บทที่ 219 ถึงเมืองรุ่ยเสียน
บทที่ 219 ถึงเมืองรุ่ยเสียน
กู้เสี่ยวหวานมาถึงด้านหน้าที่ปูรองนั่ง ก็เห็นว่าบนนั้นมีขนมที่ดูละเอียดประณีตวางอยู่จำนวนหนึ่ง
ขนมนั่นมีจำนวนเยอะมาก กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เตรียมของว่างของตัวเองออกมาแล้ว รอไว้หิวค่อยเอาออกมาแล้วกัน
เสี่ยวลู่วางของไปด้วย พลางพูดว่า “เดี๋ยวคุณชายของข้าก็กลับมาแล้ว พวกเจ้ากินกันก่อนเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ไว้รอคุณชายของเจ้ากลับมาก่อนค่อยกินเถอะ”
เสี่ยวลู่พูดตอบรับหนึ่งเสียงแล้ววางของให้เรียบร้อย ทั้งยังนำถ้วยชาออกมารินให้แต่ละคน ครั้นดื่มชาในถ้วยหมดแล้วสวีเฉิงเจ๋อก็เดินกลับมาพอดี
หลังจากกินขนมรองท้องก็รอย่อยก่อนสักพัก ทุกคนจึงออกเดินทางอีกครั้ง
ตอนนี้เส้นทางไม่ค่อยไกลมากแล้ว เริ่มมองเห็นบ้านคน ยิ่งไปข้างหน้ายิ่งเห็นบ้านเรือนเยอะมากเท่านั้น อีกทั้งถนนก็ยิ่งกว้าง ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นหมู่บ้านรอบ ๆ เมืองรุ่ยเสียน และน่าจะไม่ไกลจากเมืองรุ่ยเสียนแล้ว
รถม้าวิ่งราว ๆ ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็หยุดลง เสี่ยวลู่ส่งเสียงเข้ามาว่า “คุณชายขอรับ พวกเราถึงเมืองรุ่ยเสียนแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานรีบมองหน้าต่างรถม้า รถม้าหยุดอยู่ตรงหน้าบานประตูใหญ่บานหนึ่ง ด้านหน้าประตูมีก้อนหินก้อนหนึ่งสลักคำว่า ‘รุ่ยเสียน’ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมืองนี้เทียบไม่ได้กับเมืองหลิวเจียเลยสักนิด นอกจากเมืองหลวงแล้วเมืองที่ใหญ่และเจริญรุ่งเรืองที่สุดก็คงเป็นเมืองในเขตนี้แล้ว และเมืองรุ่ยเสียนก็คือหนึ่งในนั้น
รถม้าค่อย ๆ ขับเข้าไปในเมืองรุ่ยเสียน ระดับความหรูหราแน่นอนว่าเมืองหลิวเจียนั้นเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว
เมืองหลิวเจีย คนที่สามารถสวมอาภรณ์ผ้าแพรได้นั้นหาได้ยากยิ่ง แต่ทันทีที่เข้ามาในเมืองรุ่ยเสียน นางก็เห็นคนส่วนมากสวมอาภรณ์ด้วยผ้าแพรเป็นปกติ แล้วพวกขายของแผงลอยไม่ว่าจะจำนวน สิ่งของ รูปแบบ ทั้งหมดต่างก็มีมากมาย รวมไปถึงร้านค้ารอบข้าง แค่มองมาจากข้างนอกก็เห็นการตกแต่งร้านที่ดูหรูหราอย่างยิ่ง คนที่เดินริมถนนยังเยอะกว่ามาก
กู้เสี่ยวหวานมองร้านรวงอย่างตื่นเต้น แม้ว่าจะนั่งรถม้ามากว่าสามชั่วยาม แต่เพียงเข้ามาในเมืองรุ่ยเสียนตัวนางก็เริ่มอยู่ไม่สุข สมองของกู้เสี่ยวหวานคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ดวงตามองเก็บรายละเอียดของร้านต่าง ๆ แล้วครุ่นคิดอย่างตาไม่กล้ากะพริบ ด้วยกลัวว่าตัวเองจะพลาดสิ่งใดไป
