บทที่ 132 เจตนาไม่ดี
บทที่ 132 เจตนาไม่ดี
“ในเมื่อเขาพูดอย่างนั้น ก็เป็นเช่นนั้น!” กู้ฉวนลู่เริ่มร้อนใจ เรื่องของครอบครัวสามเหมือนคลื่นซัดโถมครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่อยากจะกังวลกับมันเลยจริง ๆ อย่างไรเสียปีนี้ก็จะผ่านไปแล้ว และเขาจะได้กลับเข้าเมืองในไม่ช้านี้ อยู่ต่ออีกหนึ่งวันก็คงไม่เสียหายอะไร
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สามี ข้ายังไม่อยากจะเชื่อ ท่านไม่ลองคิดเกี่ยวกับมันดูล่ะ ปีนั้นเฉาซื่อร้ายกาจมากจนทะเลาะกับแม่ของท่าน เจ้าสามเกือบกลายเป็นปรปักษ์กับท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือ?” ซุนซื่อเปิดปฏิทินสีเหลืองอันเก่า ถ้าบอกว่ากู้ฉวนโซ่วตีเฉาซื่อเพราะเฉาซื่อทะเลาะกับนาง ซุนซื่อจึงไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่!” กู้ฉวนลู่ก็ประสบกับเหตุการณ์นั้นเช่นกัน เพราะเหตุการณ์นี้กู้ฉวนโซ่วเกือบจะทุบตีมารดาของตน ทว่ากู้ฉวนลู่ก็เกลี้ยกล่อมให้เขาสงบลงได้ หากเขาทำจริง ๆ ข้อกล่าวหาว่ากู้ฉวนลู่ที่ไม่เคารพผู้อาวุโสจะแพร่กระจายออกไป
“ท่านลองคิดดู ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครไม่รู้ว่าเจ้าสามรัก ทะนุถนอม และกลัวภรรยาขนาดไหน ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือที่เฉาซื่อถูกทุบตีเกือบตายในครั้งนี้?”
“มันแปลกตรงไหน?” กู้ฉวนลู่ถามกลับ “เมื่อก่อนชอบ เขาก็กลัวนางเป็นปกติ แต่ตอนนี้ไม่ชอบก็เลยไม่กลัวแล้ว”
“สามี ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ซุนซื่อครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของกู้ฉวนลู่อย่างระมัดระวัง และเมื่อนางนึกถึงบางสิ่งแล้วก็ต้องตกตะลึงอย่างยิ่ง “สามี ความหมายของท่านคือเจ้าสามมีคนอื่นที่ข้างนอกนั่นหรือ?”
กู้ฉวนลู่ไม่ได้ตัดสินใจเมื่อได้ยินคำพูดของซุนซื่อ ใครจะไปรู้ บุรุษเมื่อชอบก็ดูแลราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า พอไม่ชอบก็ปฏิบัติราวกับเป็นหญ้าข้างถนนที่เหยียบย่ำได้ตามใจชอบ
“สวรรค์!” ซุนซือปิดปากอุทานด้วยความประหลาดใจ “สามี ถ้าท่านพูดอย่างนั้น กู้ฉวนโซ่วนี้ก็คงจะทำเช่นนี้จริง ๆ!”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปรอบ ๆ แล้วโน้มตัวไปด้านหน้าของกู้ฉวนลู่และกระซิบว่า “สามี ท่านไม่รู้หรอกว่าอำนาจทางการเงินถูกเจ้าสามควบคุมเอาไว้แล้ว”
“ฮึ่ม…” หลังจากที่กู้ฉวนลู่ฟังคำพูดของซุนซื่อ เขาพ่นลมอย่างเย็นชา
เมื่อซุนซื่อเห็นกู้ฉวนลู่พ่นลมอย่างเย็นชาก็ไม่เอ่ยอะไรอีก พลางมองดูใบหน้าของกู้ฉวนลู่อย่างระมัดระวัง ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดเป็นพิเศษ สีหน้าดูถูกเหยียดหยามและเยาะเย้ย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ยังคงถามอย่างไม่เชื่อ “สามี ที่ท่านบอกว่าเจ้าสามมีคนอื่นอยู่ข้างนอกนั่น เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ? หรือถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงล่ะ?” กู้ฉวนลู่วางหนังสือในมือลุกขึ้นแล้วพูดว่า “อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาทำให้ตระกูลกู้เสียหน้า อย่าโทษว่าข้าหยาบคายกับเขาแล้วกัน!”
กู้ฉวนลู่ได้ตัดสินใจแล้ว เขาได้เฝ้าสังเกตกู้ฉวนโซ่วอย่างระมัดระวังในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาออกไปแต่เช้าและกลับมาตอนเย็นทุกวัน เขาไม่รู้ว่ากู้ฉวนโซ่วกำลังทำอะไรอยู่ข้างนอก ในขณะที่เฉาซื่อนอนเหมือนหมูตายอยู่บนเตียง และนางไม่สามารถควบคุมกู้ฉวนโซ่วได้เลย
กู้ฉวนโซ่วสบายดี หลังจากการต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยา ถ้าเขาไม่สนใจเฉาซื่อก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่นี่เขาไม่สนใจแม้กระทั่งลูกของตนเอง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้!
ซุนซื่ออยู่ด้านข้าง และเมื่อนางได้ยินคำพูดของกู้ฉวนลู่ หัวใจของนางก็เบ่งบานด้วยความปีติยินดี ถ้าเจ้าสามมีความสัมพันธ์ที่ดีภายนอกจริง ๆ ก็เป็นการดีที่จะฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
ประการแรก เฉาซื่อมักจะโอ้อวดเสมอว่าบุรุษต่างคลั่งไคล้นางและรักนาง ปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า ครั้งนี้มาดูว่านางมีคุณสมบัติที่จะพูดคำดังกล่าวได้อย่างไร นี่เป็นการโจมตีที่ร้ายแรงต่อเฉาซื่อ เฉาซื่อคนนี้ ผู้มีหัวใจที่สูงกว่าฟ้า หยิ่งทะนง ถูกทุบตีจนเป็นเช่นนี้ ก็มาดูว่านางภาคภูมิใจเพียงใด
ประการที่สอง หากกู้ฉวนลู่มีคนอื่นข้างนอกจริง ๆ ศีลธรรม คำพูด และการกระทำของเขาจะด้อยลงอย่างมาก ในเวลานั้น ถ้ากู้ฉวนลู่จะต่อสู้เพื่อที่อยู่อาศัยในบ้านหลักของตระกูลกู้ได้อย่างไร มาดูกันว่าใครจะช่วยเหลือเขาบ้าง การขาดคุณสมบัติทางศีลธรรมเพียงอย่างเดียวนี้ เพียงพอสำหรับทำให้กู้ฉวนโซ่วยอมแพ้จากบ้านหลังใหญ่
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ซุนซื่อก็มีความประหลาดใจ จนถึงตอนนี้นางก็ยอมรับมันอย่างสมบูรณ์ ในใจของนางดูถูกกู้ฉวนโซ่วตลอดเวลา แต่แอบยอมรับว่าบ้านหลังเก่าของตระกูลกู้เป็นความหวังของนาง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นางสามารถทำมันได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เลย และหัวใจของนางก็เบ่งบานด้วยความปีติยินดี
“สามี ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับท่าน…” ซุนซื่อคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ เมื่อเห็นว่ากู้ฉวนลู่อารมณ์ดี วันนี้นางจึงลองพูดออกมา
“พูดมา!”
“ท่านก็รู้ว่าข้ามีญาติผู้พี่คนหนึ่ง นางแต่งงานกับคนทางใต้ไม่ใช่หรือ? ท่านก็รู้ว่าญาติผู้พี่ของข้าแต่งงานแล้ว แต่สามีของนางก็เสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่ปีต่อมา นางไม่มีลูก ญาติผู้พี่บอกว่านางแก่แล้ว ในครอบครัวก็ไม่มีใคร ยิ่งกว่านั้น ด้วยทรัพย์สินมากมายในครอบครัวของนาง ถ้านางเสียชีวิตก็จะตกเป็นของคนอื่น”
“เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร?” กู้ฉวนลู่ถาม “เจ้าต้องการยกลูกให้ญาติผู้พี่ของเจ้าหรือ?”
“ใช่แล้ว ท่านลองคิดดู ลูกพี่ลูกน้องจากแดนไกล ร่ำรวย มีอำนาจ ถ้าได้เป็นลูกของนาง คงมีความสุขน่าดู”
“ที่นี่มีเด็กที่ไหนให้ที่จะยกให้ญาติผู้พี่ของเจ้าได้?”
“สามี ก็มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าหมายถึง…”
“ใช่แล้ว ถ้าผ่านไปแล้ว ถึงเวลานั้นเราก็แค่บังคับสาวน้อยเสี่ยวหวาน และเสนอเรื่องนี้ไป”
กู้ฉวนลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเขาได้ยินความคิดของซุนซื่อ เขาก็ตัดสินใจทันที “ไม่เลว สาวน้อยเสี่ยวหวานต้องเลี้ยงน้องชายสองคน แบบนี้ภาระของชีวิตจะเบาลงมาก”
“ใช่ เจ้าไม่รู้หรอกว่ามีกี่คนที่อยากให้ญาติผู้พี่ของข้ารับเป็นลูกบุญธรรม แต่นางบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ข้าเลยลองมาคิดดูว่าที่บ้านของพวกเราก็มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“อย่างไรก็ตาม พี่น้องกู้หนิงอันสองคนนั้นโตไปหน่อย ข้าเกรงว่าญาติผู้พี่ของเจ้าจะไม่เห็นด้วย”
“ข้าเคยคุยเรื่องนี้กับท่านแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าท่านตกลง ข้าจะถามญาติผู้พี่ของข้าเมื่อกลับไป อย่างไรก็ต้องกลับไปในช่วงปีใหม่อยู่ดี”
“ข้าจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร ทำเรื่องเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว” กู้ฉวนลู่มองเฉาซื่ออย่างเห็นด้วย สายตาของเขาช่างอ่อนโยนและอ่อนหวาน
เป็นเวลานานแล้วที่ซุนซื่อไม่ได้เห็นสายตาที่อ่อนโยนของกู้ฉวนลู่ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ กู้ฉวนลู่ไม่ได้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของซุนซื่อมาเป็นเวลานานแล้ว ดูเหมือนว่าเปลวไฟดวงเล็ก ๆ กำลังลุกไหม้อยู่ในหัวใจของเขา
ข้างนอกมืดแล้ว ทั้งสองคนกำลังถูกแผดเผาด้วยไฟรัก ดังนั้นพวกเขาจึงลงกลอนประตู และปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คิดจะขายเสี่ยวหวานให้ญาติตัวเองเหรอนังซุน ฝันไปเถอะ
มีอะไรกันแล้วอย่ามีลูกอีกเลย มีแล้วมาเป็นมารผจญเสี่ยวหวานเปล่า ๆ
ไหหม่า(海馬)