บทที่ 61 แม่เหลียงเหยาที่ดื้อรั้น
บทที่ 61 แม่เหลียงเหยาที่ดื้อรั้น
แม่เฉาเดาว่าแม้แต่ชุดชั้นในของตนก็คงจะเปียกโชก ลมในฤดูหนาวที่พัดผ่านร่างกายที่เปียกปอนก็ทำให้ริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ำอมเขียว ร่างกายสั่นเทิ้มจากความหนาวเย็น ริมฝีปากบนและล่างกระทบกันอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้ไม่มีเวลามาโต้เถียงกับแม่เหลียงเหยาแล้ว นางจึงรีบเดินโซเซกลับบ้านไปเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อได้เห็นท่าทางที่จนตรอกของแม่เฉาแล้ว เหล่าชาวบ้านก็พากันหัวเราะเสียงดัง
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่หน่อไม้ฤดูหนาวบนพื้น นั่งยอง ๆ และเก็บมันทีละหน่อ กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงเห็นพี่สาวนั่งยอง ๆ บนพื้นเพื่อเก็บหน่อไม้ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายผอมบางของพี่สาวนั้นพบเจอกับความยากลำบากเพียงใดในการเลี้ยงดูครอบครัวเช่นนี้
พวกเขาทั้งหมดก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟังเพื่อช่วยเหลือพี่สาว
กู้เสี่ยวอี้ที่อยู่ข้างกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลาย่อตัวลง นางค่อย ๆ เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานด้วยมือเล็ก ๆ ของตน “ท่านพี่อย่าร้องไห้…”
“ท่านพี่ เมื่อข้าโตขึ้น ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกท่านได้อีก” กู้หนิงผิงเหลือบมองไปยังบ้านของแม่เฉาและกำมือแน่น
กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นมามองกู้หนิงอันและกู้หนิงผิง แม้แต่กู้เสี่ยวอี้ที่อายุน้อยที่สุดต่างมองนางด้วยท่าทางเป็นกังวล เมื่อรู้ว่าเด็กเหล่านี้เป็นกังวลเรื่องของตนก็หัวเราะออกมา
พวกเขาคงไม่คิดว่านางจะโศกเศร้าเพียงเพราะเรื่องเมื่อครู่หรอกนะ?
แต่อย่างไรก็ตาม กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอบอุ่น น้องชายและน้องสาวเหล่านี้ช่างเอาใจใส่นางจริง ๆ
“ไม่เป็นอะไร ข้าแค่โกรธอาสะใภ้สาม นางไม่ต้องการให้เราอยู่ดีมีสุข ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าทำให้นางอยู่ดีมีสุขเช่นกัน” กู้เสี่ยวหวานเชื่อในความคิดที่ว่าถ้าคนอื่นไม่รังแกนาง นางก็จะไม่รังแกคนอื่น แต่ถ้าคนอื่นรังแกนาง นางก็จะเอาคืนพวกเขาเช่นกัน
“ข้าคิดว่านางเป็นเพียงหมาบ้าที่เห่าต่อหน้าไม่กี่ครั้ง ถ้านางทำให้ท่านพี่โกรธและเสียใจ พวกเจ้าอยากให้ข้าไปกัดหมาบ้าตัวนี้หรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยอย่างขบขัน
หากแม่เฉาต้องการเพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มารบกวนนาง และไม่ต้องการทำหน้าที่อาวุโส ตราบใดที่นางนิ่งเงียบ กู้เสี่ยวหวานก็จะทำเหมือนไม่มีอาสะใภ้สาม และจะเคารพแม่เฉาเหมือนเพื่อนบ้านทั่วไป
แต่แม่เฉาผู้นี้กลับมายั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วอย่างนี้กู้เสี่ยวหวานจะไม่โกรธได้อย่างไร
ถ้าแม่เฉาคิดว่ากู้เสี่ยวหวานยังอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน และคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มในมือ นางคงจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่
กู้เสี่ยวหวานในวันนี้ไม่ใช่เด็กหญิงอายุแปดขวบที่ไม่มีพ่อแม่และถูกคนอื่นรังแกอีกต่อไป กู้เสี่ยวหวานในวันนี้เป็นคนในอีกพันปีต่อจากนี้ นางอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ห้าพันปีมาแล้ว และนางไม่เคยเห็นคนขี้โกงหรือผู้หญิงยุคใหม่ที่ไม่เคยต่อสู้เลย
กู้เสี่ยวหวานเป็นคนมีความเมตตา อีกด้านก็เป็นคนผูกใจเจ็บด้วยเช่นกัน หากจะให้นางต้องกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ก็ไม่สามารถทำได้!
เมื่อครั้งก่อนนางก็ถูกกู้ซินเถาทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด บัญชีแค้นนี้นางจะจำให้ขึ้นใจ
ครั้นสามพี่น้องครอบครัวกู้เห็นว่าพี่สาวของตนไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง เดิมทีพวกเขาต้องการที่จะปลอบโยนนาง แต่เมื่อเห็นว่าพี่สาวของตนเองไม่ได้โศกเศร้าแม้แต่น้อย พวกเขาก็โล่งใจ
พวกเขาสูญเสียพ่อและแม่ไปแล้ว ดังนั้นจะสูญเสียพี่สาวไปไม่ได้อีก
แม้พวกเขาจะยังเด็กและไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ก็จะไม่ทำให้พี่สาวของพวกเขาต้องกังวลหรือทำให้นางโกรธ
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานทำให้จิตใจที่เศร้าโศกของน้องอีกสามคนที่เหลือพลันสดใสขึ้น
ทุกวันนี้ คนที่พึ่งพาอาศัยกันก็มีเพียงหัวไชเท้าน้อย ๆ สี่หัวนี้
กู้หนิงอันมองกู้เสี่ยวหวานที่สงบนิ่ง และหยิบหน่อไม้ฤดูหนาวขึ้นมาทีละหน่อ แต่ในใจของกู้หนิงผิงไม่ได้สงบลงเลย เรียกได้ว่าจิตใจวุ่นวายเลยทีเดียว
แม่เฉาเป็นคนชอบประชดประชัน ตอนที่มารดาของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็ถูกรังแกไม่น้อย เมื่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิต คนที่ถูกรังแกกลับกลายเป็นพี่สาวของตนเอง ทั้งนี้เป็นเพราะครอบครัวของพวกเขายากจนและลูก ๆ ของพวกเขายังเด็ก ดังนั้นพวกเขาจึงถูกรังแกครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าโตแล้วก็มีความหวังก็อยากให้คนที่เคยรังแกพวกเขามองข้ามพวกเขาไป และให้บรรดาผู้ที่รังแกและดูถูกพวกเขาทุกคนได้ลิ้มรสชาติที่ต่ำกว่าฝุ่น
ในสักวันหนึ่งความคิดพวกนี้จะต้องเป็นจริง กู้หนิงอันสาบานในใจ
พี่สาว น้องชาย และน้องสาว ทั้งสามคือคนเขาอยากปกป้องและหวงแหนที่สุดในชีวิต
หากไม่การต้องถูกคนอื่นรังแก ก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!
กู้เสี่ยวหวานเก็บหน่อไม้ฤดูหนาวเสร็จแล้วก็จูงมือกู้เสี่ยวอี้มุ่งหน้ากลับบ้าน
ในเวลานี้ แม่เหลียงเหยาซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องก็ออกมาทันที
ปกติแล้วกู้เสี่ยวหวานไม่มีปฏิสัมพันธ์กับแม่เหลียงเหยาสักเท่าไร เมื่อเห็นแม่เหลียงเหยาออกมาในขณะนี้จึงคิดว่าเป็นเพราะแม่เฉาออกไปแล้วนางจึงออกมา เด็กหญิงเหลือบมองแม่เหลียงเหยา หากแต่ฝีเท้าก็ไม่ได้หยุดลง
เมื่อเห็นว่าสี่พี่น้องกำลังจะจากไป แม่เหลียงเหยาจึงเอ่ยเรียก “สาวน้อยกู้ โปรดรอสักครู่”
กู้เสี่ยวหวานที่ได้ยินเสียงเรียกจึงชะงักฝีเท้า และหันศีรษะไปมองไปท่าทางของแม่เหลียงเหยาที่ดูเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูด และถามว่า “ท่านอา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
นางไม่เข้าใจแม่เหลียงเหยาคนนี้จริง ๆ นางรู้สึกเสมอว่าสตรีผู้นี้ดูเหมือนจะมีความลับบางอย่าง เด็กหญิงลังเลเพราะไม่รู้ว่านางผู้นี้เป็นมิตรหรือเป็นศัตรู?
แต่เมื่อสักครู่นางช่วยพวกเขาอีกครั้งและเยาะเย้ยแม่เฉา กู้เสี่ยวหวานจึงไม่คิดว่าแม่เหลียงเหยาไม่มีเจตนาที่จะสาดน้ำสกปรกในอ่าง
กู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทางของแม่เหลียงเหยาที่กำลังลังเลที่จะพูด ในใจของนางก็ส่งเสียงเตือนและกำชับความระมัดระวังทันที ไม่รู้ว่าแม่เหลียงเหยาคนนี้กำลังทำอะไรอยู่ นางไม่ต้องการเห็นพวกเขา หากยังแอบแสดงความปรารถนาดี เช่นนี้แล้วหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
เมื่อแม่เหลียงเหยาเห็นท่าทีระมัดระวังของกู้เสี่ยวหวาน นางจึงรู้สึกกังวลเพราะไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้เข้าใจตนเองผิดหรือไม่
นางรีบหยิบของที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมาแล้วยื่นให้กู้เสี่ยวหวาน ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ “เจ้ารับไป นี่เป็นแป้งทอดที่ข้าเพิ่งทำเมื่อเช้า พวกเจ้าเอาไปกินเถอะ”
หลังจากพูดจบ นางจึงยัดมันเข้าไปในอ้อมแขนของกู้เสี่ยวหวาน แต่กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถรับสิ่งนี้ไว้ได้ เด็กหญิงรีบผลักมันออกไป ราวกับผลักบางสิ่งที่มีหนามแหลมคม นางถอยกลับไปสองก้าวแล้วพูดว่า “ท่านอา พวกเรารับสิ่งนี้ไม่ได้”
“นี่…นี่…” เดิมทีแม่เหลียงเหยาเป็นคนพูดน้อย เมื่อเห็นการปฏิเสธของกู้เสี่ยวหวานจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไร นางทำได้เพียงอึกอักไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นประโยคได้
กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับแม่เหลียงเหยามากเกินไป เพราะตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู และจะยิ่งคลุมเครือมากขึ้นหากนางยอมรับสิ่งของของคนอื่นทั้งที่ยังสับสน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่เหลียงเหยาน่าจะไม่มีเจตนาร้ายอะไร เพียงแต่รู้สึกผิดกับแม่ของเสี่ยวหวานและเด็ก ๆ ละมั้ง
ไหหม่า(海馬)