บทที่ 569 การต่อสู้ของสองสำนักในดินแดนเทวะเทวะมัชฌิมา ภูเขาวิญญาณกำลังนั่งก่อกวน (3)
ทันใดนั้น สายลมหยุดพัดโชย และเมฆก็หยุดเคลื่อนคล้อยเช่นกันในขณะที่ดวงตะวันเริ่มแสงสลัวลงเล็กน้อย เหล่าเซียนจำนวนมากจากทั้งสองสำนักที่ยืนอยู่ด้านหลังและมีระดับฐานพลังที่ต่ำกว่า ปราณวิญญาณของพวกเขาล้วนสั่นสะท้านและพวกเขาก็รู้สึกหายใจไม่ออก
ดูเหมือนว่า ทั้งสองฝ่ายจะมีความเข้าใจกันเองดี พวกเขาไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยกัน ดวงตาของนักพรตเต๋าตั๋วเป่า และกวงเฉิงจื่อต่างก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว … และบรรดาเซียนจากทั้งสองฝ่ายต่างก็เตรียมพร้อมต่อสู้!
ในเวลาเดียวกันนั้น ในดินแดนสมบัติของภูเขาวิญญาณ
นักพรตเต๋าชราหลายสิบคนได้รวมตัวกันที่ข้างสระสมบัติ นักพรตเต๋าชราสองคนลงมือเปิดใช้งานวิชากระจกเมฆาเพื่อสังเกตภาพเหตุการณ์นี้จากระยะไกล
คนของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน กำลังจะต่อสู้กัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงและรู้สึกลิงโลดใจอย่างยิ่ง…
ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักบำเพ็ญประจิมและสำนักบำเพ็ญเต๋านั้น เป็นลักษณะที่สิ่งหนึ่งมีขึ้นและอีกสิ่งหนึ่งก็ดับลง ดังนั้นหากสำนักบำเพ็ญประจิมต้องการจะเจริญรุ่งเรือง พวกเขาก็ต้องหยุดความเจริญรุ่งเรืองของสำนักบำเพ็ญเต๋าเฉกเช่นนี้
ตั้งแต่สมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งยามนี้ พวกเขาได้แอบทำหลายสิ่งหลายอย่างลับๆ และมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น แต่ละครั้งทั้งสองฝ่ายต่างก็ยับยั้งตัวเองเอาไว้และถอยกลับไปทุกครั้ง
ไม่คาดคิดว่า ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทั้งสองฝ่ายก็กลับเดินไปที่ขอบของการต่อสู้กันเองแล้ว …
ด้วยพรจากเต๋าสวรรค์ สำนักบำเพ็ญประจิมจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูแล้ว!
ในมุมหนึ่งที่นักพรตเต๋าชราไม่ได้ให้ความสนใจ ในเวลานี้ สัตว์เทพตี้ทิง กำลังส่งข้อความเสียงเพื่อเล่ารายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นไปยังนักพรตเต๋าหนุ่มที่กำลังนั่งขัดสมาอยู่ข้างๆ มัน
จากนั้นสีหน้าท่าทางของนักพรตเต๋าหนุ่มก็ดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
เหตุใดกัน…
เขาได้สรุปความเป็นไปได้หลายร้อยครั้งสำหรับแผนสมคบคิดลับๆ ของข่าวลือ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้กลับคือผลที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด
ความขัดแย้งระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานนั้น เกิดจากเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นหรือ?
ด้วยพลังเวทของสัตว์เทพตี้ทิง ในขณะนี้นักพรตเต๋าหนุ่มจึงได้เห็นกระบวนการทั้งหมด…
ตั้งแต่ตอนที่หวงหลงเจินเหรินออกจากถ้ำหลัวฝูอย่างเดือดดาล นักพรตเต๋าหนุ่มก็เข้าใจแล้วว่าอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของเขามีบทบาทอย่างมาก!
