บทที่ 73 ร่างสัญญา
บทที่ 73 ร่างสัญญา
ครั้นคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา อารมณ์ร้อนกรุ่นของหลี่ฝานพลันเย็นลง และและรู้สึกดีใจที่เสี่ยวเซิ่งจื่อยังมีแววฉลาด
“คำพูดเพียงลมปากไร้ซึ่งหลักฐาน ท่านอาเถ้าแก่มาร่างสัญญากันเถอะเจ้าค่ะ!”
หลี่ฝานรู้สึกว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นเด็กช่างคิด และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเด็กหญิงคนนี้มากยิ่งขึ้น “ตกลง!”
เมื่อเตรียมพู่กัน หมึก และกระดาษเรียบร้อยแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนสูตรอาหารทั้งสองจานลงไป
หลี่ฝานประหลาดใจเมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่เพียงแต่เขียนหนังสือได้ หากแต่ยังเขียนออกมาได้อย่างงดงาม “สาวน้อย เจ้าเคยเรียนหนังสือมาหรือ?”
กู้เสี่ยวหวานส่ายหน้าพัลวัน “ไม่เคยเจ้าค่ะ!” นางไม่เคยเรียนมาก่อนจริง ๆ และนางไม่สามารถเขียนตัวอักษรดั้งเดิมแบบนั้นได้ จึงทำได้เพียงเขียนแบบง่ายดายที่สุดเท่านั้น
“เช่นนั้นแล้วเจ้าไปฝึกเขียนหนังสือให้สวยแบบนี้มาจากที่ใด?” หลี่ฝานยังคงคิดไม่ถึงว่าการเขียนพู่กันของนางจะละเอียดอ่อนและสวยงามเช่นนี้ มันเต็มไปด้วยความหมาย ทุกตัวอักษรเต็มไปด้วยชีวิตชีวา หากไม่ได้ฝึกฝนมาเกินสิบปี ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนได้อย่างนี้
กู้เสี่ยวหวานมองอีกฝ่ายและคลี่ยิ้ม “ท่านพ่อสอนมาเจ้าค่ะ”
“แล้วพ่อของเจ้าล่ะ? ฤดูหนาวเดือนสิบสองนี้เหตุใดถึงออกมาเดินเตร่ไปทั่วเช่นนี้ ครอบครัวของเจ้าล่ะ?”
“ตายหมดแล้วเจ้าค่ะ…” กู้เสี่ยวหวานตอบเสียงแผ่ว
จากนั้นหลี่ฝานก็เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้อีก ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยอะไรต่อ แต่ใจเขากลับเห็นใจเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้อย่างสุดซึ้ง
หลังจากกู้เสี่ยวหวานเขียนสูตรเสร็จ หลี่ฝานก็นำเงินออกมาสองร้อยเหรียญ ครั้นเห็นเด็กหญิงร่างผอมที่อายุน้อยกว่าเขา ผู้เป็นบิดาและมารดาก็เสียชีวิตไป ทั้งยังออกมาทำงานหาเงินในฤดูหนาว หลี่ฝานก็รู้สึกลำบากใจ และเอ่ยเตือนด้วยความหนักใจ “ฤดูหนาวอากาศหนาว ท้องฟ้าก็มืดเร็ว อีกไม่นานหิมะก็คงจะตกแล้ว เจ้ารีบกลับบ้านหน่อยนะ”
กู้เสี่ยวหวานก้มหน้าแสดงความขอบคุณ “ท่านอาเถ้าแก่ ขอบคุณเจ้าค่ะ! ข้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
กู้เสี่ยวหวานถือเงินสองร้อยตำลึงเงินไว้ในอ้อมแขน ตามการนำทางของเสี่ยวเซิ่งจื่อ เดินผ่านโถงรับแขก เมื่อกู้เสี่ยวหวานเดินผ่านห้องโถงรับแขกนางก็เหลือบมองเล็กน้อย และเห็นว่ามีสายตามาดร้ายของชายคนหนึ่งที่กำลังจ้องมาที่ตนเอง ตอนนี้อารมณ์ของนางกำลังดี จึงไม่ได้ใส่ใจกับคนแบบนี้ และมองไปที่เหมียวเอ้อร์ด้วยความรังเกียจ เมื่อเหมียวเอ้อร์ได้รับสายตาเมินเฉยของกู้เสี่ยวหวาน ร่างกายของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมา
เสี่ยวเซิ่งจื่อเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “สาวน้อย ครั้งหน้าหากมีสิ่งของดี ๆ ก็มาที่ร้านของเราได้”
กู้เสี่ยวหวานเดินออกจากร้านด้วยความตื่นเต้น
หลังจากออกไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็มองย้อนกลับไปที่ร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างหรูหรา และเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่นในใจของตนว่า “ข้าจะกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!”
ระหว่างนั้นกู้เสี่ยวหวานพลันนึกถึงคำพูดของหลี่ฝานขึ้นมา และเงยหน้ามองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว
ท้องฟ้าอึมครึมเป็นสีเทา ดูราวกับว่าหิมะกำลังจะตกลงมาจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนักในใจ หากเกิดหิมะตกขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่ามันจะนานเท่าไร และคงต้องเตรียมอาหารที่บ้านเพิ่มอีก
คิดไปก็เท่านั้น กู้เสี่ยวหวานก้าวเท้าเดินไปตามท้องถนน
จากความทรงจำ กู้เสี่ยวหวานได้พบกับท่านอาคนขายเนื้อเมื่อครั้งที่แล้ว
ท่านอาคนขายเนื้อนั่งอยู่หน้าแผงเหมือนครั้งที่แล้ว และกำลังหลับตาพักผ่อน
“ท่านอาเจ้าคะ!” กู้เสี่ยวหวานขานเรียกเสียงหวาน
เถ้าแก่ร้านขายเนื้อลืมตาโพลง และเมื่อเห็นเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้เขาก็ดีใจเป็นอย่างมาก “สาวน้อย เป็นเจ้านั่นเอง!”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าแล้วละสายตาไปที่แผงขายเนื้อ “ท่านอาเจ้าคะ ยังมีเนื้อเหลือหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานมองไปที่แผงขายเนื้อ และคาดว่าเนื้อคงจะถูกขายไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นนางพลันรู้สึกเสียดาย ดูเหมือนว่าตนจะมาช้าเพียงก้าวเดียว เนื้อจึงถูกขายหมดแล้ว จากนั้นจึงหันไปสนใจเถ้าแก่อีกครั้ง
“นี่มันยามใดแล้ว เนื้อถูกขายหมดไปนานแล้ว เหลือแค่นี้แหละ ถ้าสาวน้อยต้องการ ก็เอามาสิบเหรียญแล้วกัน ถ้าของหมดข้าจะได้ปิดแผงแล้วกลับบ้าน หิมะจะตกแล้ว” เถ้าแก่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม
ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งที่เถ้าแก่พูด นางก็หันกลับมามองที่แผงเนื้ออีกครั้ง
เนื้อของแผงลอยนี้ถูกคัดเลือก และแยกของเหลือออกจากกันอย่างชัดเจน แม้ว่าจะดูสกปรก แต่หลังจากล้างอย่างดีก็จะสะอาดหมดจด
ถ้าไม่ใช่เพราะหิมะกำลังจะตก ท่านอาของเจ้าของแผงคงไม่เต็มใจที่จะขายมันในราคาที่ต่ำเช่นนี้
กู้เสี่ยวหวานมีความสุขมากขึ้นเมื่อนางได้ยินว่าต้องจ่ายเพียงสิบเหรียญเท่านั้น
เนื้อติดมันราคาสิบห้าเหรียญต่อหนึ่งชั่ง และหมูสามชั้นราคายี่สิบห้าเหรียญ เศษเนื้อเหล่านี้มีทั้งเนื้อและไขมันประปราย ขายราคาถูกจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองอีกครั้ง ก็เห็นว่ายังมีไส้หมู หัวใจหมู ปอดหมู และกระดูกหมูสะอาดสองสามชิ้นบนเขียง
นานมากแล้วที่ไม่ได้กินเครื่องในหมู กู้เสี่ยวหวานนึกถึงหัวใจหมูผัดแสนอร่อย ไหนจะปอดหมู และลำไส้หมู ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล
“ท่านอา หัวใจหมู ปอดหมู ไส้หมูขายอย่างไรเจ้าคะ?”
ในสมัยโบราณ ผู้คนมักไม่กินเครื่องในหมู โดยทั่วไปจึงไม่มีผู้ใดซื้อมัน หนึ่งคือ ไม่มีน้ำมัน และอีกอย่างคือมีกลิ่นเหม็นและสกปรก!
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว คนรวยมักคิดจะซื้อเนื้อสัตว์ และผู้ที่ไม่มีเงินก็ลังเลที่จะซื้อเครื่องในหมูเหล่านี้ ครอบครัวที่ร่ำรวยบางครอบครัวถึงกับซื้อมันมาเพื่อเลี้ยงสุนัขเฝ้าบ้าน
เถ้าแก่แผงขายเนื้อมองกู้เสี่ยวอย่างฉงนสงสัย เมื่อเห็นว่านางอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล เถ้าแก่ก็อดสงสัยไม่ได้ ทำไมเด็กน้อยคนนี้ถึงซื้อเครื่องในหมูพวกนี้ ดูไปแล้วเด็กคนนี้ก็ไม่ได้รวยอะไร
คราวที่แล้วเด็กหญิงคนนี้เคยซื้อหมูกลับไป และเถ้าแก่ก็ประทับใจสาวน้อยคนนี้มากเป็นพิเศษ แม้เสื้อผ้าจะขาดซอมซ่อแต่นางก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้ว่านางจะยังเด็ก แต่คำพูดและท่าทางของนางก็เหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย
ดังนั้นต่อให้เถ้าแก่แผงลอยจะอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใด แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็ต้องการซื้อมัน เขาจึงยินดีที่จะขายให้นาง และยังสามารถขายได้เงินมาบางส่วน หากเขาขายไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงนำกลับไปเป็นอาหารสุนัขที่บ้าน
“สาวน้อย ถ้าเจ้าต้องการที่จะซื้อมัน ข้าก็จะขาย แต่ข้าจะบอกไว้ก่อนว่าเนื้อหมูมีรสชาติอร่อย แต่เครื่องในพวกนี้รสชาติแย่มาก” เถ้าแก่เกลี้ยกล่อมให้กู้เสี่ยวหวานไตร่ตรองดูอีกที คาดว่าเด็กหญิงคนนี้คงจะไม่เคยกินเครื่องในหมูมาก่อน และเขาก็ควรจะอธิบายกับนางให้ชัดเจน เพราะถ้าซื้อไปแล้วไม่อร่อย แล้วโยนทิ้งขึ้นมาก็จะโทษตัวเองได้
เมื่อเห็นท่าทางที่จริงใจของเถ้าแก่แผงลอย กู้เสี่ยวหวานจึงพูดขึ้นอย่างจริงใจ “ท่านอา ข้าจะซื้อมันทั้งหมดเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้ว แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็ยังยืนกรานที่จะซื้อมัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขัดขวางนาง
……………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำสัญญาซื้อขายสูตรเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องฉลองด้วยอาหารอร่อยๆ ล่ะ
ไหหม่า(海馬)