บทที่ 202 เห็ดตี้มู่
บทที่ 202 เห็ดตี้มู่
ไร่นาส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูกแล้ว แต่ก็ยังมีพื้นที่เล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้ทำเป็นพื้นที่เพาะปลูก ที่ตรงนั้นเหนือความคาดหมายของนางมาก ที่นาครอบครัวอื่นถูกทำความสะอาดมาดแล้ว มีแต่พื้นที่ตรงนั้นที่ยังคงรกร้างอยู่
ดูเหมือนว่าที่ดินผืนนั้นจะเป็นที่ดินของครอบครัวพวกเขากระมัง ทว่านานมาแล้วที่ไม่ได้เพาะปลูกอะไรเลย ในไร่นาจึงมีหญ้าขึ้นรกสูงเหนือกว่าตัวคนเสียอีก ทั้งเหี่ยวเฉาทั้งรกร้างเป็นอย่างยิ่ง
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเสียดายเล็กน้อย วัชพืชมากมายขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรกว่าจะกำจัดออกไปทั้งหมด
ทว่านี่เป็นที่นาขนาดสามสี่เฟิน*[1] นางจะสามารถปลูกอะไรได้บ้างนะ
กู้เสี่ยวหวานเก็บความคิดเอาไว้ไม่อยู่ ได้เพียงถามว่า “ท่านอาเหลียง พวกท่านปลูกอะไรหรือ”
เหลียงมู่จิ่นหัวเราะเหอะ ๆ “เด็กโง่ เจ้าว่าปลูกอะไรรึ พวกเราก็ทำได้เพียงแค่ปลูกพวกข้าวและธัญพืช นอกจากข้าวแล้วยังสามารถปลูกสิ่งใดได้อีก”
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วมุ่น ช่วงเวลานี้การทำการเกษตรค่อนข้างแร้นแค้น นอกจากข้าว ข้าวฟ้าง และถั่วประเภทต่าง ๆ ก็ยังไม่สามารถปลูกสิ่งใดได้อีก
กู้เสี่ยวหวานเข้าใจแล้ว บอกลาเหลียงมู่จิ่นพาพวกกู้หนิงผิงเดินออกไปไกลหน่อย ตั้งใจมาที่นาที่ครอบครัวของนางรับผิดชอบ
บอกตามตรงว่าเรื่องการเพาะปลูกกู้เสี่ยวเสี่ยวคิดอะไรไม่ออกเลยจริง ๆ เพาะปลูกนี่สามารถปลูกอะไรได้บ้างกันนะ
การปลูกข้าวในตอนนี้ยังไม่ได้เจริญรุ่งเรืองมากกัน ไม่สามารถส่งขายหนึ่งร้อยหนึ่งพันตันได้ ปริมาณที่เพาะปลูกจึงค่อนข้างน้อยมาก ทั้งหนักทั้งเหนื่อยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ก็ได้แค่พอกินเท่านั้น กู้เสี่ยวหวานไม่อยากจะคิดลงมือทำมันเลยจริง ๆ
ยืนอยู่ตรงที่นาที่ครอบครัวตัวเองรับผิดชอบ กู้เสี่ยวหวานก็มองซ้ายมองขวา ในที่นานี้มีแต่วัชพืช ด้านนอกก็เป็นวัชพืชงอกเต็มไปหมด ยิ่งเป็นช่วงฤดูเพาะปลูกของปีก็มองเห็นต้นหญ้าสีเขียวเต็มทั่วพื้นที่
กู้เสี่ยวหวานมองรอบ ๆ ที่นาก็คิดว่าควรจะปลูกข้าวนั่นแหละ
ถ้านางมีที่นาสองสามหมู่*[2] ก็คงให้คนในครอบครัวทำนาแล้ว สามารถทำรอบเพาะปลูกได้สองครั้ง แบ่งเป็นครึ่งปีหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าพวกเขามีที่นาไม่กี่เฟิน อีกทั้งยังมีแต่เด็ก การปลูกข้าวเป็นงานที่หนักเพียงนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
