บทที่ 617 เทพธิดาริมสระ (3)
“มังกรหยก” “สามพี่น้องตี้หลง” “ประมุขพรรคมารจางโหยวจี” “ลี้น้อยมีดบิน[1]” “ชอลิ้วเฮียง[2]และเถียนป๋อกวง[3]” “อวี่ฮวาเถียนเมามาย”…
ในบรรดาตำราเหล่านี้ มี “งานวรรณกรรม” หลายสิบชุด เกือบทั้งหมดล้วนเป็นวรรณกรรมที่หลี่ฉางโซ่วเคยอ่านหรือได้ยินมาแล้วในชีวิตชาติก่อนของเขา!
หลี่ฉางโซ่วลองสอบถามดูว่า “พระมารดา ท่านโปรดเรื่องราวประเภทนี้หรือขอรับ?”
“ไม่ได้หรือ?”
เทพธิดาริมสระน้ำแค่นเสียงเยาะและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ว่า “ในฐานะพระแม่ผู้สร้างแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเจ้า ข้าชอบอ่านเรื่องราวที่คนเหล่านี้แต่งขึ้นเช่นนั้น มันไม่เหมาะสมมากนักใช่หรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วพูดไม่ออก
เขาควรต่อบทสนทนาต่อไปอย่างไร?
เขาจะตอบเรื่องนั้นได้อย่างไร?
เขาหันไปมองเทพธิดาริมสระน้ำ แล้วค้นพบว่า จอมปราชญ์หญิงกำลังขมวดคิ้วและมองเขาด้วยท่าทางรังเกียจและไม่พอใจ…จริงๆ แล้ว
มันดูเป็นจริงเกินไป
“ศิษย์มีคำถามขอรับ” หลี่ฉางโซ่วถามอย่างระมัดระวัง
“นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่ท่านมีหรือขอรับ?
แล้วท่านอ่านมันซ้ำๆ ในช่วงเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หรือขอรับ…?”
“คนที่เขียนเรื่องราวเหล่านี้ได้จากไปกลายเป็นเถ้าถ่านนานแล้ว” เทพธิดาริมสระน้ำถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “หลังจากอ่านพวกมันแล้ว ข้าก็จะลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวในตำราเหล่านี้ และด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้อ่านพวกมัน”
วิธีนั้นก็ใช้ได้เช่นกัน…
เทพธิดาที่อยู่ริมสระน้ำกล่าวว่า “อย่าได้ร่ำไร เขียนอีกสักหนึ่งเรื่อง แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้าเพิ่มเติมอีกครั้งกับสำหรับทุกๆ เรื่องราวที่เจ้าเขียน”
“ศิษย์ผู้นี้เก่งการวาดภาพ และสามารถมอบภาพวาดให้พระมารดาเพื่อคลายความเบื่อหน่ายของท่านได้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางนั่งลงพร้อมกับกอดตำราว่างเปล่าเอาไว้ในอ้อมแขน ในเวลานี้ เขารู้สึกหัวโล่งเล็กน้อย[4]อีกครั้ง
ผลกระทบนั้นออกจะใหญ่มากไปสักหน่อย…
นี่…
ก่อนหน้านี้ เมื่อยามที่นางกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ในโถงใหญ่ เขามองเห็นร่างของนางไม่ชัดเจนนัก นางแผ่พลังสะกดข่มแห่งจอมปราชญ์ออกมาบางเบาเล็กน้อย และปรากฏตัวราวกับสมบัติล้ำค่าสูงส่งสง่างาม นางคือ ราชินีจอมปราชญ์ที่ไม่มีผู้ใดกล้ามองนางตรงๆ
ในขณะนั้น นางกำลังนอนอยู่ข้างสระน้ำ และยังคงเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา มันทำให้ผู้คนไม่สามารถมีความคิดใดๆ ในใจได้เลย ทว่านางก็กำลังกินเมล็ดแตงโมเซียน ดื่มสุราผลไม้เซียน และเทพธิดาใหญ่ก็กำลังเท้าคางขณะกำลังอ่านนวนิยาย…
หรือว่า ไท่ชิงก็กำลังเล่นวิดีโอเกมในวิหารไท่ชิง? แล้วบรรดาซันชิงจะสามารถรวมตัวกันเล่นไพ่นกกระจอกได้อย่างสบายอารมณ์ไปอีกเป็นเวลาหลายหมื่นปีหรือไม่?
