ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 21 แบกความสำเร็จกลับมา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 21 แบกความสำเร็จกลับมา

บทที่ 21 แบกความสำเร็จกลับมา

กู้หนิงอันตะลึงงัน จ้องมองกู้เสี่ยวหวานราวกับคนแปลกหน้า และเอ่ยขึ้นอย่างฉงนสงสัย “ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผักป่าพวกนี้มีไม่มีพิษ ตอนที่พวกเราออกไปตัดฟืนเมื่อก่อน ในทุ่งนามีผักพวกนี้เต็มไปหมด พวกเราไม่เคยกินมันมาก่อนด้วยซ้ำ!”

กู้เสี่ยวหวานนิ่งอึ้ง แย่แล้ว! คำถามนี้สร้างปัญหาให้นางเสียแล้ว

เมื่อก่อนแม้แต่พบเห็นก็ยังไม่เคยเจอ แล้วตอนนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าสามารถกินได้ และยังมีคุณค่าทางโภชนาการ นางจะต้องอธิบายเรื่องนี้ แต่ว่าจะอธิบายมันออกมาเช่นไรดี เด็กสาวครุ่นคิดอย่างหนัก แต่แล้วก็ทำได้เพียงคลี่ยิ้มลึกลับ “หนิงอัน! รอเดี๋ยว! รอข้าทำเสร็จแล้วเจ้าก็จะรู้!”

กู้หนิงอันมองท่าทางมั่นอกมั่นใจของพี่สาวแล้วก็ต้องเห็นดีเห็นงามด้วย

แต่เขาก็ยังรู้สึกลังเล “ท่านพี่ พวกเราอย่าเข้าไปเลยจะดีกว่า ข้ารู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่ค่อยปลอดภัยอย่างไรก็ไม่รู้”

ไม่ใช่ความกังวลใจของกู้หนิงอันไร้เหตุผล พวกเขายังเป็นเด็ก ไม่มีศิลปะการต่อสู้ ผู้ใหญ่ที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ด้านใน เช่นนั้นแล้วไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย

กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะ “ข้าจะไม่เข้าไป แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อบ้านของพวกเรามีเงิน มีกินมีใช้ ข้าจะไม่ย่างกรายเข้าไปอีก”

หากพูดกันตามตรง กู้เสี่ยวหวานเองก็หวาดกลัวไม่ใช่น้อย

นอกจากบริเวณหนองน้ำแล้ว หากไม่ก้าวเข้าไป มันก็จะไม่กวนใจนางอีกต่อไป

แต่กับพวกสัตว์มีพิษนั้นต่างกัน หากเจอสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น พวกมันจะกระโจนเข้าหาอย่างไม่รีรอ

หัวใจของกู้เสี่ยวหวานรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่จะทำอย่างไรได้ หากไม่ถูกงูพิษกัดหรือถูกเขมือบโดยสัตว์ร้าย ก็คงจะอดอยากปากแห้งตายอยู่ในบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้น คงจะอดตายกันทั้งบ้าน

นางยังจำเป็นที่จะต้องเข้าไปในภูเขาแหงนั้น การเข้าภูเขาในครั้งต่อไปจะต้องเตรียมเครื่องมือไม่น้อย เช่นนี้แล้วอาจจะเจอเหยื่อขนาดเล็กก็ได้

กู้หนิงอันไม่ปริปากเอ่ยคำใด เด็กชายเพียงพยักหน้าอย่างเงียบงัน ตั้งปณิธานเอาไว้ในใจว่าหลังจากนี้จะต้องรับผิดชอบครอบครัว และไม่ทำให้พี่สาวต้องลำบากแบบนี้อีก

กู้เสี่ยวหวานแบกตะกร้าขึ้นหลังอีกครั้ง แต่ก็ถูกกู้หนิงอันคว้าเอาไว้เสียก่อน “ท่านพี่ ท่านแบกมันนานแล้ว เดี๋ยวข้าแบกมันเอง”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าโดยไม่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็นน้องชาย และยอมให้เขาแบกมันแต่โดยดี อย่างไรเสียตะกร้าก็ไม่หนักอะไร

