บทที่ 18 ขึ้นเขา
บทที่ 18 ขึ้นเขา
กู้เสี่ยวหวานเดาะลิ้น ในอนาคตนางจะต้องมีบ้านที่มีประตูแข็งแรง ลานบ้านที่มีกำแพงสูง และกลอนเหล็กขนาดใหญ่ที่ประตูเพื่อให้คนที่อาศัยสบายใจ
แต่อนิจจา กู้เสี่ยวหวานมองดูบ้านที่ทรุดโทรมจากภายนอก จากนั้นมองดูดวงตาที่เป็นกังวลของกู้หนิงผิงจากในบ้าน และย้อนกลับมามองประตูลานบ้าน มันก็ให้ความรู้สึกชาและเจ็บปวดนัก นางโบกมืออย่างแรงให้กับน้องชายและน้องสาว จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินไปทางภูเขาด้วยความกังวล
หมู่บ้านที่กู้เสี่ยวหวานอาศัยอยู่ชื่อว่าหมู่บ้านอู๋ซี เป็นหมู่บ้านบนภูเขาเล็ก ๆ ที่มีเพียงสี่สิบครัวเรือน ผู้คนในหมู่บ้านทุกคนล้วนใจดี ยกเว้นลูกพี่ลูกน้องของกู้เสี่ยวหวาน ชื่อ กู้ซินเถา
บ้านในหมู่บ้านอู๋ซีนั้นเหมือนกับบ้านสมัยใหม่ในทศวรรษที่ 1930 และ 1940 บ้านที่ดีหน่อยจะทำจากไม้และอิฐ แม้ว่าสภาพความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีนักและพวกมันทำมาจากโคลน แต่ไม่ว่าจะเป็นบ้านแบบไหน กู้เสี่ยวหวานก็ดูเหมือนจะไม่ชอบมันมาก ๆ เพราะบ้านแบบนี้ไม่ปลอดภัยเลยสักนิด
หมู่บ้านนี้มีประชากรน้อย และมีคนรวยบางคนที่ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองนานแล้ว หรืออยู่ห่างไกลจากคนจนเหล่านี้
เนื่องจากหมู่บ้านนี้มีบรรพบุรุษแซ่อู๋หลบหนีมาที่นี่ และสร้างหมู่บ้านขึ้นมาตรงบริเวณลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่าน เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนในหมู่บ้านนี้จีงเรียกว่า หมู่บ้านอู๋ซี
ทางเหนือของหมู่บ้านอู๋ซีคือภูเขาจิ่วหลิง ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลหลายพันเมตร ต้นไม้อายุพันปีแทงยอดตระหง่านสูงถึงก้อนเมฆ ภูเขาน้อยใหญ่และภูเขารูปร่างแปลก ๆ ที่มีลำธารและน้ำตก ป่าไม้นับไม่ถ้วน หนองน้ำหนาแน่น และกลุ่มสัตว์ป่าที่เป็นตำนานอันลึกลับของภูเขาจิ่วหลิง
ตามคำแนะนำของกู้หนิงอัน เคยมีคนกล้าหาญและมีทักษะสองสามคนในหมู่บ้านได้เดินลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อล่าขุมทรัพย์ โชคร้ายที่ไม่พบสมบัติ แต่ที่แย่กว่าคือพวกเขาถูกพรากชีวิตไปจนหมดและไม่มีใครได้กลับมา
เมื่อเวลาผ่านไป ในส่วนลึกของภูเขาจิ่วหลิงก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ตลอดทั้งปี และชาวบ้านในหมู่บ้านอู๋ซีก็กล้าที่จะเข้าใกล้เพียงตีนเขาเท่านั้น กู้เสี่ยวหวานเดาว่าผู้ที่เข้าไปล่าขุมทรัพย์อาจพบกับงูพิษและสัตว์ร้าย หรือไม่ก็ตกลงไปในหนองน้ำ
กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอันเข้าไปในภูเขาตามเส้นทาง มีคนในหมู่บ้านเป็นคนจำนวนมากที่ขึ้นไปบนภูเขา มีเส้นทางของถนนที่ถูกทำไว้ ต้นไม้สองข้างทางถูกตัดเกือบหมด ภูเขานี้แห่งนี้และทุกอย่างที่อยู่ในนั้นเป็นของทุกคนในหมู่บ้านอู๋ซี
