บทที่ 62 อาหารจานใหม่
บทที่ 62 อาหารจานใหม่
กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น เมื่อนางได้รับผลประโยชน์จากผู้ใดแล้ว ย่อมต้องตอบแทนความโปรดปราน ครั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกัน เหตุใดผู้อื่นถึงต้องแบ่งอาหารให้นาง
“หน่อไม้นั่นรสชาติไม่อร่อย กินเข้าไปอาจจะช่วยให้อิ่มได้” ในที่สุดแม่เหลียงเหยาก็เอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค “คงจะดีกว่าหากกินแป้งทอดนี้รองทอง” แม่เหลียงเหยาเปิดห่อผ้าออก ข้างในมีแป้งทอดสีเหลืองทองหลายแผ่น ส่งกลิ่นหอมโชยจาง ๆ
ไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้มานานแล้ว กู้เสี่ยวหวานแอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แต่นางไม่ใช่เด็กอายุแปดขวบอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่สามารถถูกล่อลวงได้เมื่อเห็นอาหาร
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานจ้องมองแป้งทอดในมือของแม่เหลียงเหยาและคาดเดา เนื่องจากนางได้ทะลุมิติมาที่นี่ นางจึงควรจะได้เห็นแม่เหลียงเหยาทั้งสองด้าน แต่สิ่งที่แม่เหลียงเหยาปฏิบัติต่อกู้เสี่ยวหวาน ทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่า ต้องมีบางอย่างในหัวใจของแม่เหลียงเหยาที่กำลังซ่อนตัวจากตนเอง
ความคิดของกู้เสี่ยวหวานถูกขัดจังหวะจากแม่เหลียงเหยา นางเห็นอีกฝ่ายยัดแป้งทอดใส่ในอ้อมแขนของตน พลางโบกมืออย่างรวดเร็วและพูดอย่างเด็ดขาด “ท่านอา เราไม่สามารถรับมันได้! ข้าขอบคุณมากเจ้าค่ะ!”
หลังจากพูดจบ ไม่ทันที่แม่เหลียงเหยาจะได้ปริปาก กู้เสี่ยวหวานก็ลากน้องชายและน้องสาวของนางเดินจากไป
แม่เหลียงเหยาถือแป้งทอดที่ยังไม่ได้ให้อยู่ในมือ นางยืนอยู่เพียงลำพังนอกลานบ้านด้วยสีหน้าตกตะลึง และไม่อาจรู้ได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
หลังจากที่เดินมาไกลจากบ้านตระกูลเหลียงแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ถามกู้หนิงอันว่า “หนิงอัน ครอบครัวของเราเคยใกล้ชิดกับครอบครัวเหลียงนี้มาก่อนหรือไม่?”
กู้หนิงอันไม่คาดคิดว่าพี่สาวของเขาจะถามคำถามนี้ขึ้นมาจึงตกตะลึงในทันที
ใกล้ชิดหรือ? กู้หนิงอันไม่รู้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาจำได้ว่าเขาได้พบกับแม่เหลียงเหยาในหมู่บ้านเป็นครั้งคราวเพียงไม่กี่ครั้ง และไม่ได้สนทนากับนางแม้แต่คำเดียว
ครั้นเห็นท่าทางงงงวยของกู้หนิงอัน ความสงสัยในใจของกู้เสี่ยวหวานชัดเจนยิ่งขึ้น แม่เหลียงเหยาคนนี้แท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใดอยู่?
กู้เสี่ยวหวานจำไม่ได้จริง ๆ ว่าแม่เหลียงเหยานี้เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ของนางหรือไม่ อาจเพราะนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ที่จากไปของพวกตน เมื่อเห็นว่าเป็นลูกทั้งสี่คนของครอบครัวที่รู้จัก ดังนั้นจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เพียงแต่นางนึกไม่ออกเลย ซึ่งหมายความว่าความสัมพันธ์ของแม่เหลียงเหยากับท่านพ่อและท่านแม่เป็นแบบปกติทั่วไป หรือหมายความว่าแม่เหลียงเหยากลัวที่จะสร้างปัญหา มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
เฮ้อ ไม่อยากคิดมากแล้ว กู้เสี่ยวหวานคิดกับตนเอง
เรื่องเมื่อสักครู่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกู้เสี่ยวหวานเลย
แม่เฉาสุนัขบ้าที่เห่าหอนไม่กี่ครั้งนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของกู้เสี่ยวหวาน แม่เฉามีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น และกู้เสี่ยวหวานในชีวิตก่อนหน้านี้อายุเกือบจะสามสิบปีแล้ว แม้ว่าเธอจะตัวเล็กกว่าแม่เฉา แต่ในแง่ของความกล้าหาญและพลังงาน นางแข็งแกร่งกว่าของแม่เฉามาก แม่เฉาจึงไม่สามารถนำปัญหามาสู่นางได้
