บทที่ 22 จัดการกระต่าย
บทที่ 22 จัดการกระต่าย
ลำคอของกู้หนิงอันรู้สึกตีบตันเล็กน้อย เขาได้กินเนื้อครั้งล่าสุดตอนไหน ตนเองก็จำไม่ได้เช่นกัน
แม้แต่รสชาติของเนื้อก็เกือบจะลืมไปแล้ว เด็กชายก้มหน้าลงด้วยความขมขื่น นิ่งงันไม่เอ่ยคำใด
ใบหน้าของกู้หนิงผิงหดหู่เล็กน้อย เด็กชายก้มหน้างุด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ไม่ว่าอย่างไรรสชาติของมันก็อร่อย แต่เนื้อรสชาติเป็นอย่างไร ข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว ได้กินเนื้อครั้งสุดท้ายก็ตอนท่านพ่อกับท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่”
กู้เสี่ยวหวานกลั้นน้ำตาบังคับไม่ให้มันหลั่งรินออกมา สูดหายใจเข้าเล็กน้อย
บิดามารดาจากพวกเขาไปได้สองปีแล้ว เมื่อสองปีก่อนกู้เสี่ยวอี้ยังเป็นเด็กตัวน้อยอายุสองขวบ ยามนั้นแม้แต่เนื้อก็ยังไม่เคยได้ลิ้มรส กระทั่งฟันขึ้นจนสามารถกินเนื้อได้แล้ว ก็ไม่เคยมีเนื้อให้นางได้กิน ไม่คาดคิดเลยว่านางโตขึ้นจนอายุสี่ขวบแล้ว แม้แต่รสชาติของเนื้อก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร
กู้เสี่ยวหวานปวดใจแทบทนไม่ไหว โอบกอดเด็กสามคนเอาไว้ในอ้อมกอด กล่าวคำมั่นสัญญาอย่างเด็ดเดี่ยว “พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้าจะทำให้ชีวิตของพวกเจ้าดีขึ้นอย่างแน่นอน หลังจากนี้บ้านของเราจะได้กินบะหมี่ทุกวัน ไม่เพียงแต่บะหมี่เท่านั้น ยังมีข้าว เนื้อ มีเสื้อผ้าชุดใหม่ให้สวมใส่ มีบ้านหลังโตให้อยู่”
กู้เสี่ยวอี้ยังเป็นเด็กน้อย ครั้นได้ยินว่าหลังจากนี้จะมีข้าว มีเนื้อให้ได้ลิ้มลอง มีอาภรณ์ชุดใหม่ให้สวมใส่ จึงดีใจกระโดดโลดเต้น กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงมองพี่สาวที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่และสายตาอันเด็ดเดี่ยว สัมผัสได้กับความรู้สึกตอนที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ รู้สึกเหมือนได้รับการประคับประคอง ราวกับได้เป็นคนสำคัญ ก็เกิดความหวังขึ้นในหัวใจ
หลายปีนับจากนี้ ตอนที่กู้หนิงผิงจะประสบความสำเร็จทางสงครามครั้งเมื่ออยู่ในกองทัพ เขายังจำสายตาอันมั่นคงของพี่สาวได้ในตอนนั้น เป็นความกล้าหาญที่จะก้าวหน้าไปข้างอย่างไม่เกรงกลัวต่อความยากลำบาก
เป็นเพราะกู้เสี่ยวหวาน หัวใจของทุกคนในบ้านนับจากนี้ไปก็ดูราวกับได้รับการสนับสนุนและมีความหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งจากความคิดและการสนับสนุนของสมาชิกภายในบ้าน หลายปีหลังจากนี้เมื่อทุกคนนึกย้อนถึงอดีตที่ผ่านพ้น ทุกเรื่องราว ทุกวินาที ทุกเส้นทางในชีวิตพวกเขาก็ล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่า
กู้เสี่ยวหวานยกตะกร้าขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยกับน้องชายและน้องสาวทั้งสามคนอย่างภาคภูมิใจ “พวกเจ้ารอก่อน พี่สาวคนนี้จะไปตุ๋นเนื้อให้พวกเจ้า”
กู้หนิงอันตามหลังพี่สาวไม่ห่าง “ท่านพี่ ข้าจะช่วยพี่เอง”
กู้หนิงผิงเองก็ไม่ยอมแพ้ “ท่านพี่ ข้าก็จะช่วยเหมือนกัน”
กู้เสี่ยวอี้ขาสั้นเดินเข้ามาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ ข้าก็เหมือนกัน”
กู้เสี่ยวหวานมองความกระตือรือร้นของสามศรีพี่น้องก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ยอดเยี่ยม เช่นนั้นแล้วพวกเรามาลงมือทำด้วยกันเถอะ พวกเราจะได้กินดีอยู่ดี!”