สองพี่น้องจูงมือกันเดินกลับบ้าน ภายในตะกร้าเต็มไปด้วยของกิน เมื่อคิดว่ากลับถึงบ้านจะได้กินเนื้อกระต่ายก็พลันเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตอนที่พวกเขามาถึงภูเขาเฉียนซาน กู้เสี่ยวหวานได้ใช้ขวานจามต้นไม้ มัดรวบด้วยเชือกป่าน จากนั้นก็วางลงในตะกร้า ทำให้ในตะกร้าเต็มไปด้วยไม้ฟืนจำนวนมาก มีน้ำหนักเกือบยี่สิบชั่งได้

กู้เสี่ยวหวานคิดว่าฟืนเหล่านี้คงจะอยู่ได้ประมาณสามถึงสี่วัน ช่วงนี้จำเป็นต้องเผาฟืนให้มากขึ้น เพิ่มความอุ่นเตียงเตาขึ้นบ้างเล็กน้อย การนอนบนเตียงเตาในยามกลางคืนมันหนาวมากเหลือเกิน หนาวจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาจามกลางดึก คิด ๆ ดูแล้ว นางตัดฟืนเพิ่มได้อีกก็คงจะดี

กู้เสี่ยวหวานใช้เชือกมัดฟืนแล้วยกขึ้น วางมันลงบนตะกร้าที่กู้หนิงอันแบกมันเอาไว้ เพื่อปกปิดสิ่งของด้านใน

นางรู้ว่าการกระทำเช่นนี้ค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่มีทางเลือก ตอนนี้แม้กระทั่งข้าวยังกินไม่อิ่ม กู้เสี่ยวหวานจึงไม่สามารถทำตัวเป็นแม่พระได้

สองพี่น้องเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างอุดมสมบูรณ์ คนหนึ่งแบกตะกร้าอันหนักอึ้งไว้ด้านหลัง แล้วพากันกลับบ้านอย่างว่องไว ไม่นานทั้งสองก็กลับถึงบ้าน

กู้เสี่ยวหวานผลักประตูลานบ้าน ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไป เสียงร้องเรียกของกู้หนิงผิงก็ดังขึ้นจากในห้อง “ท่านพี่ พวกพี่กลับมาแล้วหรือ”

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานขึ้นเขาไปพร้อมกับกู้หนิงอัน กู้หนิงผิงก็เล่นกับกู้เสี่ยวอี้อยู่ครู่ใหญ่ อากาศภายในบ้านหนาวเย็นนัก ทั้งสองจึงซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ไม่นานก็ผล็อยหลับไป กระทั่งตื่นขึ้นมาก็พบว่าพี่ชายและพี่สาวยังไม่กลับมา กู้หนิงผิงพลันรู้สึกเคว้งคว้าง

อาการป่วยของพี่สาวที่เพิ่งจะดีขึ้น กลับยังต้องออกจากบ้านในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ เขาเกรงว่าพี่สาวจะหนาว ครั้นตื่นขึ้นมาก็ได้แต่กอดกู้เสี่ยวอี้ไว้ด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน หัวใจของเด็กน้อยไม่อาจนิ่งสงบลงได้เลย

ยามได้ยินเสียงประตูถูกคนผลักเข้ามา ได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่สาวและพี่ชาย ก้อนหินอันหนักอึ้งในใจก็ร่วงลงบนพื้น

เพียงแค่กู้หนิงอันส่งเสียง กู้เสี่ยวอี้ก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา คลานต้วมเตี้ยมออกมาจากผ้าห่ม ส่งเสียงร้องออกมาอย่างดีใจ “ท่านพี่!”

หนิงผิงอันลงจากเตียง หมายจะวิ่งไปเปิดประตู ตามด้วยกู้เสี่ยวอี้ที่มุดกายออกมาจากผ้าห่ม “พี่สามรอข้าด้วย!”

