บทที่ 95 เนื้อชิ้นหนึ่ง
บทที่ 95 เนื้อชิ้นหนึ่ง
สำหรับครอบครัวที่เหมือนอยู่กลางพายุแบบนี้ ไม่ว่าจะท่านป้าจางหรือชาวบ้านคนอื่น ๆ กู้เสี่ยวหวานก็คิดว่าจะปฏิบัติต่อพวกเขาให้เหมือนกัน ไม่เว้นกระทั่งท่านป้าจางที่นางต้องระวังด้วยเช่นกัน เพราะไม่มีทางเลือกอื่น หากมีคนรู้ว่าตนไม่เหมือนคนอื่น นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะถูกจับเผาทั้งเป็นด้วยข้อหาเป็นภูติผีปีศาจแบบนั้นหรือไม่ เฮ้อ
เมื่อเทียบกับชีวิตของตัวเอง และเทียบกับครอบครัวนี้แล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ทำได้เพียงเลือกทางนี้เท่านั้น
หลังท่านป้าจางพาท่านลุงจางมานั่งลงที่ห้องโถงใหญ่แล้ว สายตาก็สอดส่องไปทั่วบ้าน
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่กู้เสี่ยวหวานป่วย ท่านป้าจางได้เข้ามาหนึ่งครั้ง นี่ก็หลายเดือนกว่าแล้ว นางเพิ่งจะเข้ามาได้เป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้มันทำให้นางรู้สึกไม่เหมือนเดิมเลยสักนิดเดียว
ครั้งก่อนกู้เสี่ยวหวานนอนป่วยอยู่บนเตียง ร่างกายปกปิดมิดชิด ไม่รู้เลยว่านางนั้นห่มผ้าห่มไปกี่ชั้น
แต่ตอนนี้บนเตียงเตามีผ้าน่วมหนานุ่มสะอาดสะอ้าน ห้าห่มและผ้าปูที่นอนจัดอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีเส้นด้ายหลุดออกมาเลยสักเส้นอยู่บนเตียงเตา
และเมื่อมองไปรอบ ๆ พื้นก็ดูสะอาดสะอ้าน ดูออกเลยว่าเจ้าเด็กเสี่ยวหวานคนนี้ชวนเด็กสองสามคนทำความสะอาดบ้านอยู่เป็นประจำ
ตอนนี้แม้ว่าบ้านหลังนี้จะไม่ได้ยากจนข้นแค้นเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ก็สะอาดเรียบร้อยดี ชวนให้คนมองสบายตา และคล้ายกับทำให้คนอื่นมองเห็นความหวังด้วย
ท่านป้าจางพยักหน้าอย่างพอใจ เด็ก ๆ เหล่านี้ถือว่าเติบโตมาได้เป็นอย่างดี
หญิงกลางคนกลับมาที่ห้องครัวอีกครั้ง คิดไว้ว่าจะมาลงครัวด้วยตัวเอง เดิมทีนางคิดว่านางต้องมาผัดกับข้าวเอง คาดไม่ถึงว่าจะเห็นเด็กหญิงที่เพิ่งอายุแปดขวบกำลังจุดไฟ ทำกับข้าวเองได้ ล้างผักก็เป็นเช่นกัน และเดาว่าผัดกับข้าวด้วยตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
แต่พอเดินเข้ามาห้องครัวกลับพบว่าภายในห้องครัวเป็นระเบียบมาก ผักที่หั่นเสร็จแล้ววางไว้เรียบร้อยบนเขียง ในหม้อไม่รู้ว่าต้มอะไรอยู่ เห็นแต่ควันลอยออกมาหอมฉุย ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างดูเป็นการใช้ชีวิตจริง ๆ
ท่านป้าจางมองผักที่วางอยู่บนเขียงอย่างจริงจัง ก็เห็นว่าผักถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ในถ้วยมีเนื้อวางอยู่ สีหน้ายิ่งดูยิ่งย่ำแย่
“เสี่ยวหวาน หนิงอันบอกว่าแค่กินข้าวธรรมดาไม่ใช่หรือ ท่านป้ากับท่านลุงจางถึงได้รับปากมา กับข้าวจานเนื้อพวกนี้ ท่านป้ากับท่านลุงจางไม่มีใครกินลงหรอกนะ”
