บทที่ 227 ข้ามาเพื่อตอบแทน
บทที่ 227 ข้ามาเพื่อตอบแทน
เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวเช่นนั้น ป้าจางก็คิดถึงอดีตที่โดดเดี่ยวและไร้หนทางของเด็กเหล่านี้ เมื่อคิดเช่นนั้นขอบตาของนางก็แดงขึ้นเล็กน้อย ภายใต้แสงเทียนสลัว เงาของทุกคนต่างทอดยาวไปบนกำแพง
กู้เสี่ยวหวานจึงกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ข้าสามารถหาเงินเองได้แล้ว พวกท่านก็เห็น”
ลุงจางและป้าจางพยักหน้า
“ดังนั้นพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้าแล้ว พวกท่านแค่ต้องหาเงินให้มากขึ้นเพราะในอนาคตพี่ฉือโถวยังต้องแต่งงานและมีลูกอีก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องใช้เงิน เอาอย่างนี้ ถ้าหากวันใดที่ข้าไม่มีเงินขึ้นมา ข้าจะมายืมพวกท่าน ท่านว่าเป็นอย่างไร?”
ลุงจางกับป้าจางหันไปสบตากัน และมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง พวกเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ตกลง สาวน้อยเสี่ยวหวาน ถ้าในอนาคตเจ้ามีปัญหาเรื่องเงินขึ้นมา เจ้าต้องบอกข้ากับป้าของเจ้านะ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานตอบ “ในโลกนี้คนที่พร้อมจะช่วยเหลือพวกข้าก็มีแค่ครอบครัวของท่านนี่แหละเจ้าค่ะ”
เมื่อคนทั้งสองได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เด็กพวกนี้รู้จักทดแทนบุญคุณ
ฉือโถวที่ยืนอยู่หน้าประตูล้วนได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันทั้งหมด เพราะค่ำคืนที่มืดมิดจึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้
คราวนี้เมื่อนางกลับมาจากเมืองรุ่ยเสียน กู้เสี่ยวหวานก็สร้างรายได้มหาศาลเช่นกัน เพราะมีเงินจำนวนมากนี้อยู่ในมือของนางจึงรู้สึกไม่สบายใจ หากนางถูกใครบางคนหลอกล่ะ นางกลัวว่าจะถูกทุบตีอีก
กู้เสี่ยวหวานได้ตัดสินใจแล้ว จึงกล่าวกับลุงจางและป้าจางว่า “ท่านลุง ท่านป้า ครั้งนี้ที่ไปเมืองรุ่ยเสียนข้าก็หาเงินมาได้บ้างแล้ว ข้าจึงอยากจะขอความเห็นจากท่านทั้งสอง หากผู้ใดต้องการขายที่ดินหรือที่นา ถ้าราคาเหมาะสมข้าก็อยากจะซื้อเอาไว้”
เมื่อป้าจางได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกตกตะลึง
“สาวน้อยเสี่ยวหวาน เมื่อครู่เจ้าพูดว่าจะซื้อที่ดินอย่างนั้นหรือ?” ป้าจางกลัวว่าเพราะตนเองอายุมากแล้วคงจะหูแว่วไปเอง นางจึงกล่าวถามอีกครั้ง
กู้เสี่ยวหวานมองป้าจางและลุงจางสลับไปมา นางเห็นว่าผู้อาวุโสทั้งสองทั้งตกใจและประหลาดใจไปในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เชื่อว่านางจะไปซื้อที่ดิน แต่พวกเขาก็รู้สึกยินดีที่นางสามารถซื้อที่ดินได้
“อืม ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง พูดตามตรง ครั้งที่แล้วที่เสี่ยวอี้ป่วยหนัก พวกท่านก็รู้ว่าข้าใช้เงินไปมากมาย เงินพวกนั้นเป็นเงินที่ข้าหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของข้า และช่วงนี้ข้าก็หาเงินมาได้จำนวนหนึ่ง ข้ากลัวว่าจะมีผู้ใดต้องการมาเอาเงินของข้าไปอีก ดังนั้นข้าจึงอยากจะซื้อที่ดินเอาไว้ ครอบครัวข้ามีเพียงเด็กสี่คน ไม่มีแรงงาน หลังจากซื้อที่ดินแล้วข้าก็จะให้คนมาเช่า แล้วรอให้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วค่อยเก็บค่าเช่าจากพวกเขาแทน”
กู้เสี่ยวหวานคิดมาเยอะแล้ว ในโลกก่อน ถ้าคนต้องการความรู้สึกปลอดภัยก็จะซื้อบ้าน ในวันนี้ที่ดินก็เปรียบเสมือนความมั่งคั่ง การซื้อที่ดินก็เหมือนกับการซื้อความปลอดภัย กู้เสี่ยวหวานวางแผนไว้ว่าจะซื้อที่ดินจำนวนหนึ่ง ถ้าตนเองสามารถปลูกอะไรได้ก็ปลูก ถ้าไม่อยากปลูกอะไรก็ให้คนอื่นเช่าไป หนึ่งคือไม่สามารถปล่อยให้ที่ดินรกร้างได้ สองคือต้องการรายได้ที่มั่นคง สามคือต้องการมีหน้ามีตา
กู้หนิงอันเรียนหนังสืออยู่ ในอนาคตแน่นอนว่าต้องสอบซิ่วไฉและสอบจวี่เหริน ถ้าครอบครัวไม่มีทรัพย์สมบัติไว้ในครอบครองก็อาจจะทำให้ผู้อื่นมาดูถูกเอาได้
ในวันนี้มีครอบครัวที่คล้ายกับครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานอยู่ มีที่ดินน้อย และต้องใช้แรงเพื่อเลี้ยงปากท้อง พวกเราต้องไปเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตรจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีผู้เช่าเลย
คล้ายกับที่กล่าวไปเมื่อสักครู่ นางจะเก็บค่าเช่าไม่แพงและผู้เช่าก็จะบูชานางราวกับพระโพธิสัตว์ ด้วยวิธีนี้จะเป็นการสร้างชื่อเสียงที่ดีให้น้องชายได้ หากในอนาคตเขาสามารถเข้าไปรับราชการในพระราชวังได้ นี่ก็จะเป็นการสะสมฐานเสียงจากผู้คนไปด้วย!
