บทที่ 204 ให้ของ
บทที่ 204 ให้ของ
พอกู้เสี่ยวหวานเข้าไป ฮูหยินสวีก็หันมาเห็นพอดี นางรีบมาต้อนรับเด็กหญิงด้วยรอบยิ้มใจดีทันที “เสี่ยวหวานมาแล้วหรือ”
กู้เสี่ยวหวานขานรับเสียงหวานว่าฮูหยินสวี แล้วรีบเอาตะกร้าบนหลังวางไว้หน้าประตู
“มา ๆ นั่งก่อน ลมอะไรหอบมาแต่เช้าขนาดนี้กัน ดูท่าทางเร่งรีบของเจ้าแล้วคงยังไม่ได้ทานข้าวเช้าสินะ” ฮูหยินสวีถามอย่างมีน้ำใจ
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ทานแล้วเจ้าคะ ทานมาตั้งแต่ที่บ้านแล้ว”
“เด็กคนนี้ มาแต่เช้าขนาดนี้ น่ากลัวว่าจะเดินทางมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างกระมัง” ฮูหยินสวีรีบรินน้ำให้หนึ่งแก้ว กู้เสี่ยวหวานรับมาดื่มหนึ่งอึก
เดินมานานเสียขนาดนั้น คอแห้งไปหมด กู้เสี่ยวหวานจิบน้ำไม่หยุด พอดื่มน้ำสักแก้วหนึ่งหมดก็จึงรู้สึกไม่กระหายน้ำเท่าไรแล้ว ฮูหยินสวีเห็นก็รีบรินน้ำให้อีกแก้ว “ดื่มช้า ๆ หน่อย ไม่ต้องรีบ”
กู้เสี่ยวหวานดื่มอีกแก้วหนึ่ง จึงค่อยรู้สึกดับกระหายลง “ขอบคุณเจ้าค่ะฮูหยินสวี”
“เกรงใจข้าไปทำไมเด็กคนนี้” ฮูหยินสวีชอบครอบครัวนี้ยิ่ง มองเด็กเหล่านี้ที่ถึงจะไม่ได้มาบ่อยก็ยังคงรู้สึกสนิทสนมกันดี เด็ก ๆ เหล่านี้ไร้พ่อขาดแม่ ครอบครัวมีเพียงกู้เสี่ยวหวานคนเดียวที่สามารถพึ่งพาได้ ฮูหยินสวีจึงยิ่งรู้สึกรักและสงสาร
“จริงสิ เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ”
“ข้าเก็บเห็ดตี้มู่ในหมู่บ้านมาเล็กน้อย เดิมทีกะว่าจะนำไปขายที่ในเมือง แต่ก็ไม่มีร้านอาหารใดรับเลยเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานนึกขึ้นได้ รีบนำห่อใบใหญ่ออกมาจากในตะกร้าส่งให้ฮูหยินสวี “นี้เป็นของที่ข้าเก็บไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ อยากให้ฮูหยินสวีลองทานดูเจ้าคะ”
ฮูหยินสวีพอได้ยินก็รีบปฏิเสธ “ไม่เอา ๆ เจ้าเก็บไปเดี๋ยวนี้เลย เอาไปขายด้วยกันเสีย”
กู้เสี่ยวหวานนึกว่าฮูหยินสวีไม่เห็นคุณค่าของที่ตัวเองให้ พอฟังจบจึงเข้าใจว่าฮูหยินสวีต้องการให้นางเก็บเอาไว้ขายหาเงินให้ตัวเอง ก็อดที่จะรู้สึกดีต่อฮูหยินสวีอีกขั้นหนึ่ง “ฮูหยินสวี ข้ายังเก็บเอาไว้อีกเยอะเจ้าค่ะ ท่านรับไว้เถอะ ของสิ่งนี้ท่านต้องไม่เคยลิ้มรสมาก่อนแน่ ก็ถือเสียว่าให้ท่านลองทานของรสใหม่”
พอฮูหยินสวีได้ยินว่าตัวเองไม่เคยทานไม่ก่อน ทันใดนั้นก็คิดถึงเด็กบ้านตัวเองอย่างสวีเฉิงเจ๋อที่ชอบอ่านชอบกินเป็นชีวิตจิตใจขึ้นได้ ช่วงนี้ไม่รู้เจ้าเด็กนั่นเป็นอะไรเดี๋ยวก็บอกว่าพ่อครัวทำอาหารไม่อร่อย เดี๋ยวก็บอกว่านั่นไม่อร่อย จนนางต้องเสียงแรงหาอาหารหลายประเภทมาให้เขาทาน ก็ยังไม่เห็นเขาถูกใจเลย