กู้เสี่ยวหวานยกเลิกความคิดทำนาทิ้งไป แค่เห็นต้นหญ้ารกเต็มที่นาที่ครอบครัวรับผิดชอบ ในใจก็รู้สึกยุ่งยากใจ อันดับแรกเห็นทีว่าต้องถอนวัชพืชออกให้หมดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วก็ขุดเตรียมหน้าดิน งานใช้แรงงานเช่นนี้หนักเกินไป บ้านพวกเขาไม่มีผู้ใหญ่ ทำไม่ไหวจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเม้มริมฝีปาก ค้อมตัวมองลงบนคันนา แล้วคิ้วก็ยกสูงขึ้นอย่างดีใจ ที่บนคันนามีเห็ดตี้มู่ขึ้นเยอะมาก กู้เสี่ยวหวานดีใจมากแต่ไม่ได้กระโตกกระตากออกไป
กู้เสี่ยวหวานนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง พูดกับพวกกู้หนิงผิงเบา ๆ ทั้งสามพยักหน้า กู้เสี่ยวหวานพากูเสี่ยวอี้ขึ้นไปบนคันนา จากนั้นลงมือเก็บเห็ดตี้มู่ กู้หนิงผิงเดินเข้าในนาก็ถูกต้นหญ้าสูงขวางเอาไว้ ทำให้มองไม่ออกว่ากู้หนิงผิงกำลังทำอะไรอยู่เหมือนกัน
กู้เสี่ยวหวานย่อตัวเป็นลงตรงเนินดิน ท่าทางนั้นเหมือนกับว่านางกำลังถอนวัชพืชอยู่ก็ไม่ปาน
เพราะนี้เป็นตอนกลางวัน มีคนเดินผ่านไปผ่านมามองเห็นพวกเขา แต่มองไม่เห็นว่าพวกเขากำลังย่อตัวทำอะไรอยู่ตรงนั้น ถ้าไม่ได้เดินไปพูดด้วยล่ะก็ คงจะมองไม่ออกว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าอยู่ไกลออกไปหน่อยก็เพียงนึกว่าพวกเขากำลังถอนวัชพืชในนาตัวเองอยู่
เหลียงมู่จิ่นเหลือบมองพวกกู้เสี่ยวหวานเป็นบางครั้ง ก็เห็นพวกเด็ก ๆ ทำงานอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
แต่เขานึกว่าพวกเด็ก ๆ กำลังถอนวัชพืชกันอยู่ ในใจพลันรู้สึกเป็นห่วง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ชีวิตของใครก็ชีวิตของมัน
พวกกู้เสี่ยวหวานสองสามคนนั่งย่อง ๆ ตลอดจนขาชา
เสียเวลากว่าชั่วยามกู้เสี่ยวหวานถึงจะเก็บที่เห็นบริเวณคันนาเสร็จ
รอจนกระทั่งเก็บเสร็จ รอบข้างก็ยังมีคนทำนาอยู่บางส่วน กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าจะถูกพวกเขาจับได้ จึงเอาเห็ดตี้มู่มัดรวมกันในห่อผ้า แล้วยัดไว้ใต้สุดของตะกร้า จากนั้นก็เอาหญ้าปิดไว้ด้านบน เท่านี้คนอื่นก็จะเห็นเหมือนพวกนางกำลังแบกหญ้า และไม่ได้สงสัยอะไรแต่อย่างใด
กู้เสี่ยวหานเดินแบกต้นหญ้านำอยู่ด้านหน้า กู้หนิงผิงปิดท้ายหลังสุดให้กู้เสี่ยวอี้อยู่ตรงกลาง
กู้เสี่ยวหวานย่อมรู้ว่าไม่ควรกระโตกกระตาก กู้หนิงผิงที่โตกว่าหน่อยก็เข้าใจดีเช่นกัน ในตอนที่เดินผ่านชาวบ้านที่ทำนาอยู่ พวกเขาไม่ปริปากพูดกับคนเหล่านี้แล้วเดินผ่านไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากนั้นก็หาที่ดี ๆ ที่ไม่มีคน จัดการล้างเห็ดตี้มู่ให้สะอาด