เขาพอใจที่สามารถสร้างความแตกแยกระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้ แต่เขาก็มิได้นิ่งนอนใจ
ตราบเท่าที่ความแตกแยกเหล่านี้ได้รับการสะสมมากพอ พวกมันก็จะระเบิดออกมาในที่สุด และเขาย่อมจะไม่ทนรับกรรมหนักเกินไปสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
เขาเพียงเป็นเฉกเช่นเกล็ดหิมะเมื่อหิมะถล่ม แม้เขาจะไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ผลกระทบย้อนกลับแห่งกรรมก็ไม่ได้แรงมากเกินไป ทว่าการพัฒนาที่ตามมานั้นก็เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
บนเกาะเต่าทองของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ในเวลานี้ เทพธิดาหั่วหลิงไม่ยอมผู้ใดง่ายๆ นางชูกระบี่ขึ้นและกำลังจะฆ่าตัวตายอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่เอ่ยวาจาใด ทำให้บรรดาเซียนของเกาะเต่าทองล้วนตื่นตกใจ
ในวังอวี่ซวี ยิ่งหวงหลงเจินเหรินคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นจนถึงกับทุบแจกันแตกไปสองใบอีกด้วย!
ตี้ทิงไม่อาจได้ยินความคิดของหวงหลงเจินเหรินได้โดยตรง แต่มันสามารถได้ยินการสนทนาของศิษย์บางคนที่มีระดับฐานพลังต่ำกว่าในวังอวี่ซวี
ในขณะนั้น ตี้ทิงและตี้จั้งผู้เป็นนาย ก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
จนเมื่อบรรดาเซียนของทั้งสองฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว และหรานเติ้งแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานปรากฏตัวขึ้น เทพธิดาจินหลิง และเทพธิดากุ่ยหลิงแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างระงับความโกรธของพวกเขา และดูเหมือนว่า เมื่อลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยวแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำต้องปล่อยลูกธนูออกไป[1]…
กระบวนการทั้งหมดนี้รวดเร็วยิ่งจนตี้จั้งไม่มีโอกาสจะทำอะไรเลย
ตี้จั้งถอนใจในใจ ดวงตาของเขามีรอยสับสนและอับจนหนทาง ทว่ามันก็กลับกลายเป็นความขุ่นเคืองอย่างรวดเร็ว และเขาก็กล่าวออกมาเบาๆ ว่า “ข้าถูกหลอกแล้ว”
“เหตุใดกัน?” ตี้ทิงถามผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายท่านต้องการเช่นนั้นหรือ?”
ตี้จั้งถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่ได้อยากเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ข้าอยากเห็นคือค่อยๆ คิด ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สำเร็จในขั้นตอนเดียวเช่นนี้!
ต้องมีคนใช้ประโยชน์จากข้าเพื่อปล่อยข่าวลือและวางแผนอย่างลับๆ
หากทั้งสองสำนักต่อสู้กันในวันนี้ หากศิษย์คนใดของจอมปราชญ์เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ จอมปราชญ์ย่อมจะต้องตื่นตระหนกอย่างแน่นอน เมื่อจอมปราชญ์ทำการหยั่งรู้ ก็จะไม่มีอะไรปิดกั้นการหยั่งรู้ของจอมปราชญ์ได้ และข้าย่อมจะถูกผลักออกไปเพื่อเอาใจและระงับโทสะของสำนักบำเพ็ญเต๋าอย่างแน่นอน”
ดวงตาของตี้จั้งจับจ้องอยู่ในขณะที่มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเขา แม้ในขณะนี้ เขาจะนั่งอยู่บนภูเขาวิญญาณ แต่พลังสะกดข่มของบรรดาเซียนจากทั้งสองสำนักก็ยังตกลงมาบนหลังของเขาราวกับภูเขา
ตี้ทิงเอ่ยถามว่า “ท่านแก้ไขไม่ได้หรือ?”
ในขณะนั้น เหงื่อเย็นก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของตี้จั้งขณะที่เขาตอบกลับผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ข้าแก้ไขไม่ได้ อุบายข่าวลือนี้จะไม่อาจควบคุมได้เมื่อมันถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว เดิมทีมันเป็นอุบายเล็กๆ แต่มันถูกใช้เป็นเกราะกำบัง ข้าวางแผนลับและคนผู้นั้นก็ใช้กลยุทธ์โจมตีอย่างเปิดเผย
อีกฝ่ายยิงวิหคสามตัวด้วยหินก้อนเดียว และพวกเขายังกำลังพุ่งเป้ามาที่ข้า ซึ่งเป็นคนลงมือโจมตีก่อน
ทางเดียวคือ ในเวลานี้ ข้าต้องรีบไปเกลี้ยกล่อมบรรดาเซียนของทั้งสองสำนักให้ถึงที่สุด แม้ข้าจะปกป้องตัวเองได้ก็ตาม แต่ก็จะถูกท่านอาจารย์ตำหนิ…
มันเป็นปัญหาที่ยากลำบากในการเข้าไปในภาพวาด ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะนิ่งดูสังเกตสถานการณ์และใช้อุบายของข้ากับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในภายหลัง”
สัตว์เทพตี้ทิงขยับศีรษะและกล่าวว่า “ข้าบอกท่านนานแล้วว่าอย่าใช้กลอุบายต่ำๆ เยี่ยงนี้”
“เฮ้อ… ความจริงแล้ว มีปรมาจารย์มาดูแลอยู่เบื้องหลัง ข้าคาดไม่ถึงมาก่อนจริงๆ”
ปรมาจารย์?อย่างแน่นอน
ตี้จั้งหันกลับไปมองที่ภูเขาด้านหลังภูเขาวิญญาณและสถานที่ซึ่งล้อมรอบไปด้วยแสงสีทอง แล้วดวงตาของเขาก็เผยแววประหลาดใจเล็กน้อย
เพื่อให้สามารถส่งผลกระทบต่อหวงหลงเจินเหริน และเทพธิดาหั่วหลิงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่…
หากจะตัดสินกันจากการวิเคราะห์ผู้ได้รับผลประโยชน์หรือความสามารถของผู้ทำมัน…
ท่านอาจารย์ หรือว่า ในสายตาของท่าน ข้าเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกทอดทิ้งได้ตลอดเวลาเฉกเช่นจั๊กจั่นทองตัวนั้น…
นักพรตเต๋าหนุ่มหลับตาลงและถอนหายใจเบาๆ เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และได้เพียงแต่นั่งนิ่งๆ เท่านั้น
จู่ๆ ตี้ทิงก็กล่าวว่า “หรือว่า สำนักบำเพ็ญเต๋าจงใจลงมือ?”
นักพรตเต๋าหนุ่มขมวดคิ้วและครุ่นคิด ในไม่ช้า เขาก็ยิ้มขื่นออกมาพลางส่ายศีรษะและกล่าวว่า “มีศิษย์ของจอมปราชญ์มากมาย เป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกเขาแค่กำลังพยายามทำให้ข้าหวาดกลัว?
ในขณะนี้ ข้าทำได้เพียงแต่รอเรื่องบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ต่อสู้กัน ข้าไม่อาจเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญเต๋าได้จริงๆ”
………………………………………………………………..
[1] มาจากลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยวแล้ว ก็จำต้องยิงออกไป เป็นสำนวนมาจากวรรณกรรมสามก๊ก หมายถึง มาถึงจุดที่ไม่อาจย้อนกลับหรือเปลี่ยนใจได้ หรือเปรียบเมื่อเริ่มงานแล้ว ก็ต้องทำต่อไป ไม่หยุดหรือเปลี่ยนใจกลางคัน หรือเปรียบว่าเมื่อได้รับงานก็ต้องทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด