บทที่ 11 ประทับใจอีกครั้ง
บทที่ 11 ประทับใจอีกครั้ง
ภายในห้อง พี่น้องทั้งสี่กำลังร้องไห้ ครั้นกู้เสี่ยวหวานเห็นน้อง ๆ ร้องไห้อย่างขมขื่นผ่านม่านน้ำตา นางก็หยุดร้องไห้และปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อนวมบุฝ้ายซึ่งดูคร่ำคร่าจนแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นสีอะไร
บ้านนี้ทั้งทรุดโทรม ยากจน และมีสี่ปากท้องที่ต้องเลี้ยงดู นางทนนอนอยู่ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้นางต้องการหายป่วยให้เร็วที่สุด
กู้เสี่ยวหวานหยุดร้องไห้ ยื่นมือออกไปแล้วดึงเด็ก ๆ มาใกล้ ๆ เช็ดน้ำตาจากใบหน้าของเด็กทั้งสามเบา ๆ แล้วบอกพวกเขาว่า “อย่าร้องเลย เมื่อครู่นี้ข้าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่น่ะ”
กู้หนิงอัน กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้หยุดร้องไห้ทันที เมื่อได้ยินพี่สาวพูดว่าคิดถึงบิดามารดา เด็กน้อยทั้งสามก็พยักหน้าแรง ๆ และพูดพร้อมเพรียงกัน “ท่านพี่ เราก็คิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่เช่นกัน”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “พี่รู้ พี่รู้ว่าหนิงอัน หนิงผิง และเสี่ยวอี้เป็นเด็กดีแค่ไหน” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยชื่อและมองอย่างอ่อนโยน ในสายตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความแน่วแน่ของมารดาที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน
ตามคำกล่าวที่ว่า พี่สาวเปรียบเสมือนมารดา พี่สาวคนโตก็คือมารดาของน้อง ๆ ทั้งหลาย!
ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวานเข้าใจความหมายของประโยคนี้ในที่สุด ไม่ว่าความทุกข์ยากที่พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานในอดีตจะเป็นอย่างไร จากนี้ไป นาง…กู้เสี่ยวหวาน แห่งศตวรรษที่ 21 ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้ว แม้ร่างกายของนางจะมีอายุเพียงแปดขวบ แต่นางก็มีจิตวิญญาณและประสบการณ์ถึงยี่สิบแปดปี
นางเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขามีจิตใจที่ยืดหยุ่น มือที่ทำงานหนัก และครอบครัวที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถกำจัดชะตากรรมแห่งความยากจนนี้ไปได้
กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ บ้านที่ทรุดโทรมและน้อง ๆ ที่เชื่อฟังทั้งสาม จากนั้นก็กอดพวกเขาแน่นและพูดอย่างแน่วแน่ “ฟังนะ จากนี้ไปเราจะทำงานร่วมกันเพื่อมีชีวิตที่ดี พี่สาวจะทำให้พวกเจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น พวกเจ้าจะได้กินอย่างเพียงพอ และมีเสื้อผ้าที่อบอุ่น”
กู้เสี่ยวหวานไม่กล้าพูดอะไรมาก นางยังไม่รู้เกี่ยวกับยุคนี้มากพอ ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก นางต้องทำเพื่อที่น้อง ๆ ของนางจะไม่หิวโหยและหนาวเหน็บ
เด็กทั้งสามมองสายตาอันมั่นคงของกู้เสี่ยวหวาน และพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น เมื่อได้ยินน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของนาง
ในวันที่ 6 ของเดือนสิบสองทางจันทรคติ คนอื่น ๆ กำลังเตรียมตัวสำหรับปีใหม่อย่างมีความสุข ร้องเพลงและหัวเราะ แต่พวกเขากลับอยู่กันอย่างหนาวเหน็บและหิวโหย แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจของพวกเขาก็อบอุ่น
กู้เสี่ยวหวานเชื่อมั่นว่าด้วยความพยายามของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
วันรุ่งขึ้น กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าร่างกายของนางไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป หัวของนางก็ไม่ปวดแล้ว นางจึงตื่นแต่เช้า
ข้างนอกยังมืดอยู่ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าอาจจะเทียบเท่าเวลาประมาณหกโมงเช้าในยุคปัจจุบัน ในเวลานี้นางน่าจะตื่นแล้วไปทำงาน นิสัยการทำงานและการพักผ่อนของชีวิตก่อนหน้านี้ทำให้นาฬิกาชีวิตของกู้เสี่ยวหวานเป็นไปอย่างปกติมาก เว้นแต่ในคืนก่อนหน้าที่นางทำงานล่วงเวลา
ที่บ้านมีเตียงเตาเพียงเตียงเดียว เด็กสี่คนจึงแออัดกันอยู่บนนั้น เตียงเตานั้นเย็นมาก และฟืนที่บ้านก็มีไม่เพียงพอที่จะถูกเผา ดังนั้นจึงไม่มีฟืนที่จะใช้เผากับเตียงเตา
เด็กทั้งสี่คนทำได้เพียงกอดกันเท่านั้น กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงอยู่ใกล้กัน ส่วนกู้เสี่ยวอี้อยู่ใกล้กับกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อกู้เสี่ยวหวานลุกขึ้น นางค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนเพราะกลัวว่าจะปลุกน้องให้ตื่น แต่ถึงอย่างนั้นปลายหูของเด็กน้อยคนหนึ่งก็ขยับ ซึ่งนางไม่รู้เลยว่ามีน้องคนหนึ่งตื่นแล้ว
กู้หนิงอันเห็นกู้เสี่ยวหวานลุกขึ้น เด็กน้อยลดเสียงของตัวเองลงอย่างรวดเร็วและพูดอย่างกังวลว่า “ท่านพี่ ท่านรู้สึกไม่ค่อยสบายหรือไม่ รีบนอนลงเพื่อพักผ่อนก่อนเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานรีบยกมือขึ้นมาจุ๊ปากและพูดขึ้นทันที “เบาเสียงหน่อย”
จากนั้นมือและเท้าของกู้เสี่ยวหวานก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น นางสวมเสื้อผ้าและจัดระเบียบให้เรียบร้อยท่ามกลางความกังวลของกู้หนิงอัน ก่อนใช้นิ้วจิ้มเบา ๆ ไปที่ใบหน้าของกู้เสี่ยวอี้ที่กำลังหลับใหล เมื่อเห็นร่างกายผอมแห้งอ่อนแอไม่มีเนื้อหนัง หัวใจของนางก็พลันปวดร้าวขึ้นมาขณะหนึ่ง
ครอบครัวนี้ต้องการอาหารอย่างมาก เด็กเหล่านี้มีปัญหาในการรับประทานอาหารให้เพียงพอ
กู้หนิงอันเองก็รีบแต่งตัว ลุกออกจากเตียงเตา เขาดึงเสื้อกู้เสี่ยวหวานและพูดอย่างลำบากใจว่า “ท่านพี่ ท่านยังอ่อนแออยู่ ไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะทำอาหารเช้าให้”
กู้เสี่ยวหวานส่ายหน้า นางลูบศีรษะของกู้หนิงอันและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าอ่อนแอมากก็จริง แต่ข้านอนอยู่บนเตียงมาเจ็ดแปดวันแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ถ้าง่วงขึ้นมาเดี๋ยวข้าจะไปนอนเอง”
กู้หนิงอันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมลงให้กับพี่สาวของตน “ก็ได้! แต่ข้าจะช่วยท่านด้วย!”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ปฏิเสธ และนางก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วย ประการแรก นางไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของกู้หนิงอัน หนิงอันเป็นลูกชายคนโตของตระกูลกู้ในครอบครัวที่ยากจน ก่อนหน้าที่นางป่วย กู้หนิงอันก็เป็นคนรับผิดชอบดูแลทั้งครอบครัว ประการที่สอง นางยังไม่รู้จักครอบครัวนี้อย่างถ่องแท้ กลัวว่าถ้าทำอะไรแปลก ๆ ทุกคนจะคิดว่านางเป็นตัวประหลาด!
ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะอยู่ใกล้กับคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ อย่างน้อยหากนางทำอะไรผิดพลาด นางก็สามารถพูดได้ว่าสมองอาจเลอะเลือน แต่ก็เป็นการยากที่จะทำให้ประโยคนี้ดูน่าเชื่อถือ
แม้กู้เสี่ยวหวานจะได้เห็นบ้านที่ยากจนเช่นนี้และเตรียมใจมาแล้ว แต่เมื่อนางมองออกไปข้างนอก นางก็ต้องตกใจกับบ้านที่น่าเวทนาแห่งนี้จนถึงกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ
บ้านหลังนี้มีเพียงสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องใหญ่ที่กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ เป็นห้องที่นางเพิ่งหลับไป และอีกห้องเป็นห้องเล็ก ๆ ทั้งหลังเป็นบ้านที่เรียบง่ายสร้างด้วยไม้ธรรมดา มีห้องครัวขนาดเล็ก ข้างในมีเตาดินเผาซึ่งเชื่อมกับเตียงเตาในห้องใหญ่ พอจุดไฟทำอาหารในหน้าหนาว เตียงเตาก็จะอุ่นตามเช่นกัน
ทางเข้าครัวหลังน้อยมีฟืนอยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนเล็กน้อยนัก กู้เสี่ยวหวานรื้อฟื้นความทรงจำของนางก็พบว่าเด็กเหล่านี้ยังเด็กมากและไม่สามารถสับฟืนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่เก็บหรือหักกิ่งไม้ขนาดเล็กมาเท่านั้น ในห้องครัวเล็กมีถังเก็บน้ำที่ปิดทับปากถังด้วยไม้กระดาน มีรอยบิ่นเป็นหย่อม ๆ จากการหั่นผักด้วยมีดเหมือนไม้กระดานนี้ก็ถูกใช้เป็นเขียงด้วย บนเขียงมีกระบวยน้ำเต้าหนึ่งอัน มีถังไม้สองถังวางเรียงซ้อนกันข้างถังเก็บน้ำ และมีเสาไม้ตั้งอยู่ข้างถังไม้
มีกระสอบป่านหยาบอยู่ข้าง ๆ กู้เสี่ยวหวานมองแล้วก็บอกได้ว่าข้าวสารและอาหารอื่น ๆ ใกล้หมดแล้ว หากประหยัดอีกหน่อยก็คาดว่าจะมีข้าวฟ่างเพียงพอสำหรับทำข้าวฟ่างกวนกินไว้ในมื้อเช้าและมื้อกลางวัน
แต่ที่นี่ไม่มีข้าว ไม่มีแป้งขาว และไม่มีผักเลย
ของกินที่ทั้งครอบครัวสามารถกินได้คือข้าวฟ่างที่เหลืออยู่ประมาณครึ่งชั่ง และน้ำอีกครึ่งถัง
กู้เสี่ยวหวานเม้มปากอย่างเป็นกังวล คงต้องลองดูสักหน่อยแล้ว
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
สภาพความเป็นอยู่ก็คือ อยู่กันอย่างไรก่อน เด็กเล็กสี่คน แล้วทั่วทั้งบ้านมีแค่ข้าวฟ่างที่เหลือแค่นิดหน่อยกับน้ำอีกเล็กน้อย คงต้องหาวัตถุดิบเพิ่มตามป่าเขาแล้วล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)