหลังเขา ยังมีแม่ทัพสวรรค์ในชุดเกราะเงินอีกสามคน พวกเขาทั้งสามคนล้วนมีกลิ่นอายคล้ายคลึงกันและเชื่อมโยงถึงกัน ดูเหมือนว่า พวกเขาจะเป็นเซียนจินเช่นกัน
ในขณะนั้น ร่างทั้งสี่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เหนือวังมังกรทะเลประจิม และมุ่งตรงไปยังวังมังกร ในทันทีที่พวกเขาเข้าสู่เขตทะเล พวกเขาก็ได้ยินเสียงมังกรร้องคำรามดังกึกก้องไร้ที่สิ้นสุด ทั้งมังกรครามและมังกรวารีต่างพุ่งตัวออกมาจากวังผลึกแก้วที่งดงามและกลายร่างเป็นร่างมนุษย์ต่อหน้าพวกของหลี่ฉางโซ่ว พวกเขาล้วนคำนับให้หลี่ฉางโซ่วจากระยะไกล
ผู้อาวุโสหัวมังกรได้นำกลุ่มออกมาและร้องตะโกนว่า “ขอน้อมพบท่านเทพแห่งท้องทะเล เทพแห่งท้องทะเล เชิญท่านโปรดเข้ามาเถิด เร็วเข้า!”
หลี่ฉางโซ่วรู้ว่าผู้อาวุโสหัวมังกรผู้นี้ เป็นอนุชาของราชามังกรทะเลประจิม นอกจากนี้ แท้ที่จริงแล้ว เขายังมีอำนาจมากมายในวังมังกรทะเลประจิม หลังจากทักทายกันแล้ว หลี่ฉางโซ่ว และแม่ทัพทั้งสามก็ถูกพาไปที่วังมังกรทะเลประจิม
“ราชามังกรทรงรออยู่ที่ห้องโถงแล้ว ขอเชิญเทพแห่งท้องทะเลโปรดตรงไปที่นั่นเถิด”
“ได้”
หลี่ฉางโซ่วกอดอกโดยสอดมือไว้ในแขนเสื้อและถือแส้หางม้าไว้ในอ้อมแขน พร้อมเผยรอยแย้มยิ้มออกมาบนใบหน้าและเดินตามผู้อาวุโสหัวมังกรไปที่ห้องโถงหลักของราชามังกรทะเลประจิมในขณะที่แม่ทัพสวรรค์ทั้งสามไม่ได้เข้าไปในวังมังกร
………………………………………………………………..