เด็กสาวจ้องมองกระต่ายตัวน้อยที่กระโดดโลดเต้นไปมา ยามคิดว่าจะลงมือจัดการกับมันอย่างไรก็พลันนึกถึงว่าถ้าถลกหนังเนื้อกระต่ายออก และนำไปขายในเมือง มันคงจะได้เงินไม่น้อย
เพียงแค่ลงมือทำเท่านั้น
กู้เสี่ยวหวานกวาดสายตามองรอบ ๆ ไม่รู้ว่าหินลับมีดซ่อนอยู่ที่มุมใดของบ้าน ห้องครัวออกจะเล็กแค่เพียงนี้ มันน่าจะหาได้ง่าย ๆ
กู้หนิงอันเห็นพี่สาวกวาดสายตารอบ ๆ ราวกำลังตามหาบางอย่างจึงเอ่ยถามว่า “ท่านพี่ พี่กำลังหาสิ่งใดหรือ?”
กู้เสี่ยวหวานเขินอายเล็กน้อย ลูบปลายจมูกตัวเองแผ่วเบา “บ้านของเรามีหินลับมีดหรือไม่?”
“มี!” กู้หนิงผิงเอ่ยอย่างแน่วแน่และเฉียบขาด ไม่ทันรอคำสั่งของกู้เสี่ยวหวาน เขาก็พุ่งตัวออกไปจากห้องครัว ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับหินลับมีดก้อนหนึ่ง หินลับมีดก้อนนั้นมีขนาดเกือบจะเท่าก้อนอิฐ
กู้เสี่ยวหวานตะลึงงัน หินลับมีดอยู่ในห้องโถงใหญ่หรือ? ความสงสัยผุดขึ้นเต็มไปหมด
กู้หนิงอันเห็นท่าทีสงสัยของพี่สาว จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ “ช่วงเวลาที่ท่านพี่ป่วยก่อนหน้านี้ พวกเรากลัวว่าจะมีคนร้าย ดังนั้น…”
สิ้นประโยค กู้เสี่ยวหวานก็ตระหนักได้ พยักหน้าให้กู้หนิงผิงอย่างชมเชย ความตระหนักในช่วงเวลาขับขันเป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ตลอดเวลา!
เมื่อได้รับการชื่นชมจากกู้เสี่ยวหวาน กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงพลันคลี่ยิ้มกว้าง
กู้เสี่ยวหวานวางมีดทำครัวลงบนหินลับมีด กระทั่งสัมผัสได้ถึงความคมของใบมีดถึงหยุดมือลง
ไม่ว่าจะถลกหนังของสัตว์ชนิดใดต้องทำอย่างรวดเร็วภายในมีดเดียว หากใบมีดไร้ความคมจะส่งผลต่อความสมบูรณ์แบบของมัน
ภายในสายตาที่มองมาอย่างเลื่อมใสศรัทธาของน้องทั้งสาม กู้เสี่ยวหวานถลกหนังกระต่ายอย่างรวดเร็วและง่ายดาย แผ่มันออกและผึ่งให้แห้ง
ถึงแม้ว่านางจะเรียนเกษตรมาก่อน แต่ว่าการถลกหนังนั้นง่ายกว่าการจับคู่โครโมโซมของพืชเสียอีก!
นางนำเครื่องในกระต่ายทั้งหมดออกมาวางลงในอ่างไม้ ขนกระต่ายที่ถูกถอนจนเกลี้ยงและเครื่องในทั้งหมดคาดว่ามีน้ำหนักประมาณสามชั่ง ขณะที่กู้เสี่ยวหวานจัดการเนื้อกระต่ายพลางคิดว่าคืนนี้จะทำอาหารจากเนื้อกระต่ายให้กับทุกคนกิน และไม่เสียเนื้อกระต่ายไปมากกว่านี้ในอาหารมื้อกลางวัน
ช่วงเวลาอาหารภายในหมู่บ้านอู๋ซีเหมือนกับยุคปัจจุบัน หนึ่งวันกินข้าวสามมื้อ ผู้ที่มีฐานะดีมีวิธีกินที่หลากหลาย หากผู้ใดที่ขัดสนมักจะกินแป้งข้าวฟ่าง มีผู้คนไม่น้อยที่ต้องอดอาหารหนึ่งมื้อ
เมื่อก่อนบ้านตระกูลกู้ก็เป็นเช่นนั้น ภายในหนึ่งวันกินข้าวเพียงสองมื้อ หากเกิดหิวขึ้นมา พวกเข้าจะเข้าไปในห้องครัว ดื่มน้ำคนละหนึ่งกระบวยให้เต็มกระเพาะ แต่เมื่อดื่มน้ำเยอะท้องก็ยิ่งหิว ยิ่งหิวก็ยิ่งดื่ม ไม่รู้ค่ำคืนหนึ่งแต่ละคนจะต้องดื่มน้ำเท่าไร วิ่งเข้าห้องน้ำกันคนละกี่รอบ ท้ายที่สุดก็หิวจนจิตใจไม่สงบสุข หิวจนเกิดกรดไหลย้อน และปวดท้อง
รสชาติชีวิตเช่นนั้นช่างแสนทรมาน
กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการพบเจอรสชาติชีวิตเช่นนั้นแล้ว และนางก็ไม่ต้องการให้น้องชายและน้องสาวของตนจ้องพบเจอรสชาติชีวิตเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งสี่กำลังเติบโต หากถูกความหิวทำลายร่างกาย เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งเปล่าประโยชน์
ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ให้ตนก่อนเป็นอันดับแรก กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิด เช่นการไม่ปล่อยให้ทุกคนหิวโหย
ถึงแม้ว่าเครื่องในกระต่ายจะเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก และเมื่อชาติที่แล้วกู้เสี่ยวหวานก็ไม่เคยกินมันมาก่อน แม้ว่ามันจะเต็มด้วยสารอาหารบำรุงร่างกาย แต่ก็มีคอเลสเตอรอลสูงเกินไป ในชาติก่อน ผู้ใหญ่เจ็ดในสิบล้วนมีคอเลสเตอรอลซึ่งเกิดจาการกินมากเกินไป
กู้เสี่ยวหวานทำปากยื่น พวกเขาทั้งหิว ร่างกายผอมโซราวกับเสาไม้ไผ่ และต้องการเพิ่มคอเลสเตอรอลให้ร่างกาย
หากมีกระเทียม ขิง พริก มาผัดกับกระต่าย…
เมื่อคิดถึงรสชาติกระต่ายผัดก็รู้สึกราวกับจมูกได้สูดดมกลิ่นเหล่านั้น
กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย และเพื่อที่ได้ลิ้มลองรสชาติกระต่ายอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของมือก็ไม่ได้หยุดลง นางใช้มีดทำครัวแล่เนื้อกระต่ายทีละชิ้น
มือเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด กู้เสี่ยวหวานใช้น้ำล้างมันให้สะอาด ในขณะที่กู้หนิงอันก็ยกน้ำสกปรกไปเททิ้งด้านนอก และมีกู้หนิงผิงช่วยตักน้ำสะอาด
ทั้งสามคนให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชีวิตอนาถามากเลยค่ะ ที่ต้องกินน้ำประทังความหิว ต่อไปจะไม่ได้กินอยู่อย่างลำบากแล้วนะ
ไหหม่า(海馬)