กู้เสี่ยวหวานเห็นท่านป้าจางเข้ามามองเนื้อในถ้วย สีหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นดูไม่ดีมากยิ่งขึ้น ในใจคาดเดาว่าท่านป้าจางต้องสงสัยที่นางซื้อเนื้อมาได้แน่แล้ว ผลลัพธ์ก็เห็นแล้วว่าท่านป้าจางกำลังตำหนิ จึงเดาว่าท่านป้าจางน่าจะคิดว่านางนั้นใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเป็นแน่
“ท่านป้าจาง หลังจากคุณแม่ของข้าจากไป ก็มีท่านที่ดูแลเด็ก ๆ ทั้งสี่อย่างเรา บุญคุณที่ท่านช่วยเหลือ อย่าว่าแต่ข้าจะให้ท่านกินเนื้อสักชิ้นเลย ต่อให้ท่านได้กินเนื้อทุกวันข้าก็ยินดี ท่านพ่อท่านแม่ด่วนจากไปเร็ว ข้ากับเด็ก ๆ ทั้งสามคนก็ต้องใช้ชีวิตกันไป อายุก็ยังน้อย เดิมทีไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร ถ้าไม่มีท่านป้าที่มักจะส่งข้าวส่งน้ำมาให้ ข้ากับพวกเขาก็คงหิวตายไปนานแล้ว ท่านป้าจาง หรือว่าสี่ชีวิตของข้ากับน้อง ๆ ของข้าจะมีไม่มากพอจะซื้อเนื้อให้ท่านได้กินกันเจ้าคะ” กู้เสี่ยวหวานพูดออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ
ท่านป้าจางไม่คิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะพูดเก่งได้ถึงขนาดนี้ คำพูดของกู้เสี่ยวหวานมันทำให้นางพูดไม่ออก
นางแค่เป็นห่วงครอบครัวนี้เพิ่งได้เงินมาแล้วไม่รู้จักประหยัดเฉย ๆ แต่คิดไม่ถึงว่ากู้เสี่ยวหวานจะพูดแบบนี้ กลับยิ่งทำให้ท่านป้าจางยิ่งรู้สึกซาบซึ้งยิ่งกว่าเดิม เด็ก ๆ เหล่านี้ช่างกตัญญูจริง ๆ
ท่านป้าจางไม่ได้พูดอะไรแล้วหยิบเนื้อออกมาจากกระเป๋าหนึ่งชิ้น หลังจากกู้เสี่ยวหวานเห็นชัดแล้วมันคืออะไรแล้ว ก็พลันเข้าใจความหมายของท่านป้าจางในทันที นางรีบวิ่งไปข้างหน้าห้ามมือของท่านป้าจางที่ยื่นออกมาด้านนอกเอาไว้ ละล่ำละลักพูดว่า “ท่านป้าจาง ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”
ท่านป้าจางเห็นกู้เสี่ยวหวานจับมือนางไว้ก็ไม่ได้สนใจ ทั้งยังไม่พอใจเล็กน้อยด้วย “เสี่ยวหวาน เจ้าชวนท่านลุงจางกับข้ามาทานข้าว พวกเราก็ดีใจแล้ว แต่ว่าพวกเจ้าในตอนนี้เพิ่งจะมีชีวิตดีขึ้นหน่อยเดียว ไม่ควรสิ้นเปลือง ต่อไปยังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกมาก เย็นวันนี้พวกเจ้าสิ้นเปลืองเนื้อไปตั้งมากมายขนาดนั้น เนื้อชิ้นนี้ข้าเอามาเอง พวกเจ้าเอาแขวนไว้บนคาน ค่อย ๆ ทาน ร่างกายพวกเจ้ากำลังอยู่ในวัยเติบโต ข้าไม่อาจเอาเปรียบได้หรอกนะ!”
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกจมูกตีบตัน คิดไม่ถึงว่าตนเองตั้งป้อมกับท่านป้าจางถึงเพียงนี้ จึงรู้สึกละอายใจ “ท่านป้าจาง ท่านเก็บเอาไว้เถอะ เอาไว้ให้ท่านลุงจางกับพี่ฉือโถวกินนะเจ้าคะ ข้ามีอยู่แล้ว!”
“ของเจ้าก็ส่วนของเจ้า ของข้าก็ส่วนของข้า! ทำไม คิดว่าตัวเองหาเงินได้แล้ว เจ้าก็ไม่เห็นของเล็กน้อยที่ท่านป้าจางให้อยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม!”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ท่านป้าจาง!” กู้เสี่ยวหวานเข้าใจความหวังดีของท่านป้าจาง ความหวังดีของท่านป้าจางเหมือนลมร้อนที่พัดมาในยามฤดูหนาว ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นใจไม่มีผิด!
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็จะมอบเนื้อไว้ให้นางให้ได้ จึงเข้าใจในความปรารถนาของท่านป้าจาง ปล่อยให้หญิงกลางคนนำเนื้อไปหมักเกลือแล้วแขวนเอาไว้ด้านบนคานห้อง
ท่านป้าจางบอกว่าต้องการทำอาหารเอง กู้เสี่ยวหวานเองก็ไม่อยากเป็นที่สะดุดตาเช่นกัน คิดไปคิดมาสุดท้ายนางก็เลือกที่จะยืนเป็นลูกมืออยู่ด้านข้างแทน
ภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ ช่วยกันวางถ้วยชามตะเกียบให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ชวนท่านลุงจางกับเสี่ยวฉือโถวคุย รอจนอาหารที่ในห้องครัวทำเสร็จแล้วทีละจาน ๆ ทุกคนก็ถึงได้นั่งลง
เมื่อเห็นทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เริ่มพูด “ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง วันนี้เป็นวันฉลองปีใหม่ ข้าเชิญพวกท่านมาเพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านป้าจางกับท่านลุงจางที่เลี้ยงดูพวกเรามาโดยเฉพาะ”
“ป้าไม่ได้ช่วยอะไรพวกเจ้าเลย ป้าสิต้องขอบใจเจ้า ไม่อย่างนั้นป้าคงไม่คิดไม่ฝันว่าจะหาเงินได้มากมายขนาดนี้!” ท่านป้าจางพูดออกมาจากใจ จริงอยู่ว่าถ้าไม่ใช่เพราะกู้เสี่ยวหวาน พวกเขาจะขุดหน่อไม้ได้มากมายขนาดนั้นหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเอาไปขายที่โรงเตี๊ยมชั่งละร้อยเหรียญได้เลย
ตอนที่ไปโรงเตี๊ยม เถ้าแก่ยังพูดด้วยความเกรงใจกับนางด้วย ถ้าไม่ใช่คนสนิทของครอบครัวกู้เสี่ยวหวาน อีกฝ่ายก็คงไม่ให้เกียรติและมีมารยาทกับชาวบ้านชนบทแบบพวกนางหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะกู้เสี่ยวหวานก็คงจะไม่ราบรื่นแบบนี้
ท่านป้าจางรู้ว่าทั้งหมดมาจากน้ำพักน้ำแรงของกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นเมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานโตมารู้ความแบบนี้ ไม่รู้ว่าในใจจะมีความสุขนาดไหนแล้ว
“ท่านลุงท่านป้าเชิญกินก่อนเลยเจ้าค่ะ! นี่เป็นเนื้อติดกระดูกที่ข้าซื้อจากในเมือง แม้จะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมาก แต่เป็นเนื้อหมูส่วนที่กินได้อย่างแน่นอน ท่านลุงคนขายเนื้อบอกว่ากระดูกนี่ไม่ใช่เนื้อชั้นยอดอะไรนัก และข้าก็คิดว่าน้องชายและน้องสาวที่กำลังโตต้องกินเนื้อให้มากหน่อย หากพวกเขาไม่ได้กินเนื้อชิ้น ก็ควรกินเนื้อติดกระดูกบ้าง ข้าจึงเอากระดูกกลับมาต้มเป็นน้ำแกง อย่าเพิ่งคิดว่าข้าทำมั่ว ๆ ออกมา พวกท่านลองชิมดูได้เลยว่าใช้ได้หรือไม่”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เป็นมื้อส่งท้ายปีเก่าที่อบอุ่นมากเลยค่ะ ต่อให้พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ก็ยังมีคนที่เป็นมากกว่าญาติมาร่วมฉลองด้วย
ไหหม่า(海馬)