ไม่รู้ว่าช่วงนี้ปากของเด็กคนนั้นเป็นอะไร ถึงได้ทานยากขนาดนั้น เลี้ยงมาตั้งยี่สิบปีก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ในบ้านมีอะไรให้กินเขาก็กิน ไม่เคยเห็นบอกว่าชอบกินอะไรที่สุด และก็ไม่เคยพูดว่าไม่ชอบอะไรเหมือนกัน อะไรที่ทำให้เด็กคนนี้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้กันนะ
ฮูหยินสวีหวั่นไหวเล็กน้อย “ของที่พวกข้าไม่เคยกินหรือ”
“เจ้าคะ ท่านต้องไม่เคยกินแน่นอน” กู้เสี่ยวหวานเห็นฮูหยินสวีหวั่นไหวเล็กน้อย ก็รีบเปิดห่อผ้าออกมา แล้วพูดว่า “ดูสิเจ้าคะฮูหยินสวี ของสิ่งนี้น่ะรสชาติสดใหม่ล้ำเลิศ นำไปต้มหรือผัดก็อร่อยทั้งหมด”
ฮูหยินสวีเห็นของในห่อผ้าเป็นสีดำทั้งหมด หน้าตาดูคล้ายกับเห็ดหูหนูดำ ฮูหยินสวีหยิบขึ้นมาถาม “เสี่ยวหวาน นี่คืออะไรหรือ” เจ้านี้หน้าตาเหมือนเห็ดหูหนูมาก แต่ไม่ได้ใหญ่เท่ากับเห็ดหูหนู อีกทั้งเห็ดหูหนูนั่นเป็นสีดำทั้งหมด แต่เจ้านี้มีสีออกเหลือง ๆ
“ฮูหยินสวี นี่ก็คือเห็ดตี้มู่เจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานอธิบาย “เจ้านี่หน้าตาเหมือนเห็ดหูหนูมาก แต่เห็ดหูหนูนั้นโตที่ต้นไม้ ส่วนเจ้านี่โตในดิน มีชื่อเรียกว่าเห็ดตี้มู่”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดชื่ออื่นของเห็ดตี้มู่ เห็ดตี้มู่มีชื่ออีกหลายมาก ๆ ถ้าเกิดพูดออกไปแล้ว คงทำให้ฮูหยินสวีสงสัยเสียมากกว่า นางจึงเพียงบอกว่าเจ้านี่เหมือนกับเห็ดหูหนู แล้วโตบนพื้นดิน แล้วก็บอกแค่ว่ามันคือเห็ดตี้มู่ก็พอแล้ว
กู้เสี่ยวหวานคิดไว้ไม่ผิดหลังจากฮูหยินสวีได้ฟัง ก็รับกับชื่อเรียกนี้ได้เช่นกัน แต่ก็ยังมีความสงสัยเล็กน้อย “เจ้านี่กินได้หรือ”
“กินได้เจ้าค่ะ สองสามวันก่อน ข้ากับน้องสองคนไปที่ดินของพวกเรา แล้วก็เจอเจ้านี่พอดีเลยเก็บกลับมา พอทำความสะอาดดีแล้วก็ผัดข้าวกิน รสชาติอร่อยมากทีเดียว” กู้เสี่ยวหวานค่อย ๆ อธิบาย “ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเมื่อก่อนก็เคยเก็บมาทาน ตอนนั้นพวกเราก็เคยทานกันมาก่อนแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าฮูหยินสวีคงไม่เชื่อกันหากเป็นคำพูดของเด็ก จึงเพียงอ้างพ่อแม่ในชาติที่เสียไปแล้วว่าเคยกินสิ่งนี้ หลังจากพูดแบบนั้นให้ฮูหยินสวีฟัง นางถึงพยักหน้าในที่สุด “อร่อยหรือไม่”