ผู้ใดก็ตามที่หยิบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตามที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลัง คนที่หยิบขึ้นมาก่อนย่อมเป็นของคนนั้น
กู้เสี่ยวหวานเดินและดูไปตามเส้นทาง ต้นไม้สองข้างทางไม่หนาแน่นมากนัก อาจเป็นเพราะถูกชาวบ้านโค่นไป บริเวณนี้คือชายป่า ใครที่จะสร้างบ้านในหมู่บ้านอู๋ซีจะมาตัดไม้ในบริเวณใกล้เคียงเสมอ
กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ และพบว่าพื้นดินเป็นหญ้าแห้งเกือบทั้งหมด เมื่อมองขึ้นไปก็เจอกิ่งก้านสูงตระหง่านมีเถาของต้นหวายพันกันอยู่บนที่สูงเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ดูเป็นแพคล้ายกับพื้นทะเลสีเขียวเข้ม ในเวลาแปดถึงเก้านาฬิกาในช่วงเดือนแรกของปีพระอาทิตย์ยังอ่อนแรงมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแสงลอดผ่านเข้ามาตามช่องว่างระหว่างกิ่งก้าน ฉายแสงที่พลิ้วไหวงดงามบนพื้น
ลมหนาวโหมกระหน่ำในป่าและส่งเสียงหวีดหวิวรุนแรง หากอยู่ตามลำพังก็จะรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ใบไม้สีเหลืองเหี่ยวที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นถูกลมหนาวพัดพาไปในคราแรก ราวกับพายุหมุนลูกเล็ก ๆ ที่พัดผ่านป่า
แม้เสื้อนวมบุฝ้ายของกู้เสี่ยวหวานจะดูหนาและพอง แต่ด้วยเหตุที่ฝ้ายด้านในจับตัวกลายเป็นก้อนแข็ง ลมหนาวจึงได้ซึมผ่านเสื้อนวมบุฝ้ายตัวเก่าคร่ำคร่าของนาง
ลมหนาวพัดผ่านตรงไปที่คอของกู้เสี่ยวหวาน ทำให้เด็กสาวตัวสั่นและหนาวเยือก จนเจ็บปวดร้าวไปถึงไขกระดูก มือที่แดงและบวมอยู่แล้วก็เริ่มแข็งขึ้นจากความหนาวเย็น ทำให้เด็กทั้งสองแทบจะไม่สามารถถือขวานได้เลย
กู้หนิงอันที่อยู่ข้าง ๆ เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากู้เสี่ยวหวาน ใบหน้าของเขาซีดไม่น้อย
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่กู้หนิงอันซึ่งกำลังหนาวเหน็บและตัวแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ นาง จึงคิดกับตัวเองว่าจะมัวยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ หากไม่รีบหาของกิน ทั้งสองต้องถูกแช่แข็งอยู่ที่นี่แน่
กู้เสี่ยวหวานกัดฟันและกระทืบเท้าอย่างแรง “หนิงอัน กระโดดสองครั้งสิ น่าจะไม่หนาวนะ”
จากนั้นกู้หนิงอันกับกู้เสี่ยวหวานก็กระโดดไปมาสองสามครั้ง และทั้งสองคนก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวานจากอนาคตมีประสบการณ์ด้านการเกษตรมาก่อน และกู้เสี่ยวหวานคนเก่าก็มีประสบการณ์ในการตัดไม้และทำงานบ้านด้วยเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นแต่ก่อนนางมักจะมาที่ป่าแห่งนี้และคุ้นเคยกับทางดี เมื่อกู้เสี่ยวหวานมาถึงที่นี่นอกจากจะหนาวเล็กน้อยแล้วนางก็ไม่รู้สึกกลัวเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสงบนิ่งในใจ เพราะมีกู้หนิงอันคอยอยู่เคียงข้างนางด้วย
ในภูเขาไม่เหลืออะไรเลย นางหาอะไรไม่เจอสักอย่าง กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่าทันทีที่ชาวบ้านเข้าไปในภูเขา พวกเขาจะต้องเข้าไปในส่วนของตีนภูเขา ถ้ามีอะไรดี ๆ ชาวบ้านก็จะขุดมันออกมา
จากนั้นทั้งสองจึงเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง และยิ่งเข้าไปข้างในมากเท่าไร ก็ยิ่งมีต้นไม้นานาพันธุ์อยู่ข้างในมากขึ้นเท่านั้น
มีทั้งต้นสนนานาชนิด เช่น สนหม่าเว่ย สนภูเขาเหลือง สนจีน เฟอร์จีน สนซีดาร์ สนหิมะ เป็นต้น ตลอดจนไม้ผลัดใบ เช่น สุ่ยซาน ซื่อซาน ลั่วอวี๋ซาน สนจินเฉียน สนลั่วเย่ และหงซาน เป็นต้น รวมทั้งต้นจ้าวเจียว ต้นหยาง ต้นหลิว ต้นหวายฉู่ ต้นท้อ ต้นชิ่ง ต้นเกาลัด ต้นสาลี่ ต้นเหมย และไม้ใบกว้างผลัดใบอื่น ๆ เช่นเดียวกับไม้ใบกว้างบางชนิดที่เขียวชอุ่มตลอดปี อย่างการบูร ไทร แมกโนเลีย มังตาน ส้ม ส้มโอ และอื่น ๆ
กู้เสี่ยวหวานเดินดู บนภูเขามีไม้ผลค่อนข้างมาก ถ้ามาเร็วกว่านี้ในฤดูร้อนคาดว่าจะสามารถเก็บผลไม้ได้เป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีผู้คนมากมายในหมู่บ้านเข้ามาเก็บผลไม้ และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเก็บที่นี่ทั้งวันทั้งคืน คงเก็บได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นและจะหวังมากไม่ได้ กู้เสี่ยวหวานคิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย นางอยากจะบอกว่ายังกินผลไม้ได้เหลือเกิน แต่ดูเหมือนว่าแผนนี้จะล้มเหลวเสียแล้ว
ทั้งสองทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุด ต้นไม้รอบข้างเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านอยู่เหนือศีรษะได้บดบังแสงอาทิตย์จนเหลือแสงแดดเพียงรำไรเท่านั้น แล้วมันก็กลายเป็นป่าทึบที่แสงไม่มีทางที่จะเข้าถึงได้
ลำธารเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองพี่น้อง กู้หนิงอันสูดอากาศเย็น มองไปรอบ ๆ อย่างประหม่าแล้วคว้ากู้เสี่ยวหวาน “ท่านพี่ อย่าเข้าไปข้างในอีกเลย แม่น้ำนี่เห็นเล็ก ๆ แต่มันลึกมาก ที่ภูเขาก็มีสัตว์โผล่ออกมาอยู่บ่อย ๆ เรากลับกันเถอะ!”
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจ ขวานในมือของนางยังไม่ได้ใช้เลย! นางยังหวังว่าจะได้พบกับไก่ฟ้าป่าหรือกระต่ายป่าสักหน่อยเพื่อให้น้องชายและน้องสาวของนางได้ลิ้มรสเนื้อสักนิด!
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตอนนี้จงถอดสมองแล้วคิดว่ามันเป็นโลกแฟนตาซีนะคะ ตอนแรก ๆ บอกว่าย้อนมายุคโบราณเมื่อพันปีก่อน แต่กลับมีบ้านเหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียอย่างนั้น
ท่ามกลางอากาศหนาวแทบแข็ง จงเอาใจช่วยเสี่ยวหวานให้เจอสัตว์ป่าที่พอจะเป็นอาหารได้บ้างด้วยนะคะ
ไหหม่า(海馬)