บทที่ 250 คืนถุงเงิน
บทที่ 250 คืนถุงเงิน
อาการเจ็บแปลบจากลูกกระเดือก ปลายไม้ไผ่ที่ทิ่มผิวหนังของหลี่ซื่อทำให้เขาหายใจไม่ออกเพราะความเจ็บปวด
“ไว้ชีวิตข้า ไว้ชีวิตข้า ข้าจะให้ ข้าจะให้!” เมื่อกล่าวจบ เขาก็หยิบถุงเงินออกจากแขนเสื้อแล้วโยนออกไป “ทั้งหมดอยู่นี่ ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย!”
ฉินเย่จือหยิบถุงเงินขึ้นมาเก็บไว้ในอกของเขา และดึงไม้ไผ่ออก ชี้ไปที่หลี่ซื่อแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีก”
ในที่สุดปลายไม้ไผ่ที่ทิ่มลูกกระเดือกก็ถูกนำออกไป หลี่ซื่อล้มลงบนพื้น หายใจหอบหนัก และพึมพำอยู่ในใจว่า อย่าว่าแต่เจ้าไม่อยากพบข้าเลย ข้าก็ไม่อยากพบเจ้าเช่นกัน วันนี้มันวันอะไร เหตุใดถึงโชคร้ายเช่นนี้
บาดแผลที่คอเป็นเพียงรอยขีดข่วน ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับหลี่ซื่อที่ถูกทุบตีมาตลอด หลี่ซื่อคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้างุดไม่ยอมเงยขึ้น เมื่อเขากำลังคิดว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงไม่จากไปเสียที จู่ ๆ ก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “เจ้าคือหลี่ซื่อใช่หรือไม่?”
หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นเด็กหญิงตัวเล็กอายุราว ๆ แปดเก้าขวบมองมาที่เขาอย่างมีความหมาย
หลี่ซื่อดูเหมือนจะเคยเห็นเด็กหญิงผู้นี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อน เขากลอกตาครุ่นคิด ในที่สุดก็จำได้ ชายหนุ่มเช็ดเลือดบริเวณลำคอ และกล่าวเบา ๆ ว่า “แม่นางกู้ เป็นเจ้านี่เอง เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
น้ำเสียงนี้แตกต่างจากเสียงเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง
ในเวลานั้น กู้เสี่ยวหวานก็ถูกการปลอมตัวของคนผู้นี้หลอกเข้า เดิมทีคิดว่าคนผู้นี้เป็นปัญญาชนอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามเช่นนี้ เขาควรจะมีจิตใจที่ดี แต่ไม่คาดคิดว่า…
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานหม่นลงในทันที นางก็ชี้ไปที่หลี่ซื่อและเอ่ยถามว่า “เจ้ากับหมอเหลยเป็นอาจารย์และศิษย์กันหรือไม่?”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มพลันเกิดขึ้นบนใบหน้าของหลี่ซื่อ ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสักครู่ เหมือนว่านางจะตามเขามาตลอดทาง
หลี่ซื่อรู้สึกว่าเขาไม่ต้องแสร้งทำอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างประชดประชัน “แล้วอย่างไร? เจ้ารู้อยู่แล้วยังต้องถามอะไรอีก!”
ครั้นเห็นท่าทางไม่สำนึกผิดของชายผู้นี้ กู้เสี่ยวหวานก็โกรธขึ้นมา “พวกเจ้าทั้งสองร่วมมือกันเพื่อหลอกลวงผู้ป่วย พวกเจ้าไม่กลัวการลงโทษหรืออย่างไร?”
“การลงโทษ การลงโทษอะไรเล่า?” หลี่ซื่อมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
“ข้าจะแจ้งทางการ!” เมื่อเห็นว่าหลี่ซื่อยังคงเป็นเช่นนั้น กู้เสี่ยวหวานก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“เจ้าก็ไปซะสิ พวกนั้นคือพี่น้องของอาจารย์ข้า” หลี่ซื่อสูดหายใจอย่างเย็นชา แล้วรุดขึ้นหน้าเพื่อผลักกู้เสี่ยวหวาน “ออกไป ๆ”
ฉินเย่จือที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เดิมคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองได้ แต่เขาไม่คิดว่าหลี่ซื่อจะเริ่มเคลื่อนไหว ฉินเย่จือกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะเสียเปรียบ ดังนั้นเขาจึงรีบคว้าคอเสื้อของหลี่ซื่อแล้วเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไป จากนั้นหลี่ซื่อก็ล้มลงบนพื้นอย่างแรง
“โอ๊ย…” หลี่ซื่อร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“หลี่ซื่อ เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วว่าแม่นางกู้เอ่ยถามอะไร เจ้าต้องตอบตามจริง ถ้าเจ้าไม่พูด วันนี้ข้าจะโยนเจ้าต่อไป อย่างไรเสียเจ้าก็คงไม่ตาย แต่คงจะพิการไปตลอดชีวิต” การที่ฉินเย่จือจะฆ่าคน เขาไม่เคยถามเหตุผล มีทั้งคนที่ทำให้เขาขุ่นเคือง และคนที่ทรยศต่อเขา ท้ายที่สุดก็คือความตาย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการฆ่าผู้ใดต่อหน้ากู้เสี่ยวหวาน เพราะเกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรก ฉินเย่จือก็กลัวว่านางจะทนไม่ได้
“ไว้ชีวิตข้า ไว้ชีวิตข้าเถอะ!” หลี่ซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าจะพูด ข้าจะพูดทั้งหมด!”