ในที่สุดก็รู้ว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไป กู้เสี่ยวหวานต้องการซื้อที่ดินจริง ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นป้าจางก็ตาเป็นประกายและตัวสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น “เจ้าต้องการซื้อที่ดิน?อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
“ใช่แล้ว สาวน้อยเสี่ยวหวาน ถ้ามีเงินก็เอาไปซื้อที่ดิน ถ้าปลูกอะไรไหวก็ปลูก ถ้าปลูกไม่ไหวก็ให้ผู้อื่นเช่าไปเสีย ที่หนึ่งหมู่ในหนึ่งปีก็สามารถเก็บค่าเช่าได้หลายตำลึงเงินแล้ว” ลุงจางก็กล่าวกับกู้เสี่ยวหวานด้วยความตื่นเต้น
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าทั้งคู่เห็นชอบให้ซื้อที่ดิน ดูเหมือนว่าในช่วงพันปีที่ผ่านมาความคิดของผู้คนไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย มีที่ดินก็จะมีความรู้สึกปลอดภัย อย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่หิวโหย
“ท่านป้าจาง โปรดช่วยข้าดูว่ามีผู้ใดต้องการขายที่ดินหรือไม่ เมื่อข้าซื้อที่ดินได้แล้วค่อยคิดอีกที!” กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจ ดูเหมือนว่าจะต้องซื้อที่ดินและควรสำรองเงินไว้บ้าง ส่วนเงินที่เหลือก็ใช้ซื้อที่ดินให้หมด
“ตกลง ไม่ต้องห่วง ข้าจะคอยดูให้ว่าใครต้องการขายที่ดินบ้าง”
เป็นเรื่องที่ดีที่เรื่องการซื้อที่ดินได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มีเงินอยู่ในมือแล้ว รอแค่คนขายที่ดิน
เมื่อกลับถึงบ้าน เนื่องจากวันนี้วิ่งวุ่นมาทั้งวัน นางจึงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ไม่นานกู้เสี่ยวหวานก็ผล็อยไป
หลังจากคืนหนึ่งที่ปราศจากความฝัน ในรุ่งสางมีเสียงไก่ร้องดังมากจากลานบ้าน กู้เสี่ยวอี้รีบตื่นขึ้นมาและรีบตบไปที่กู้หนิงผิงที่นอนอยู่ด้านข้าง เพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะตื่น นางกระซิบเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่ ลูกเจี๊ยบหิวแล้ว รีบตื่นเร็ว”
กู้หนิงผิงพลิกตัวและตอบรับหนึ่งคำ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา กู้เสี่ยวหวานที่กำลังสะลึมสะลือ นางเห็นทั้งสองกำลังเดินย่องออกไปเพราะกลัวว่าจะทำให้ตนเองตื่น เมื่อรอจนทั้งสองออกไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานที่กลั้นหัวเราะไม่ไหวก็ระเบิดหัวเราะออกมา
กู้เสี่ยวหวานลืมตาขึ้น เพราะนางไม่สามารถหลับได้แล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้น
ขณะที่นางกำลังลุกขึ้น ประตูก็ถูกผลักมาจากด้านนอก
“ท่านพี่ ท่านพี่ รีบตื่นเร็ว!” กู้หนิงผิงรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก
กู้เสี่ยวหวานคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบกระโดดลงจากเตียงทันที และรีบวิ่งออกจากบ้านโดยไม่ทันคิด
ลานหน้าบ้านมีร่างสูงยืนอยู่ภายนอก ร่างสูงโปร่ง ผมสีดำขลับ ร่างนั้นใส่ชุดคลุมสีดำ เพียงมองแค่แผ่นหลังก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่ามีคนออกมาจากบ้าน ร่างนั้นก็หันหลังกลับมาและพบว่านั่นคือกู้เสี่ยวหวาน เขาจึงคลี่ยิ้มออกมา “ผู้มีพระคุณ”
กู้เสี่ยวหวานตกใจ เดิมทีชายผู้นี้เป็นคนที่นางช่วยมาจากแม่น้ำในวันนั้น หลังจากนั้นเขาก็หายไปโดยไม่บอกลา
“เจ้า” กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจคนผู้นี้เลยจริง ๆ ตอนนั้นก็ไปโดยไม่บอกลา และไม่นานหลังจากนั้นก็กลับมา แท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ นางรู้สึกสับสนยิ่งนัก
เมื่อฉินเย่จือเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานจ้องมองตนเองอย่างระมัดระวัง เขารีบก้าวไปข้างหน้าพลางเปลี่ยนสีหน้าไป และความรู้สึกผิดของเขาก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน “ขอบคุณผู้มีพระคุณมากที่ช่วยชีวิตของข้า ความกรุณาอันยิ่งใหญ่นี้ไม่สามารถตอบแทนได้เลย ข้าทำได้เพียงอยู่รับใช้เป็นวัวเป็นม้า*[1]เพื่อตอบแทนเท่านั้น!”
*[1] เชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่น ส่วนใหญ่ใช้เพื่อแสดงความจริงใจอย่างสุดซึ้งของคนที่กตัญญู