หลี่ฉางโซ่วถือพู่กันและหมึก แล้วทันใดนั้นก็ถามเบาๆ อออกมาทันทีว่า “พระมารดา…”
“เจ้าจงอย่าถามว่าคนผู้นั้นเป็นใครในตอนนั้น เต๋าสวรรค์ได้จัดการแก้ไขการดำรงอยู่ของเขาแล้ว ดังนั้นข้าเองก็ไม่อาจพูดถึงได้เช่นกัน” เทพธิดาริมสระน้ำกล่าวเบาๆ อย่างสงบ
หลี่ฉางโซ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “แล้วศิษย์เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นหรือไม่ขอรับ?”
เทพธิดาริมสระกล่าวพูดอย่างสงบว่า “เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น วิญญาณแท้ทุกๆ ดวง ล้วนมีลักษณะเฉพาะพิเศษของตัวเอง นั่นซึ่งไม่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสังสารวัฏ
เจ้าจะไม่เข้าใจอะไรในส่วนที่เหลืออีก ถึงแม้ข้าออกจะเบื่ออยู่สักหน่อย แต่ขอบเขตพลังของเจ้ายังต่ำเกินไปจริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างเชื่องช้า และขณะที่เขากำลังจะหยิบพู่กันขึ้นมาวาดภาพ จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แล้วไฉนโลกบรรพกาลที่ศิษย์รู้จักถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง…”
“เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว คนผู้นั้นได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้แห่งการวิวัฒนาการของเต๋าสวรรค์ สิ่งที่เรารู้เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น” เทพธิดาริมสระกล่าว
จากนั้นเทพธิดาริมสระก็หยุดไปชั่วคราวพลางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวอย่างสงบว่า “คนผู้นั้นได้แนะนำข้าให้เข้าร่วมกับเผ่าปีศาจและสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ จากนั้นเขาก็ไปอยู่เบื้องหลังเพื่อชักใยและจุดชนวนกระตุ้นให้เกิดสงครามจอมเวท-ปีศาจขึ้น และในท้ายที่สุด เขาก็ต้องการฉวยโอกาสจะเป็นจอมปราชญ์ ทว่าผลก็คือ ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
เต๋าสวรรค์ไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความแน่นอน ความไม่เที่ยง ไม่มีเหตุหรือผล มันเป็นดั่งโซ่ตรวนของจอมปราชญ์ และเปรียบเสมือนดั่งพรแก่มด…
แล้วเจ้าจะวาดหรือไม่?”
“พระมารดาโปรดอย่ากังวลไปเลย ขอให้ศิษย์เตรียมการ เตรียมการให้พร้อมก่อนขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะมองลงไปที่ภาพวาดที่อยู่เบื้องหน้าเขา แล้วถอนหายใจในใจพลางหยิบพู่กันขึ้นมาทำงานช้าๆ
ศาลาของโลกที่ว่างเปล่าใบนี้เงียบลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงเสียงแหลมจากการเสียดสีของปลายพู่กันบนกระดาษวิญญาณ และเสียงแผ่วเบาของเทพธิดาที่กำลังพลิกหน้าตำราอยู่ข้างสระน้ำ
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถามว่า “พระมารดา ท่านเคยอ่านตำราอื่นนอกสถานที่นี้หรือไม่? หรือเคยได้ยินนิยายเรื่องราวอื่นๆ มาบ้างหรือไม่ขอรับ? ”
“ไม่เลย มีเพียงพวกนี้เท่านั้น และห้ามเขียนเรื่องราวใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกบรรพกาล”
“หือ?”
“ข้าไม่อาจหลบเลี่ยงสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงที่นี่ได้”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก
ยังคงมีข้อได้เปรียบในการ ‘รู้ภายหลัง’ อยู่
หลังจากมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการวาดภาพหลายสิบหน้าแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “พระมารดา เป็นความจริงหรือไม่ที่เผ่าปีศาจโบราณเข่นฆ่าเผ่ามนุษย์ในตอนนั้น”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ในตอนนั้น จักรพรรดิบูรพาไท่อี่ถูกคุนเผิงหลอก ข้าเองก็ยังถูกคุนเผิงใช้กลอุบายขัดขวางเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ในยามนั้น ข้าคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะตกตายไปสามถึงสี่ส่วน ดังนั้น ข้าจึงปรากฏตัวขึ้นเพื่อหยุดพวกเผ่าปีศาจ มันเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ นอกจากนี้ ยังทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับการยอมรับจากเต๋าสวรรค์มากขึ้นด้วยเช่นกัน”
“แล้วปรมาจารย์ปีศาจคุนเผิงตายแล้วหรือไม่ขอรับ?”