รอจนกระทั่งพวกเขากลับหมู่บ้านท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเสียแล้ว หมู่บ้านอู๋ซีในฤดูใบไม้ผลินั้น บรรยาศเงียบเหงาของฤดูหนาวจางลง แล้วมีบรรยากาศมีชีวิตชีวาของฤดูใบไม้ผลิเข้ามาแทนที่ ระหว่างทางกลับ ก่อนที่แสงรัตติกาลจะมาถึง และแสงตะวันสุดท้ายของวันที่ค่อย ๆ หายไป ทำให้หลายบ้านเริ่มออกมาจุดไฟ หญิงบางบ้านก็กระแอมไอเรียกลูกตัวเองเข้าบ้าน ยังมีเสียงนกเสียงหมาร้อง เป็นความวุ่นวายสุดท้ายก่อนจะมืดค่ำ
กู้เสี่ยวหวานกลับมาถึงบ้านยังไม่ทันอุ่นกับข้าว ก็ดูเห็ดตี้มู่บนโต๊ะไม้เมื่อตอนเช้าที่ล้างสะอาด ตากเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากตากแดดตลอดช่วงบ่าย ทำให้พวกมันแห้งแล้วบางส่วน กู้เสี่ยวหวานกวาดมารวมกัน แล้วเอาเห็ดที่เก็บมาเมื่อบ่ายมาตากไว้บ้าง โต๊ะไม้นี้วางใกล้กับหน้าต่าง แบบนี้จะได้รับทั้งแดดและลมเต็มที่ แล้วเห็ดตี้มู่ก็จะแห้งเร็วขึ้นด้วย
วันนี้เด็ก ๆ นั่งยอง ๆ มาทั้งวันทำให้เหนื่อยสุด ๆ กู้เสี่ยวหวานทำแป้งกวนให้กินกันคนละชามอย่างว่องไว
เพราะเห็ดตี้มู่ยังคงสดใหม่ เวลาเอามาใส่ในแป้งกกวนจึงไม่มีกลิ่นเลยสักนิด
กู้หนิงผิงได้ลิ้มลองสักครั้งหนึ่งก็คิดว่ามันอร่อยกว่าเนื้อเสียอีก เพราะกู้เสี่ยวหวานใส่เห็ดตี้มู่เข้าไปเต็มที ของสิ่งนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง วันนี้ทุกคนเหนื่อยมาทั้งวัน ก็ต้องบำรุงกันหน่อย
“ท่านพี่ เจ้าสิ่งนี้อร่อยจังเลย เมื่อก่อนพวกเราไปอยู่ที่ไหนมาถึงได้ไม่รู้ว่าเจ้านี่มันสามารถกินได้กัน!” กู้หนิงผิงวางชามเสียงดังอย่างออกรส
“เมื่อก่อนพวกเจ้าเคยเห็นหรือ” กู้เสี่ยวหวานคิด เจ้านี่ขอแค่เป็นตอนฤดูใบไม้ผลิที่ฝนตก เห็ดตี้มู่ก็สามารถงอกหงายขึ้นมาได้แล้ว ทั้งในรากไม้ ทั้งตามเนินดินในนา ในจะยังมีตามริมทาง ขอแค่โคลนไม่ว่าที่ไหนก็มีทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สภาพแวดล้อมดี ไม่มีฝุ่นควันมลพิษ เห็ดตี้มู่ก็ยิ่งเติบโตได้ดี ในสภาพแวดล้อมสีเขียวเช่นนี้
“เคยเห็นขอรับ!” กู้หนิงผิงตอบกลับ “ข้าเห็นมันงอกตรงริมทางมืด ๆดำ ๆ กองเป็นกลุ่มก้อนดูเลอะเทอะ เลยทำให้ไม่มีใครกล้ากิน! ใคร ๆ ก็บอกว่าของที่งอกมาจากโคลนเป็นของสกปก” กู้หนิงผิงย่อมรู้จักของสิ่งนี้และก็เคยเห็นด้วยเหมือนกัน ชาวบ้านต่างก็รู้จัก เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเอาขอพวกนี้มากิน พวกเขาคิดว่าของที่งอกมาจากแหล่งสกปกนั้นทั้งไม่เคยรู้จักและมันยังดำ ๆ ด้วย จึงคิดว่าสกปก ทำให้ไม่เคยลองเอามากิน
*[1] 1 เฟิน เท่ากับ 66 ตารางเมตร
*[2] 1หมู่ เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร