บทที่ 168 กลับบ้านอย่างเร่งรีบ
บทที่ 168 กลับบ้านอย่างเร่งรีบ
สวีเฉิงเจ๋อทราบว่าเด็กหญิงสองคนนี้อยู่ที่บ้าน หากเรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้น พวกเขาก็คงจะกังวลแทบตาย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับพี่คนโตของครอบครัวกู้นี้ว่า เด็กหญิงคนนี้ต้องอดทนเพียงใดเมื่อเรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้น และนางยังต้องรับผิดชอบเพียงคนเดียว
เมื่อเห็นว่ากู้หนิงอันและกู้หนิงผิงดูกระวนกระวายเพียงใด สวีเฉิงเจ๋อก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดพวกเขาทั้งสอง “พวกเจ้ารีบกลับไปเก็บของ อีกสักครู่ข้าจะเรียกรถไปส่งพวกเจ้า” หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเขาก็กล่าวต่อว่า “ข้าจะกลับไปกับพวกเจ้าด้วย!”
สวีเฉิงเจ๋อคิดอย่างรอบคอบ แม้ว่ากู้หนิงอันและกู้หนิงผิงจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่ก็เป็นเด็กอายุเพียงหกเจ็ดขวบเท่านั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาคงจะทำอะไรไม่ถูก
กู้หนิงอันรู้ความหมายของท่านอาจารย์ดี แต่เขาไม่ต้องการให้ท่านอาจารย์ไปที่นั่นด้วยตัวเอง “ท่านอาจารย์ บ่ายนี้ยังมีเรียนอยู่ ถ้าท่านให้เวลากับเราแล้วทำให้คนอื่นเรียนล่าช้า เช่นนั้นจะไม่เป็นอะไรหรือขอรับ?”
สวีเฉิงเจ๋อโบกมือและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ๆ มีผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัส มันเป็นเรื่องใหญ่ พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะบอกท่านแม่เอง และช่วงบ่ายนี้พ่อของข้าก็ไม่มีสอนพอดี ดังนั้นจะขอให้เขาดูแลคาบเรียนช่วงบ่ายไปก่อน”
กู้หนิงอันรู้สึกซาบซึ้งเป็นมาก แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเพื่อขอบคุณ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพูดอย่างเร่งรีบ “ข้า…อย่างนั้น…อย่างนั้นก็ขอบคุณท่านอาจารย์มาก”
สวีเฉิงเจ๋อโบกมือของเขา “อย่ามัวแต่สุภาพนัก พวกเรารีบไปเร็ว”
เมื่อไปถึงประตู รถม้าก็มารออยู่แล้ว
สวีเฉิงเจ๋อ กู้หนิงอัน และกู้หนิงผิงปีนขึ้นไปบนรถม้าทีละคน แล้วรีบไปที่หมู่บ้านอู๋ซีอย่างรวดเร็ว
เป็นเวลาเจ็ดหรือแปดวันแล้ว นับตั้งแต่พบกู้เสียวอี้ที่หายไป
ในช่วงเวลานี้กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ทำอะไรเลยและอุทิศตนเพื่อดูแลเสี่ยวอี้ที่ป่วย
หลังจากพักฟื้นมาหลายวัน กู้เสี่ยวอี้ก็ฟื้นตัวเต็มที่ และอาการปวดหัวก็ดีขึ้นมาก สามารถลุกออกจากเตียงและเคลื่อนไหวไปมาได้
ในวันนี้ อากาศข้างนอกดีมาก ท่านป้าจางจึงเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้และกลับบ้านหลังจากกินอาหารเสร็จ เมื่อพี่น้องทั้งสองกินข้าวเสร็จ กู้เสี่ยวหวานก็ประคองกู้เสี่ยวอี้เดินไปรอบ ๆ ลาน ทั้งสองเดินพลางพูดคุยกัน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ดูวิตกกังวลจากระยะไกล “ท่านพี่ เสี่ยวอี้ ……”
เมื่อได้ยินเสียงที่คล้ายกับกู้หนิงผิง กู้เสี่ยวหวานจึงหันไปมอง และแน่นอนว่านางเห็นกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่นั่งอยู่บนรถม้า โผล่หัวออกมาจากรถม้าและตะโกนเรียกพวกนาง
“ท่านพี่ พี่ชายมาแล้ว” กู้เสี่ยวอี้ที่ยังอ่อนแรง นางไม่ได้พบพวกพี่ชายเป็นเวลากว่าสิบวัน และคิดถึงพวกเขามาก
รถม้าแล่นมาทางนี้อย่างรวดเร็ว ในใจของกู้เสี่ยวหวานก็มีความรู้สึกหลากหลาย
แผลที่ใบหน้าหายเป็นปกติแล้ว แม้จะยังมีร่องรอยบ้าง ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ไม่ง่ายที่จะเห็น แต่อาการบาดเจ็บของกู้เสี่ยวอี้นั้นต่างกัน
เมื่อก่อนกู้เสี่ยวอี้เคยเดินอย่างกระฉับกระเฉง แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บในตอนนี้ ใบหน้าของนางจึงยังคงซีดและไม่มีเรี่ยวแรง
กู้เสี่ยวหวานยังคงคิดหาวิธีปิดบังจากน้องชายทั้งสอง แต่เมื่อมองย้อนกลับไป กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ปิดไว้ไม่อยู่แล้ว
การกลับมาครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่วันหยุดพักผ่อน พวกเขารีบมาที่นี่แถมยังกลับด้วยรถม้า เมื่อมองไปที่รถม้าก็มีคำว่า ‘สวี’ ติดอยู่ข้างนอก ซึ่งน่าจะเป็นรถม้าของสวีเซียนหลิน ทำไมถึงได้นั่งรถม้าของท่านอาจารย์กลับมาล่ะ?
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่โผล่หน้าออกมาดูเหมือนว่าไม่มีอาการตื่นตระหนกใด ๆ พวกเขาดูเป็นปกติเช่นนี้ อย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเขาต้องรู้เรื่องของพวกนางแล้วแน่นอน
ดูเหมือนอาการบาดเจ็บของเสี่ยวอี้จะไม่สามารถปกปิดได้ กู้เสี่ยวหวานจึงไม่คิดที่จะปกปิดมันอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่สามารถพูดได้ก็คงต้องพูด รถม้าวิ่งไปตลอดทางและมาถึงประตูลานบ้าน ทันทีที่รถหยุด กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงก็กระโดดลงจากรถอย่างเร่งรีบและวิ่งเข้าไปในลานบ้านภายในสามก้าว นั่งลงและกอดกู้เสี่ยวอี้
เด็กชายสองคนตัวสั่นราวกับว่าถูกโจมตีอย่างรุนแรง แล้วมองซ้ายมองขวาขึ้นลง ยิ่งมองยิ่งเจ็บใจ ยิ่งมองยิ่งประหม่า จนสุดท้ายเด็กทั้งสองคนก็น้ำตาไหลออกมา
กู้หนิงอันกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยินกู้จือเหวินพูดว่าท่านพี่ถูกเฉาซื่อทุบตี ท่านบาดเจ็บตรงไหนบ้าง? ตรงใบหน้าหรือไม่? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอี้? นางตกลงมาจากภูเขาจริงหรือ? ตกถึงตรงไหน เจ็บไหม? ร้ายแรงหรือไม่?” เขาเปิดปากอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าเขาอยากรู้ทันทีว่าคนที่ใกล้ชิดที่สุดทั้งสองได้รับความทรมานและบาดเจ็บอะไร
เมื่อเห็นพวกเขากลับมา กู้เสี่ยวหวานก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้ เพราะความคิดถึงของนางในช่วงที่ผ่านมาได้สิ้นสุดลงแล้ว
กู้เสี่ยวอี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีเพียงพี่สาวของนางเท่านั้นที่อยู่ที่บ้าน นางอยากจะร้องไห้ แต่กลัวว่าพี่สาวจะเป็นทุกข์ไปด้วย อยากร้องก็ไม่กล้าร้องออกมา แต่ครั้งนี้พวกพี่ชายกลับมาแล้ว นางจึงร้องไห้อย่างทรมาน น้ำเสียงนั้นอ่อนลงไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน
เดิมทีใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานนั้นงดงาม แต่ตอนนี้กลับมีร่องรอยบาดแผลเล็กน้อย
ดูเหมือนว่ากู้จือเหวินพูดถูก รอยฟกช้ำบนใบหน้าพี่สาวของเขาคงเป็นเพราะโดนเฉาซื่อทุบตี ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้ว รอยฟกช้ำบนใบหน้าก็เกือบจะจางหายไปทั้งหมด เหลือเพียงร่องรอยเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนกู้เสี่ยวอี้ เมื่อตอนที่พวกเขาออกจากบ้าน เด็กหญิงคนนี้ยังมีชีวิตชีวาและสบายดี นางร้องไห้หนักมากเมื่อเห็นพวกเขาจากไป ในอดีตเมื่อกู้เสี่ยวอี้เห็นกู้หนิงอันและกู้หนิงผิง นางจะกระโดดใส่พวกเขาอย่างมีความสุขและเรียกพวกเขาว่าพี่ชาย แต่วันนี้กู้เสี่ยวอี้เงียบมากและยังยืนอยู่กับที่ คงเป็นเพราะยังไม่หายดี ถึงกระนั้นร่องรอยของความสุขก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง ต่อให้น้ำเสียงไม่ได้ร่าเริงเหมือนเคยก็ตาม
“พี่ชาย……”
ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของกู้เสี่ยวอี้จะยังไม่หายดี ไม่อย่างนั้นนางคงไม่อ่อนแอขนาดนี้ ก่อนจากไป ใบหน้าของกู้เสี่ยวอี้แดงระเรื่อและกลม นี่เพิ่งผ่านไปเพียงสิบวันเท่านั้น เมื่อได้มาเห็นอีกครั้งก็ดูเหมือนว่านางจะผอมลง ใบหน้าก็ซีดเล็กน้อย นางดูไม่กระฉับกระเฉงเอาเสียเลย
เมื่อเห็นน้องสาวเป็นเช่นนี้ กู้หนิงผิงจึงรู้สึกเป็นทุกข์มาก เขากอดกู้เสี่ยวอี้และร้องไห้อีกครั้ง เมื่อเห็นพี่ชายร้องไห้ กู้เสี่ยวอี้ก็ร้องไห้สะอื้นตาม
เมื่อมองไปที่กู้หนิงอัน ในดวงตาของเขาก็ปรากฏแววความเศร้า เขาจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่สาวน้องสาวไม่เป็นอะไรแล้วนะ ไม่ต้องกังวลไปนะหนุ่ม ๆ ทั้งสอง แง…จะร้องไห้ตามสี่พี่น้องนี้เลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)