บทที่ 25 สามัคคีคือพลัง
บทที่ 25 สามัคคีคือพลัง
กู้เสี่ยวหวานตบโต๊ะทันทีเหมือนกับตัดสินใจได้ “เอาล่ะ พวกเรารีบกินข้าวให้เสร็จกันเถอะ เราจะไปกันทั้งหมดนี่แหละ และช่วงชิงเอาหัวไชเท้าป่าที่กินได้ในฤดูหนาวนี้กลับมาให้หมด”
สามพี่น้องสบตากัน เอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “ตกลง!”
“ยอดเยี่ยม แบบนี้สิถึงเรียกว่าสามัคคีคือพลัง” หัวใจกู้เสี่ยวหวานอัดแน่นด้วยความฮึกเฮิม ความปรารถนาที่จะพาน้องชายและน้องสาวของตนเองไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
“อะไรเรียกว่าสามัคคีคือพลังหรือขอรับ?” กู้หนิงอันที่ไม่เคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“เอ่อ รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ความหมายของสามัคคีคือพลังคือ การที่พวกเรารวมตัวเป็นขดเชือกแน่นหนา จะไม่มีปัญหาใดล้มล้างเราได้ ตอนนี้เราไม่มีอะไรแม้แต่จะกิน หากพวกเราร่วมแรงกันทำงาน เราจะมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ แล้วจะมีบ้านหลังใหญ่ให้หลับให้นอน”
“แล้วมีหนังสือให้อ่านหรือไม่ขอรับ?” กู้หนิงอันถามเสียงผะแผ่ว เขาอยากเรียนหนังสือจริง ๆ แต่ครอบครัวเขาไม่มีเงิน และค่าตอบแทนอาจารย์ค่อนข้างสูง
“แน่นอนอยู่แล้ว” กู้เสี่ยวหวานรู้ดีถึงความหมายในใจของกู้หนิงอัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางเห็นกู้หนิงอันหยิบหนังสือที่ขาดผุพังเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน กู้เสี่ยวหวานจึงตัดสินใจจะหาเงิน ทำเงินให้ได้เป็นจำนวนมาก และส่งน้อง ๆ ทั้งหมดไปเรียนหนังสือ
“จริง ๆ หรือ” กู้หนิงอันเงยหน้าขึ้นทันใด และเมื่อเขาเห็นแววตาของพี่สาวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นในทันที “เอาล่ะ ท่านพี่ เรามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว และทำให้เป็นสามัคคีคือพลังกันเถอะ”
“รวมกันเป็นหนึ่ง สามัคคีคือพลัง!” พี่น้องทั้งสี่ตะโกนเสียงดัง รอคอยอนาคตด้วยความคาดหวัง
น้อง ๆ ทั้งสามมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความคาดหวังและเปี่ยมด้วยพลังศรัทธา โดยคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่กินได้เนื้อนับตั้งแต่บิดามารดาเสียชีวิต และนึกถึงความคาดหวังที่พี่สาวนำมาให้พวกเขาหลังจากอาหารป่วยดีขึ้น พวกเขายิ้มอย่างมีความสุข หยิบตะเกียบลงมือกินอาหารมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย
ทั้งสี่กินจนสะอาดหมดเกลี้ยงทั้งในชามและในหม้อ ทุกคนกินด้วยความอิ่มเอมใจ กินจนอิ่มแปล้ กินจนรู้สึกเหนื่อย
เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่บิดามารดาตระกูลกู้เสียชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่พี่น้องทั้งสี่คนได้กินเนื้อ และยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กินอย่างอิ่มหน่ำสำราญ ไม่ใช่ว่าโตขึ้นแล้วก็หลงลืมว่าเนื้อมีรสชาติเช่นไรหรือเมื่อเป็นเด็กก็ไม่เคยได้สัมผัสลิ้มลองเนื้อมาก่อน