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองที่ฉินเย่จืออย่างขอบคุณ ก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าน้องสาวของข้าถูกเหลียงต้าเปาพาตัวไป”
“อาจารย์ของข้าบอกข้า!”
“แล้วอาจารย์ของเจ้ารู้ได้อย่างไร?” กู้เสี่ยวหวานถามกลับอย่างรวดเร็ว “เจ้าอยู่ในเมืองหลิวเจีย เราอยู่ในหมู่บ้านอู๋ซี พวกเราไม่รู้จักกัน แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นพวกเรา?”
“ข้า…ข้าไม่รู้! ” หลี่ซื่อตอบ “อาจารย์ของข้ามาพบข้า และบอกลักษณะให้ข้ารู้ จากนั้นก็ให้พาพวกเจ้าไปที่โรงหมอของเขาเพื่อไปพบหมอโดยไม่พูดอะไรอีก!”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าคนผู้นี้ไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในวันนั้น และคาดเดาว่าสิ่งที่คนผู้นี้พูดนั้นเป็นความจริง
“ดูเหมือนว่าเรื่องในวันนั้นข้าต้องถามจากหมอแซ่เหลยผู้นั้น” ฉินเย่จือที่ได้รับข้อมูลมาจากอาโม่ และจากคำถามที่กู้เสี่ยวหวานถามเมื่อสักครู่ ครั้นรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นเข้าด้วยกันก็สามารถรู้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
กู้เสี่ยวหวานทั้งโกรธทั้งกังวล และเตะไปที่หลี่ซื่ออย่างแรง “ถ้าในอนาคตเจ้ายังกล้าที่จะหลอกลวงผู้คนอีก ถ้าข้าเจออีกครั้งข้าจะตีเจ้าแน่”
หลี่ซื่อรีบสัญญา “แม่นางไม่ต้องห่วง ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้าอีกแล้ว!”
ฉินเย่จือมองไปที่ถุงเงินในมือของตนเอง จากนั้นจึงดึงตัวกู้เสี่ยวหวานและกล่าวว่า “คนเช่นนี้เราค่อยมาจัดการในภายหลังก็ได้ ถุงเงินใบนี้เป็นของหญิงสาวผู้นั้น เกรงว่าถุงเงินหายก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจมากแค่ไหน พวกเรารีบเอาไปให้นางกันเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนผู้นี้จะเป็นคนที่อบอุ่นเช่นนี้ ในตอนแรกนางไม่มีใครและต้องต่อสู้เพียงลำพัง แต่ต่อมาเขาก็มาหาหลี่ซื่อผู้นี้กับนาง และเห็นว่าหลี่ซื่อขโมยถุงเงินของคนอื่น กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ข้างฉินเย่จือก็รีบเดินไปทางนั้น
เนื่องจากความสูงและขาที่ยาวของฉินเย่จือ เพียงก้าวเดียวของเขาจึงถือได้ว่าเป็นสองหรือสามก้าวของกู้เสี่ยวหวาน แต่เพื่อเอาใจใส่กู้เสี่ยวหวาน ความเร็วในการเดินของฉินเย่จือจึงช้าลงมาก และสอดคล้องไปกับการเดินของกู้เสี่ยวหวาน
ทั้งคนสองคนมาถึงสถานที่ขายข้าวเก่าเมื่อสักครู่ และยังมีอีกหลายคนที่กำลังแย่งกันซื้ออยู่ที่นั่น ฉินเย่จือกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นหญิงสาวคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ กำลังร้องไห้อย่างเศร้าโศก “เจ้าโจรผู้นั้น นี่เป็นการฆ่าครอบครัวข้าทั้งเป็น!”
หญิงผู้นั้นยังคงร้องไห้ และไม่มีผู้ใดปลอบใจนางเลย
เมื่อฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานต้องการเดินออกไปเพื่อคืนถุงเงินให้กับหญิงผู้นั้น ฉินเย่จือก็พบรถม้าที่คุ้นเคย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มอบถุงเงินให้กู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานกะพริบตาโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางเพียงได้ยินฉินเย่จือกล่าวว่า “เจ้าเอาไปมอบให้กับนางเถอะ!”
กู้เสี่ยวหวานจึงเอ่ยถามกลับว่า “ทำไมเจ้าไม่ไปล่ะ?” คนผู้นี้ทำความดีนะ เหตุใดทำความดีแล้วถึงไปแสดงตัวกันล่ะ?
ฉินเย่จือชี้ไปที่ใบหน้าของตนเองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเกรงว่าข้าคงจะทำให้เขาสงสัยโดยไม่มีเหตุผล”