กู้หนิงอันทำได้เพียงหันกลับไปอุ้มกู้เสี่ยวอี้เดินไปข้างประตู

ครั้นก้าวออกจากประตู กู้เสี่ยวหวานก็มองประตูลานด้านนอกอย่างพะว้าพะวัง ดังนั้นนางจึงสั่งให้กู้หนิงผิงลงกลอนจากด้านใน กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงได้ยินเสียงร้องเรียกของสองพี่น้องจากด้านใน ทั้งคู่สบตากันด้วยรอยยิ้ม หัวใจของพวกเขาพลันอบอุ่นขึ้นมา

นางนำฟืนทั้งหมดไปเก็บไว้ในห้องครัวห้องเล็ก ๆ ตอนเดินออกมากู้หนิงผิงก็จัดการลงกลอนด้านในเรียบร้อย

สองพี่น้องเดินเหยียบย่างเข้าไปในห้องโถงพร้อมกู้หนิงอัน เมื่อเข้ามาแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ปิดประตูลงอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบตะกร้าบนหลังของกู้หนิงอันลงมา กดลงเสียงลงต่ำแล้วเอ่ยอย่างมีความสุข “มานี่เร็ว มาดูสิว่าพี่กับหนิงอันหาอะไรมาให้พวกเจ้า”

สิ้นเสียงเรียก กู้หนิงผิงจัดแจงสวมรองเท้าให้กู้เสี่ยวอี้ ส่วนเด็กชายกระโจนไปหยุดอยู่ด้านหลังของกู้เสี่ยวหวาน

กู้หนิงผิงมองพี่สาวนำฟืนออกจากตะกร้า กระต่ายอ้วนหนึ่งตัวหันซ้ายแลขวามองสำรวจบริเวณรอบ ๆ กู้หนิงผิงเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว สายตาที่จับจ้องไปยังพี่สาวเต็มไปด้วยความชื่นชม “ท่านพี่ ท่านเก่งจริง ๆ”

กู้เสี่ยวอี้โผเข้าใส่ร่างของกู้เสี่ยวหวาน เอียงคอมองกระต่ายตัวอ้วนกระโดดหย็องแหย็งอยู่ในตะกร้า นางปรบมือเคล้าเสียงหัวเราะ “ท่านพี่สุดยอด จับกระต่ายได้ด้วย”

เด็กหญิงฟัดใบหน้าอ้วนกลมของผู้เป็นน้องสาวอย่างเป็นสุข และเอ่ยออกมาด้วยความรักใคร่ “รอประเดี๋ยว พี่จะย่างเนื้อกระต่ายให้กิน ดีหรือไม่?”

กู้เสี่ยวอี้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ เนื้อกระต่ายอร่อยหรือไม่?” กู้เสี่ยวอี้เคยเห็นกระต่ายในบ้านคนอื่น แต่ทั้งชีวิตของเด็กน้อยกลับไม่เคยสัมผัสลิ้มลองรสชาติมาก่อน

ในห้วงความทรงจำของกู้เสี้ยวหวาน นับตั้งแต่บิดามารดาจากไป พวกเขาก็ไม่ได้กินเนื้ออีกเลย วัน ๆ ได้แต่อดมื้อกินมื้อ อย่าพูดถึงเนื้อสัตว์เลย ขนาดน้ำมันยังไม่ได้ลิ้มรสแม้แต่หยดเดียว นอกจากความช่วยเหลือของท่านป้าจางแล้ว ชีวิตในทุก ๆ วันก็ผ่านไปอย่างยากลำบาก

กู้หนิงผิงเอ่ยขึ้นอย่างเบิกบานใจ “แน่นอนว่าเนื้อมันอร่อยมาก”

“เนื้อมีรสชาติเป็นอย่างไร?” กู้เสี่ยวอี้กะพริบตาปริบ ๆ เอ่ยถามอย่างเผลอไผล “มีบะหมี่สีขาวอร่อย ๆ หรือเปล่า?” ในความคิดของกู้เสี่ยวอวี้ สิ่งที่อร่อยที่สุดก็คือบะหมี่ บางครั้งที่ท่านป้าจางเห็นเด็ก ๆ น่าสงสารทั้งสี่ นางก็จะส่งบะหมี่มาให้พวกเขา เด็กสามคนที่โตจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มักจะเหลือเอาไว้ให้กู้เสี่ยวอี้กิน ในความทรงจำของนาง มันคืออาหารที่อร่อยที่สุดที่กู้เสี่ยวอี้เคยกินมา

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ผ่านสกิลล่าสัตว์มาทำอาหารแล้วค่ะ ภารกิจต่อไปก็คือจะทำอย่างไรให้มีกินเรื่อย ๆ นี่แหละ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท