บทที่ 76 ครอบครัวตระกูลกุ้ย
บทที่ 76 ครอบครัวตระกูลกุ้ย
วันนี้กุ้ยซื่ออยู่หน้าประตูบ้านทั้งวัน เห็นด้วยตาของตัวเองว่าเสี่ยวฉือโถวของครอบครัวจางพาน้องชายและน้องสาวครอบครัวกู้ขึ้นไปบนภูเขา และกลับออกมาตอนเที่ยงหนึ่งรอบ โดยแบกหน่อไม้ออกมาเต็มสองตระกร้า พวกเขาเข้าไปอีกครั้งในตอนบ่าย และก็ออกมาพร้อมตะกร้าทั้งสองที่อัดแน่นไปด้วยหน่อไม้
ดวงตาของกุ้ยซื่อฉายแววโลภมาก นางทั้งอยากรู้อยากเห็นและงงงวย
ในฤดูหนาวจัดนี้จะไปหาหน่อไม้มาจากไหน นอกจากนี้ หลังจากขุดหน่อไม้หลาย ๆ หน่อกลับมาแล้วจะกินได้อย่างไร เมื่อก่อนคนในหมู่บ้านใช้มันเป็นอาหารหมู เพราะด้วยรสฝาดชาวบ้านจึงไม่นิยมกิน หลังจากนั้นต้นไผ่บนภูเขาก็เติบโตอย่างงอกงามและทุกคนก็เห็นสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้จนชิน
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี ลูกสาวคนโตจากครอบครัวกู้ก็วิ่งขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง ขุดหน่อไม้ทีละตะกร้าและอีกตะกร้า ไม่รู้ว่านางต้องการทำอะไร
นางไม่เคยเห็นพวกเขากินมัน หัวใจของกุ้ยซื่อเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ไร้จุดสิ้นสุด
คนบางคนไม่สามารถทนเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองได้
ในตอนบ่าย กุ้ยซื่อที่ยังคงสงสัยและขอเสี่ยวฉือโถวมอบหน่อไม้สองหน่อแก่เธอ แต่เสี่ยวฉือโถวไม่เห็นด้วย เขาจำสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานเคยพูดได้
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงผิงพบแป้งข้าวเจ้าที่ซ่อนอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาก็นำแป้งใส่ลงในตะกร้าและนำมันกลับบ้าน
ครั้นกลับมาถึงบ้าน กุ้ยซื่อซ่อนอยู่ในความมืด แอบมองประตูบ้านครอบครัวกู้ แล้วกู้หนิงผิงก็กลับมาพร้อมกับตะกร้าบนหลังของเขา และกู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะเสียงดังตามมา
ในตะกร้ายังคงเต็มอยู่แต่ก็ตื้นกว่าที่กู้เสี่ยวหวานแบกมาในตอนแรกเล็กน้อย เนื่องจากมืดแล้ว กุ้ยซื่อจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานมองสิ่งของพวกนั้น กุ้ยซื่อก็คาดเดาได้ว่าในนั้นต้องมีของดีอยู่เป็นแน่
จนกระทั่งกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงผิงเข้าไปในบ้านและปิดประตูด้านนอกและประตูด้านในอย่างแน่นหนาจนกุ้ยซื่อมองไม่เห็นเบาะแสใด ๆ นางก็ต้องกลับบ้านไปด้วยความขุ่นเคือง
กุ้ยซื่อยังคงดูครุ่นคิด ทันทีที่เขากลับถึงบ้าน เขายังคงยืนอยู่ที่ประตูและเมื่อได้ยินเสียงกระแทกซึ่งทำให้กุ้ยซื่อตกใจ
เมื่อเห็นเศษชามแตกกระจายอยู่ข้างเท้า และคนที่ทำคือสามีของนาง กุ้ยซื่อก็ตะโกนออกมา “เจ้ากล้าที่จะตีข้าหรือ ไอ้แก่!”
“คนที่ข้าจะตีก็คือเจ้า นังคนเกียจคร้าน นี่มันผ่านไปกี่ชั่วยามแล้วก็ยังไม่กลับมาทำกับข้าว! จะให้ข้าอดตายใช่ไหม?” กุ้ยสวิ้นเหอถลึงตากว้างจ้องกุ้ยซื่อ ราวกับว่าเขาต้องการจะแผดเผานางให้มอดไหม้
“กิน กิน กินทั้งวัน ที่บ้านไม่มีเงินแล้ว เจ้าจะกินอะไรอีก? หรือต้องตัดเนื้อออกจากตัวข้าให้เจ้ากิน!” กุ้ยซื่อไม่ได้ขลาดเขลาและยังคิดว่าถ้าก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวในตอนนี้ ชามคงกระแทกลงบนใบหน้าของนาง
กุ้ยซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และรู้สึกว่านางกลับมาช้าก็เพราะครอบครัวนี้
ดังนั้นนางจึงหยิบไม้กวาดที่ประตู รีบเข้าไปในบ้านอย่างดุดัน และเอ่ยท้าทายกุ้ยสวิ้นเหอ
กุ้ยสวิ้นเหอต้องการระบายความคับข้องใจ และต้องการทำให้กุ้ยซื่อหวาดกลัว แต่เขาไม่เคยคิดว่ากุ้ยซื่อจะคว้าไม้กวาดเตรียมสู้ กุ้ยสวิ้นเหอจึงขยับหลบไปด้านข้าง
เมื่อกุ้ยซื่อเห็นว่าไม่สามารถโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว นางจึงโบกไม้กวาดอีกครั้งและท้าทายกุ้ยสวิ้นเหอต่อไป “ข้าบอกให้เจ้าตีข้า ข้าขอให้เจ้าตีข้า! เจ้ามันคนสารเลว!”
ลูกสาวสองคนของครอบครัวกุ้ยอยู่ในห้อง และไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อพวกนางได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายข้างนอก จึงวิ่งไปที่ห้องโถงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นไม้กวาดของกุ้ยซื่อแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยก็วิ่งกลับไปอีกครั้งด้วยความกลัวว่าไม้กวาดจะพลาดโดนพวกนาง
วันนี้เหล่ากุ้ยยุ่งอยู่ข้างนอกมาทั้งวัน และเขาก็เหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงหลบไปพักหนึ่ง หอบหายใจ และถูกไม้กวาดของกุ้ยซื่อฟาดเข้าที่แขน
ความรู้สึกแสบร้อนที่แขนทำให้เหล่ากุ้ยโกรธเคือง “เจ้า!” แล้วเดินไปคว้าไม้กวาดของกุ้ยซื่อ “นังสารเลว กล้าตีข้าอย่างนั้นหรือ?”
เหล่ากุ้ยคว้าไม้กวาดจากมือของกุ้ยซื่อ และดุด่านาง
กุ้ยซื่อไม่ยอมแพ้ ร้องไห้ครวญคราง “เจ้ามันไร้ประโยชน์ ข้าไปทำอะไรไว้ในชาติที่แล้วกัน! แต่งงานกับผู้ชายที่ทุบตีดุด่าภรรยาของตน ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าอายุมากแล้วและยังไม่ได้แต่งงาน แม่ของข้าคงไม่บอกว่าเจ้ารักข้า ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ให้ข้าแต่งงานกับเจ้าหรอก ฮือ ๆ ท่านตัดสินใจผิดแล้ว ฮือ ๆ ๆ ……” กุ้ยซื่อฟุบตัวนอนไปบนพื้นและเกลือกกลิ้งไปมา ตีลมชกอกร้องไห้คร่ำควรญ
“พอเถอะ ตอนนั้นครอบครัวของเจ้ายากจนจนแทบไม่มีอาหารกินเลย ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของเจ้าเห็นว่าข้ายังสามารถทำอะไรข้างนอกเพื่อหาเงินได้ อีกทั้งยังไม่มีพ่อและแม่ แม่ของเจ้าจะให้เจ้าแต่งงานกับข้าหรือ” เหล่ากุ้ยเถียงกลับอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้
“กุ้ยสวิ้นเหอ เจ้าพังสะพานหลังจากข้ามแม่น้ำอย่างนั้นหรือ! ข้าคนนี้ทั้งทำอาหารและให้กำเนิดทารกสองคน อ่า! ตอนนี้เจ้ารู้สึกเสียใจแล้วใช่ไหม? ได้ เจ้าจะต้องเสียใจแน่ ชุนเจียว ตงเหมย! เก็บสัมภาระแล้วไปกันเถอะ! เราไม่สามารถอยู่ในครอบครัวกุ้ยนี้ได้อีกต่อไปแล้ว” กุ้ยซื่อร้องไห้คร่ำครวญและตะโกนให้ลูกสาวของนางเก็บของ
“เจ้า เจ้า ทำไมถึงต้องออกจากบ้านไปหลังจากทะเลาะกันด้วย เฮ้อ ลืมมันไปเถอะ…… เจ้าอย่าร้องไห้เลย!” เมื่อกุ้ยสวิ้นเหอได้ยินว่ากุ้ยซื่อกำลังจะพาลูกสาวออกจากบ้านไปอารมณ์ของเขาก็อ่อนลง เมื่อสักครู่เขาแค่อยากจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้นเพื่อสั่งสอนกุ้ยซื่อเพียงเท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจที่กุ้ยสวิ้นเหออ่อนแอมาก เหล่ากุ้ยปีนี้ก็อายุสี่สิบกว่าปีแล้วและมีสุขภาพไม่ดีอยู่เสมอ เขาต้องทำงานแปลก ๆ นอกบ้านเพื่อหาเงิน ครอบครัวของเขาทั้งยากจนและแตกแยก มันไม่ง่ายเลยที่จะได้แต่งงานกับกุ้ยซื่อตอนอายุใกล้สามสิบ
เป็นเพราะว่าเหล่ากุ้ยอายุสามสิบกว่าปีแล้วถึงจะได้แต่งงานกับภรรยาตัวน้อย เขาอดทนต่อกุ้ยซื่อมาโดยตลอด งานหยาบและหนักภายนอกไม่เคยให้กุ้ยซื่อสัมผัสเลย
กุ้ยซื่ออยู่บ้านตลอดทั้งปี นอกจากซักผ้า ทำอาหาร และเลี้ยงลูกแล้ว งานอื่นก็ทำไม่เป็นเลย
พวกเขายังมีลูกสาวสองคน คนโตชื่อกุ้ยชุนเจียว ได้ยินมาว่านางเกิดในฤดูใบไม้ผลิ ปีนี้นางอายุสิบปี คนที่สองชื่อกุ้ยตงเหมย ได้ยินมาว่านางเกิดในฤดูหนาว ปีนี้นางอายุแปดปี อายุเท่ากับกู้เสี่ยวหวาน
อายุเท่ากันแต่ชะตากรรมนั้นต่างกัน กู้เสี่ยวหวานมีชีวิตที่ตรากตรำมาตั้งแต่เมื่อก่อน ตอนนี้ และหลังจากนี้ แต่กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยนั้นไม่เหมือนกัน
………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เป็นเพราะสภาพในบ้านก็เละนี่เอง กุ้ยซื่อถึงต้องไปหาเรื่องนอกบ้าน คิดดูแล้วก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกันนะ
ไหหม่า(海馬)