“เสี่ยวหวาน ข้าจะไปส่งเจ้าที่ร้านจิ่นฝูเพื่อพบกับเสี่ยวเซิ่งจื่อก่อน จากนั้นข้าค่อยไปร้านหนังสือ เจ้าว่าเป็นอย่างไร” สวีเฉิงเจ๋อพูดแสดงความคิดเห็น มองท่าทางนั้นของกู้เสี่ยวหวานที่มีจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สวีเฉิงเจ๋อจึงพูดซ้ำอีกครั้ง นางก็ยังไม่ได้สติกลับมา ทำให้กู้หนิงผิงทนดูไม่ได้อีกต่อไป รีบไปดึงตัวกู้เสี่ยวหวานเรียกเสียงเบา ๆ ว่า “ท่านพี่ พี่เฉิงเจ๋อพูดกับท่านอยู่นะ”
กู้เสี่ยวหวานจึงได้สติกลับมาและรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “หืม ขออภัยเมื่อครู่ข้าเหม่อลอยไปหน่อย”
สวีเฉิงเจ๋อมองท่าทางของกู้เสี่ยวหวานแล้วก็รู้สึกน่ารักยิ่งนัก จึงยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไร ๆ ตอนที่ข้ามาครั้งแรกก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เห็นอะไรก็แปลกประหลาดไปหมด ไว้พอพวกเราเสร็จธุระแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าเดินเล่นเอง”
นั่นตรงใจของกู้เสี่ยวหวานพอดี นางจึงตอบรับอย่างดีใจยิ่ง “ดีจัง! เช่นนั้นก็ขอคุณพี่เฉิงเจ๋อแล้ว”
พอยิ้ม ดวงตาก็โค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ภายในเปล่งประกายราวกับมีดวงดาวอยู่ภายในนั้นก็ไม่ปาน ทำคนมองยากจะละสายตา
สวีเฉิงเจ๋อมองเหม่อ รอจนกระทั่งรู้ตัวว่าเผลอตัวทำอะไรไปก็ก้มหน้ายิ้มบาง ๆ มองกู้เสี่ยวหวานอย่างซับซ้อน จนนางนึกว่ามีอะไรติดหน้าตัวเองหรือไม่ จึงแอบจัดแขนเสื้อสองข้างอยู่ ๆ เงียบ
พอถึงร้านจิ่นฝู สวีเฉิงเจ๋อก็รีบลงรถม้า กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงตามลงมาเช่นกัน คนที่สี่ที่ลงมา เป็นกู้เสี่ยวอี้ที่สวีเฉิงเจ๋ออุ้มนางลงมา รอจนกระทั่งกู้เสี่ยวหวานลงรถม้าแล้วสวีเฉิงเจ๋อจึงยื่นแขนขวาให้นาง เดิมทีกู้เสี่ยวหวานคิดจะกระโดดลงเลียนแบบตามน้องชายสองคนของตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าสวีเฉิงเจ๋อกลับยื่นมือมา เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นน่าจะต้องการให้ช่วยประคองตัวเองลงไปเป็นแน่
กู้เสี่ยวหวานคิดว่าไม่เช่นนั้น นั่นจะเป็นการหักหน้าของสวีเฉิงเจ๋อ นางจึงวางมือบนแขนขวาของเขาแทน
มือของกู้เสี่ยวหวานนั้นทั้งนิ่มทั้งอ่อนโยน เพียงวางลงไปก็เหมือนวางมือลงบนใจของสวีเฉิงเจ๋อ ร่างของเขากระตุกเต้นทันทีที่มือของกู้เสี่ยวหวานสัมผัสแขนของเขา จากความช่วยเหลือของสวีเฉิงเจ๋อ กู้เสี่ยวหวานก็กระโดดเบา ๆ ลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง นางก็ดึงมือกลับไป
สัมผัสที่ทั้งนิ่มและอ่อนโยนเมื่อครู่หายไป สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกเหมือนใจหาย แต่ว่าเพียงพริบตาก็ดีใจขึ้นมา ลูบแขนขวาข้างนั้นของตัวเองแล้วพาพวกกู้เสี่ยวหวานเข้าร้านจิ่นฝู