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม ๆ “ฮูหยินสวี เช่นนั้นกลางวันนี้ท่านลองเอาไปทำสักหน่อย หากรสชาติไม่อร่อย ท่านชิมก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”
พอฮูหยินสวีได้ยินก็ปัด ๆ มือแล้วพูดว่า “ได้ ๆ ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้ว เจ้าก็อย่าเพิ่งไปตอนนี้เลย อยู่กินข้าวกลางวันด้วยกันก่อน เดี๋ยวข้าค่อยให้รถม้าไปส่งเจ้ากลับ”
กู้เสี่ยวหวานจำได้ว่าในบ้านยังมีเด็ก ๆ อีกสองคน จึงรีบปฏิเสธ “ไม่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินสวี ที่บ้านข้ายังมีน้องชายน้องสาวอยู่ลำพัง ข้าต้องรีบกลับบ้านค่ะ”
“เจ้าจะรีบกลับไปทำไมเล่า กินข้าวด้วยกันก่อนเถอะ หนิงผิงก็ไม่เด็กแล้ว เด็กคนนั้นรู้ความยิ่งนัก ต่อให้เจ้าไม่อยู่เขาต้องดูแลน้องสาวได้เป็นอย่างดี เจ้าวางใจเถอะยิ่งไปกว่านั้น หลายวันแล้วที่เจ้าไม่ได้เจอหนิงอัน กลางวันนี้ก็ได้เจอพอดีเลย” ฮูหยินสวีดึงตัวกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ ไม่ว่าอยางไรนางก็ต้องอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนจึงจะกลับไป กู้เสี่ยวหวานก็ยากจะปฏิเสธแล้วเช่นกัน จึงทำได้เพียงตกลง
เพราะว่าใกล้จะเที่ยงแล้วเหมือนกัน พ่อครัวของโรงอาหารก็ทำอาหารไว้หมดแล้ว ฮูหยินสวีไม่รู้ว่าของสิ่งนี้กินอย่างไร จึงพากู้เสี่ยวหวานมาสอนวิธีการทำอย่างละเอียด
เพราะว่ากู้เสี่ยวหวานคิดจะเข้าไปขายของ กู้เสี่ยวหวานจึงยังไม่คิดจะเปิดเผยให้คนอื่น ๆ เห็น จึงอธิบายให้ฮูหยินสวีฟัง ฮูหยินสวีก็พอจะเข้าใจเช่นเดียวกัน จึงไม่ได้พากู้เสี่ยวหวานไปห้องครัวใหญ่ แต่เอาวัตถุดิบที่ต้องใช้ไปยังห้องครัวเล็กของตน
กู้เสี่ยวหวานหยิบเห็ดตี้มู่มาหนึ่งช้อนใหญ่แช่ลงไปในน้ำ เพราะว่าก่อนหน้านี้นางล้างจนสะอาดแล้ว หลังจากแช่น้ำจนมันคืนสภาพแล้ว กู้เสี่ยวหวานแค่ล้างผ่านน้ำอีกสองรอบก็สะอาดแล้ว
หลังจากล้างเห็ดตี้มู่จนสะอาด กู้เสี่ยวหวานก็เตรียมไข่สองฟอง และพริกที่เพิ่งหันละเอียดเมื่อครู่ใส่เตรียมใส่ลงไป
หลังจากน้ำมันในกระทะร้อน นางก็ตอกไข่ไก่ลงไปแล้วใช้กระบวยคนไข่ตามเข็มนาฬิกาอย่างรวดเร็ว หลังจากไข่สุกก็ตักขึ้นมาพักไว้ ที่ก้นกระทะยังมีน้ำมันเหลืออยู่ นางผัดกระเทียมจนมีกลิ่นหอม จากนั้นก็ตามด้วยเห็ดตี้มู่ ผัดให้เข้ากัน จากนั้นก็จนนำไข่ที่ผัดดีแล้วกับพริกสับตามลงไปผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ใส่เกลือ แล้วตักใส่จาน
ฮูหยินสวีจ้องมองด้านข้างอย่างละเอียด มองท่าทางคล่องแคล่วของกู้เสี่ยวหวาน ก็อดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้