สิ่งที่พวกเขาต้องทำและกังวลอยู่ทุกวันคือทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองหิวโหยและหนาวเหน็บ
เมื่อสองปีที่แล้ว กู้เสี่ยวหวานมีอายุเพียงหกขวบ กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงอายุสี่ขวบ กู้เสี่ยวอี้ตอนนั้นเพิ่งจะอายุสองขวบ นั่นคือช่วงเวลาที่นางเพิ่งหัดกินและเดิน กู้เสี่ยวหวานซึ่งยังเด็กอยู่ และยังมีพี่น้องอีกสามคนที่กำลังรอคอยอาหาร ทุกวันจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวและเป็นกังวล
เด็กน้อยวัยหกขวบคนอื่นยังออดอ้อนพ่อแม่ของตน ส่วนเด็กอายุสี่ขวบกับสองขวบยังถูกพ่อแม่โอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขน
แต่สำหรับครอบครัวกู้แล้ว เด็กน้อยวัยหกขวบกลับต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นน้องชายวัยสี่ขวบหรือน้องสาววัยสองขวบ ดิ้นรนทำทุกหนทางเพื่อไม่ให้ท้องหิวโหยและร่างกายหนาวเหน็บ ไม่มีคำว่าทำหรือไม่ทำ มีแต่ทำมากหรือทำน้อยเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่กู้เสี่ยวหวานพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ร่างกายของนางแข็งทื่อ ทุกคนต่างบอกว่านางจะไม่รอด กู้หนิงอัน กู้หนิงผิง และกู้เสี่ยวอี้รู้สึกหวาดกลัว กู้เสี่ยวอี้ยังเด็กเกินกว่าจะจำเรื่องราวเหล่านั้นได้
แต่เด็กชายสองคนที่เริ่มโตขึ้นแล้วก็ยังจำเรื่องราวบางอย่างได้ ครั้นบิดามารดากล่าวว่าจะไปก็จากไปในทันที
พวกเขากลัวว่าพี่สาวของตนเองจะเหมือนพ่อกับแม่ กลัวว่านางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
โชคดีที่สวรรค์เห็นใจ พระโพธิสัตว์ปกปักษ์รักษา พี่สาวของพวกเขาได้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
อาหารมื้อนี้เด็กทั้งสี่ต่างกินจนอิ่ม แต่ละคนลูบท้องกลมโตของตนเอง มองดูชามและหม้อที่ว่างเปล่า ส่งเสียงหัวเราะคิกคักพลางโอบล้อมพุงกลม ๆ เอาไว้
กู้หนิงผิงเรอขึ้น และเอ่ยอย่างชื่นชม “ถ้าทุกวันได้กินอิ่มขนาดนี้ก็คงจะดี” หลังจากพูดจบ สีหน้าของเขาก็มืดมนลง “แต่นี่เป็นเพียงแค่ความฝัน”
กู้เสี่ยวอี้ใช้นิ้วน้อย ๆ ของนาง แสดงท่าทางน่ารักตรงหน้าพี่ “พี่ชาย อาย อาย…”
กู้หนิงผิงเห็นน้องสาวหัวเราะเยาะตนเอง จึงรุดขึ้นหน้าและแสร้งทำเหมือนจะตีเด็กน้อย “เจ้าเสี่ยวอี้ตัวดีกล้าหัวเราะเยาะพี่สาม ข้าจะตีก้นให้ลายเลย” กู้เสี่ยวอี้เห็นพี่ชายพุ่งเข้ามาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ส่งเสียงหัวเราะคิกคักคลานไปหลบหลังกู้เสี่ยวหวาน ทั้งยังทำหน้าตาล้อเลียนใส่กู้หนิงผิงอีก
ครั้นเห็นกู้เสี่ยวอี้มีชีวิตชีวา พวกเขาทั้งสามก็หัวเราะจนตัวโยน รู้สึกอบอุ่นอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ
กู้เสี่ยวหวานเก็บจานชามกำลังจะไปล้างที่ห้องครัว หากแต่กู้หนิงผิงคว้าเอาไว้แล้วพูดว่า “พี่สาว พี่พักผ่อนเถอะ ข้าจะล้างจานเอง”
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าชามในตอนเช้าก็เป็นฝีมือการล้างของกู้หนิงผิง แต่เธอก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย เมื่อกำลังจะเอ่ยปาก กู้หนิงอันก็กล่าวว่า “ท่านพี่ ให้ข้าล้างเถอะ วันนี้ท่านพี่เหนื่อยแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยเถอะ”
กู้หนิงผิงกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ท่านพี่ไม่ต้องกังวลไป ข้าล้างสะอาดแน่นอน แล้วก็อีกอย่างต่อไปนี้ถ้วยชามทั้งหมดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
“อื้อ! พี่ชายล้าง พี่สาวก็นั่ง เมื่อเสี่ยวอี้โตขึ้น เสี่ยวอี้ล้าง” กู้เสี่ยวอี้ยังเล่นนิ้วของตนเอง เอ่ยเสียงอ้อแอ้
หัวใจกู้เสี่ยวหวานอุ่นวาบ มองดูน้องสามคนที่รู้ความและเชื่อฟังอย่างอบอุ่น
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอีกโลกใบหนึ่ง กู้เสี่ยวหวานก็ไม่เคยล้างจานอีกเลย พูดถึงเสี่ยวอี้ในเวลานี้แล้ว กู้หนิงผิงก็เป็นพวกคลั่งน้องสาว และเมื่อเสี่ยวอี้โตขึ้น กู้หนิงผิงก็คงไม่ยอมให้กู้เสี่ยวอี้ล้างชามเป็นแน่
กระทั่งหลายปีผ่านไป เมื่อกู้เสี่ยวอี้นั่งอยู่ในคฤหาสน์อันงดงามวิจิตร มือขาวละเอียดราวกับหยวกกล้วยถือเข็มปักแวววาว ยามนึกถึงสิ่งที่พูดเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก นางจะรู้สึกทึ่งและนึกย้อนถึงฉากในวัยเด็ก และอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าแห่งความสุขออกมาได้
กู้หนิงผิงกำลังทำความสะอาดถ้วยชามภายในห้องครัวเล็ก ๆ ส่วนกู้หนิงอันหยิบตะกร้าสองใบออกมาแล้วนำออกไปนอกบ้าน จากนั้นก็เก็บตะกร้าทั้งหมดที่สามารถใช้เก็บสิ่งของที่บ้านได้ออกมา รออยู่สักพักกู้หนิงผิงและพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาเพื่อเก็บหัวไชเท้าป่า
ก่อนออกเดินทาง กู้เสี่ยวหวานได้ตรวจสอบทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าออกลานบ้านได้ ดังนั้นสิ่งของในครัวจึงไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หลังจากคิดถึงเรื่องนี้กู้เสี่ยวหวานจึงนำเนื้อกระต่ายสองในสามชิ้นและหัวไชเท้าป่าที่เหลืออยู่ไปด้วย
เด็กสาวบอกพวกเขาว่าถ้าใครเห็นก็บอกว่าจะขึ้นไปเก็บฟืนบนภูเขา ไม่ใช่ว่ากู้เสี่ยวหวานเห็นแก่ตัว ในยุคนี้ที่เธอไม่สามารถจะกินให้อิ่มท้องได้ กู้เสี่ยวหวานก็คิดว่าการไม่แสแสร้งเช่นนั้นดูไร้เหตุผลเกินไป
หากไม่เห็นแก่ตัว สมาชิกทั้งสี่ของตระกูลกู้ คงต้องอดตาย เมื่อถึงเวลาต้องอดตายจะมีใครเล่ามาสงสารพวกนางบ้าง
เด็กทั้งสามเป็นเด็กฉลาด พวกเขารู้ว่าที่กู้เสี่ยวหวานพูดหมายถึงอะไร จึงส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขารู้แล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มันน่าชื่นใจตรงที่ไม่มีใครดื้อกับพี่สาวนี่แหละ สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ค่อยสบายใจหน่อย
ไหหม่า(海馬)