ครั้งก่อนตอนที่มาร้านจิ่นฝู ก็สร้างความเสียใจอย่างมากให้กับกู้เสี่ยวหวานไปแล้ว ครั้งนี้มายืนหน้าร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกฮึกเหิมเมื่อเห็นว่าร้านนี้นั้นหรูหราเพียงใด
อาคารของร้านจิ่นฝูเป็นอาคารสามชั้น เหนือประตูเขียนด้วยหมึกสีทองตัวใหญ่สามคำว่า ‘ร้านจิ่นฝู’ กู้เสี่ยวหวานมองสำรวจตัวอักษรสามตัวนี้เหมือนกับอักษรที่เขียนในเมืองหลิวเจียไม่มีผิด แต่ต่างกันที่ความเล็กใหญ่เท่านั้น ดูเหมือนว่าขอเพียงเป็นกิจการร้านจิ่นฝูก็จะใช้รูปแบบตัวอักษรเหมือนกันทั้งหมดสินะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าอักษรสามตัวนี้ผู้ใดเป็นคนเขียน ดูจากลายมือแล้วน่าจะเป็นคนคนเดียวกัน ตัวอักษรนี้ทั้งแข็งแรงหนักแน่นราวกับฝีมือของนักเขียนพู่กันจีน ดูแล้วผู้เขียนน่าจะมีฝีมือและมีความรู้ไม่เบา ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจเขียนป้ายร้านผู้อื่นได้แบบนี้
ดูเหมือนว่าในตอนนี้คนโบราณเองก็คงจะเริ่มคิดชื่อร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแล้วสินะ…
เมื่อเข้ามาในร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานจึงเข้าใจว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของที่นี่แล้ว สถานที่แห่งนี้ตกแต่งเหมือนกับร้านจิ่นฝูที่เมืองหลิวเจียทุกอย่าง เพียงแต่ที่หนึ่งใหญ่กว่าและอีกที่หนึ่งเล็กกว่าเท่านั้น
อีกทั้งน่าจะเพราะเพิ่งตกแต่งไม่นาน สีสันจึงยิ่งดูยิ่งฉูดฉาด
สวีเฉิงเจ๋อดึงเสี่ยวเอ้อมาแล้วพูดอะไรบางอย่าง พอเสี่ยวเอ้อได้ยินก็รีบเดินไปอีกทางหนึ่ง ไม่นานเสี่ยวเซิ่งจื่อก็เดินมาด้วยฝีเท้ารีบเร่ง
พอเห็นสวีเฉิงเจ๋อและกู้เสี่ยวหวานเขาก็ตะลึง ริมฝีปากฉีกยิ้มไปจนถึงใบหูด้านหลัง “ญาติผู้พี่ แม่นางกู้ พวกท่านมาได้อย่างไร”
สวีเฉิงเจ๋อบอกเหตุผลที่ตัวเองมาแล้วก็อธิบายเหตุผลแก่กู้เสี่ยวหวาน
เนื่องจากสวีเฉิงเจ๋อต้องไปร้านหนังสือ จึงให้เสี่ยวเซิ่งจื่อต้อนรับกู้เสี่ยวหวานต่อ แล้วตัวเองจึงรีบออกไปที่ร้านหนังสือ
ครั้นเห็นท่าทางรีบร้อนจะออกไปของสวีเฉิงเจ๋อ กู้เสี่ยวหวานก็กลัวว่าสวีเฉิงเจ๋อน่าจะยุ่ง ทั้งสองต่างมีธุระ ในเวลาปกติเขาดูแลกู้หนิงอันถึงขนาดนั้น กู้เสี่ยวหวานจึงตัดสินใจให้กู้หนิงอันไปร้านหนังสือกับสวีเฉิงเจ๋อด้วย
เมื่อเห็นพวกเขาจากไป เสี่ยวเซิ่งจื่อก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบอกไม่มีผิดเลยใช่หรือไม่ ญาติผู้พี่ของข้าน่ะเป็นพวกบ้าหนังสือ ขอเพียงมีหนังสือก็จะรีบวิ่งไปอย่างไวเลยล่ะ”
เพียงแต่ว่าเสี่ยวเซิ่งจื่อกลับเดาผิดแล้ว
ตั้งแต่ครั้งแรกหนังสือนั้นไม่ได้ทำให้สวีเฉิงเจ๋อหลงใหลคลั่งไคล้มากมายอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่าไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น