แต่แม่เหลียงเหยาที่มองดูนางเช่นนั้น ดูเหมือนว่านางจะคับข้องใจแฝงไปด้วยท่าทางชื่นชม กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการลังเลของแม่เหลียงเหยาในขณะจะพูดกับกู้เสี่ยวหวาน ดูท่าทางนางจะมีเรื่องกับบ้านเก่าตระกูลกู้อยู่ ทำให้ในใจของกู้เสี่ยวหวานมีเครื่องหมายคำถามมากมาย และนางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เป็นเรื่องน่าเสียดายที่แม่เหลียงเหยาไม่พูด กู้เสี่ยวหวานก็คงจะไม่สามารถถามด้วยตัวเองได้
โชคดีที่กู้เสี่ยวหวานมีหัวใจยิ่งใหญ่ ถ้าแม่เหลียงเหยาไม่ต้องการพูดตอนนี้ สักวันหนึ่งนางคงจะเอ่ยปากออกมาเอง
ไม่ช้าก็เร็ว กู้เสี่ยวหวานก็จะคิดออกเช่นกัน
หลังจากกลับมา กู้เสี่ยวหวานก็จัดการเก็บหน่อไม้ฤดูหนาวทั้งหมดไว้ในห้องใหญ่ เมื่อมองดูผักในถังก็พบว่ามันเกือบจะกลายเป็นผักดองแล้ว จึงหยิบออกมาเล็กน้อยแล้วนำไปล้างน้ำเพื่อที่จะหั่นหน่อไม้เป็นชิ้นบาง ๆ แล้วผัดด้วยกันในหม้อ
เมื่อใส่น้ำมันหมูลงไปนิดหน่อย มันก็มีสีสวยและส่งกลิ่นหอมฉุย เด็กทั้งสามได้กลิ่นเปรี้ยวของใบไชเท้าคลุกเคล้ากลิ่นหอมเฉพาะตัวของหน่อไม้ฤดูหนาวก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“ท่านพี่ ข้าไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อนเลย!” แม้ว่ากู้หนิงอันจะดูสงบ แต่เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูด
“แน่นอน นี่เป็นอาหารที่มีชื่อเสียง เมื่อได้กลิ่นหอมของมันก็จะทำให้พวกเจ้าลังเลที่จะวางตะเกียบอย่างแน่นอน!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อทำหน่อไม้ฤดูหนาวผัดผักดองเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงล้างหม้อแล้วหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อจะต้มน้ำแกงเนื้อ
ในฤดูหนาวอันหนาวเย็น ถ้าได้กินน้ำแกงร้อน ๆ ทุกคนจะรู้สึกอบอุ่นและมีชีวิตชีวาอย่างแน่นอน กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิด
เมื่ออาหารทั้งหมดถูกปรุงสุก ข้าวฟ่างที่หุงอยู่ในหม้อขนาดเล็กก็เกือบจะสุกแล้ว กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจึงขอให้กู้หนิงผิงนำจานไปวางที่ห้องใหญ่ จากนั้นนางก็เติมข้าวฟ่างใส่ชามแล้วนำไปไว้ในห้องใหญ่เช่นกัน
หลังจากปิดประตู พวกเขาทั้งสี่นั่งลงรอบโต๊ะ รอให้กู้เสี่ยวหวานมา ทั้งสามคนมองไปที่จานหน่อไม้ฤดูหนาวผัดผักดองผัดด้วยความอยากรู้และประหลาดใจ
“ท่านพี่ว่าอร่อยหรือไม่” กู้หนิงผิงกลืนน้ำลาย
“มันต้องอร่อยแน่!” กู้หนิงอันจ้องจานอาหารตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ท่านพี่ มันช่างหอมเหลือเกิน!” กู้เสี่ยวอี้มองจานที่อยู่ข้างหน้าของนางและกลืนน้ำลายตาม
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่น้องชายและน้องสาวทั้งสามของนางจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เด็กน้อย มัวแต่มองอันใดอยู่ รีบกินข้าวกันเถอะ!”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานนั่งลงและหยิบตะเกียบที่วางอยู่ข้างหน้า กู้หนิงผิงก็รีบหยิบตะเกียบและคีบหน่อไม้ฤดูหนาวผัดผักดองเข้าไปในปากทันที
ทันใดนั้น รสชาติที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนก็เกิดขึ้นรอบต่อมรับรส
เค็ม เปรี้ยว และกรอบกรุบกรับ
“อร่อยมาก!” เพียงกู้หนิงผิงได้กัดไปคำเดียวก็ตื่นเต้นจนมือไม้อยู่ไม่สุข
“ท่านพี่ น้องสาว รีบลองชิมสิ อร่อยมาก มันอร่อยมาก อร่อยเกินไปแล้ว” จากนั้นเขาก็ยื่นตะเกียบออกมาอีกครั้ง และคีบหน่อไม้ฤดูหนาวลงในชามอีกจำนวนหนึ่ง
กู้หนิงอันก็เช่นกัน หลังจากกัดเข้าไปหนึ่งคำดวงตาของเขาพลันเป็นประกาย “ท่านพี่ หน่อไม้ฤดูหนาวพวกนี้ไม่มีรสฝาดจริง ๆ นอกจากนี้ ผักดองยังมีรสเปรี้ยวและให้เนื้อสัมผัสเหนียวหนึบอีกด้วย”
“แน่นอนว่าหน่อไม้จะฝาดเพราะจัดการไม่เหมาะสม” กู้เสี่ยวหวานผัดหน่อไม้ฤดูหนาวจานนี้กับผักดองและน้ำมันหมู เมื่อมีน้ำมันหมูอยู่ในนั้นจึงทำให้กลิ่นของหน่อไม้ในฤดูหนาวและผักดองหอมยิ่งขึ้น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รู้สึกหิวเลยค่ะ อยากกินหน่อไม้ผัดบ้างเลย
ไหหม่า(海馬)