“ยังมีชีวิตอยู่ เขาอยู่ที่ขอบทะเลโกลาหล หากเขาบินเร็วมาก ก็จะไม่มีผู้ใดตามจับได้ทัน เขาน่าจะยังกำลังวางแผนบางอย่างอยู่”
เสียงของจอมปราชญ์หนี่วา ยังคงเป็นกันเองและสบายๆ ผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนหน้านี้มากนัก
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าและตั้งสมาธิกับการวาดภาพต่อไป จากนั้นก็มีสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้นบนกระดาษแต่ละแผ่น
เขาเพียงแค่ฉายภาพผลงานบางชิ้นที่เขาเคยเห็นในชีวิตชาติก่อนของเขา แล้วใช้เวทหยั่งถึง[5]ทำการสรุป และเอาเข้าสู่ก้นบึ้งในใจ จากนั้นก็คัดลอกออกมาโดยมีการดัดแปลงและปรับแต่งเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นไปอย่างรวดเร็วสุดๆ…
เวลาผ่านไปนานสักพัก
“ไยพระมารดาถึงกำลังปกป้องลู่หยาขอรับ?”
“ข้ามีมิตรภาพสนิทแน่นแฟ้นอย่างยิ่งกับมารดาของเขา เทพีแห่งดวงสุริยา…
เจ้าวาดอันใดกัน ดูน่าสนใจทีเดียว”
“เป็นเรื่องราวเลือดร้อนรุนแรงเล็กน้อยขอรับ…
พระมารดา แล้วจอมปราชญ์คนอื่นๆ ก็มีงานอดิเรกเหล่านี้ด้วยเช่นกันหรือไม่ขอรับ?”
“มิได้ ย้อนกลับไปในตอนนั้น พวกเขาติดต่อกับคนผู้นั้นน้อยมาก”
หือ?
เขาติดต่อกับปรมาจารย์จอมปราชญ์ซันชิงน้อยมาก และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชินีหนี่วา เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังสงครามจอมเวท-ปีศาจ และปรารถนาจะเป็นจอมปราชญ์ แต่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย…
จะเป็นผู้ใดได้?
หลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้อยู่ในใจของเขาสักพัก แต่ก็พบว่า ในเวลานี้ เขาไม่อาจทำอะไรได้มากนัก เขาทำได้เพียงทำตามคำแนะนำของราชินีจอมปราชญ์เพื่อดูว่า เขาจะได้รับการสนับสนุนโดยอาศัย ‘ทักษะการวาดภาพ’ ของเขาได้หรือไม่?
ราชินีจอมปราชญ์กล่าวอย่างไม่ตั้งใจว่า “คนผู้นั้นได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้แห่งการวิวัฒนาการของเต๋าสวรรค์”
มีข้อมูลมากเกินไปจริงๆ…
จากมุมมองนี้ ดูเหมือนว่า วิกฤตที่เขาเคยคาดคิดมาก่อนนั้น ไม่ใช่เพียงเรื่องเข้าใจผิด คิดเพ้อเจ้อไปเองทั้งหมด
โลกบรรพกาลนั้นช่างอันตรายมากจริงๆ และไม่ใช่สถานที่ที่ให้คนระดับต้าหลัวอย่างเขาจะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสบายใจได้เลย
เขาต้องคอยระวังหกจอมปราชญ์
และเขายิ่งต้องคอยระวังศาลสวรรค์และเต๋าสวรรค์มากขึ้นไปอีก
………………………………………………………………..
[1] หรือฤทธิ์มีดสั้นหนึ่งในนิยายเลื่องชื่อของโกวเล้ง
[2] เป็นนิยายชุดที่โด่งดังมากของโกวเล้ง
[3] เถียนป๋อกวงเป็นตัวละครเด่นคนหนึ่ง(โจรปล้นสวาทฉายาฉายเดี่ยวหมื่นลี้) ในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร หนึ่งในนวนิยายกำลังภายในเลื่องชื่อของกิมย้ง
[4] ความหมายในทำนองว่า มึนงง ลืมทุกอย่าง หรือคิดอะไรไม่ออก