บทที่ 251 เหลยกู้ผู้สมรู้ร่วมคิด
บทที่ 251 เหลยกู้ผู้สมรู้ร่วมคิด
กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจว่าความสงสัยที่เขาเอ่ยคือสิ่งใด แต่เพื่อไม่ให้หญิงผู้นั้นร้องไห้อีก กู้เสี่ยวหวานจึงเดินไปพร้อมกับถุงเงิน เข้าไปหาหญิงผู้นั้นและกล่าวว่า “พี่สาว อย่าร้องไห้เลย เมื่อสักครู่ระหว่างทางข้าเก็บถุงเงินนี้ได้ ไม่รู้ว่าใช่ของท่านหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กหญิงอายุแปดเก้าขวบ หญิงผู้นั้นจึงคิดว่านางล้อเล่น แต่เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานมองนางด้วยความจริงใจ หญิงผู้นั้นก็รู้สึกตื่นเต้นมาก นี่นางทำมันหล่นระหว่างทางจริงหรือ?
“ถุงเงินของข้าเป็นสีเทา และปักลวดลายกลีบดอกไม้สีชมพูอยู่ก้นถุง และมีเศษเงินอยู่สองตำลึงเงิน” หญิงสาวมองดูกู้เสี่ยวหวานอย่างกระตือรือร้น โดยหวังว่ากระเป๋าเงินที่สาวน้อยผู้นี้เก็บได้จะเป็นของตนเอง
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและพยักหน้า เมื่อสักครู่นางได้ดูลักษณะของถุงเงินอย่างละเอียดและดูว่ามีเงินอยู่ในนั้นมากน้อยแค่ไหน ครั้นเห็นว่าหญิงผู้นั้นตอบถูก จึงรู้ว่าถุงเงินต้องเป็นของหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้านางอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางจึงหยิบถุงเงินออกจากอกและส่งให้ “พี่สาว ลองดูว่าใช่หรือเปล่า”
เพียงชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว หญิงผู้นั้นก็จำถุงเงินของตนได้ทันที และยิ้มอย่างมีความสุข “เป็นของข้า มันเป็นของข้า!”
นางหยิบถุงเงินแล้วกำไว้ในมือแน่น เหลียวซ้ายแลขวา และเก็บไว้ในอกเพราะกลัวว่ามันจะหายไปอีก จากนั้นจึงจับมือของกู้เสี่ยวหวานไว้แน่น น้ำตาของนางหลั่งรินออกมาอย่างตื่นเต้น “สาวน้อย ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามาก!”
“ท่านไม่นับเงินในนั้นหรือ?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถาม เพราะนางเพียงบีบมันแล้วใส่กลับเข้าไปในอกของนาง
หญิงผู้นั้นส่ายหัวอย่างรวดเร็ว นางรู้ ไม่ว่าถุงเงินนั้นจะหล่นหรือถูกขโมยไป แต่สาวน้อยผู้นี้ก็สามารถนำมันกลับมาได้ซึ่งพิสูจน์ว่านางต้องไม่เคยแตะต้องถุงเงินแน่นอน
“สาวน้อย ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเงินของข้าหายไป และถูกคนเก็บได้ขึ้นมามันคงไม่ถูกนำมาคืนอย่างแน่นอน ถ้ามันถูกนำคืนมาก็แน่นอนว่าในนั้นต้องมีเงินอยู่!” หญิงผู้นั้นอธิบาย
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าหญิงผู้นี้ค่อนข้างมีเหตุผล
“ท่านรีบไปซื้อข้าวแล้วกลับบ้านเถอะ” กู้เสี่ยวหวานยังมีสิ่งที่ต้องทำอีก ดังนั้นนางจึงบอกลาหญิงผู้นั้น
ฉินเย่จือที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ และคอยมองสังเกตการณ์ เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานกำลังเดินเข้ามา จึงรีบออกมาจากมุมนั้นและโบกมือให้ กู้เสี่ยวหวานยิ้มและวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยถาม “ข้าคิดว่าเจ้าจะไปแล้วเสียอีก!”
เมื่อฉินเย่จือได้ยินสิ่งนี้ เขาก็เข้าใจความหมายของกู้เสี่ยวหวานทันที และรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ไม่อยากให้ตนเองจากไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวประโยคนี้ และไม่ได้กล่าวอะไรอีก ดังนั้นฉินเย่จือจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ และเงียบไป
กู้เสี่ยวหวานทำธุระของนางเสร็จแล้ว และเมื่อมองท้องฟ้าก็รู้ว่าไม่เช้าแล้ว นางจึงกลับไปที่หมู่บ้านอู๋ซี
ระหว่างทางกลับ กู้เสี่ยวหวานก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแซ่เหลยผู้นั้น และนางรู้สึกขัดแค้น ไม่ต้องพูดถึงว่ามันอึดอัดแค่ไหน โรงหมอที่เลวร้ายเช่นนี้สามารถเปิดได้จนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?
กู้เสี่ยวหวานโกรธมาก แต่ในตอนนี้นางไม่สามารถจัดการแซ่เหลยผู้นั้นได้ด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ ก็คือวันนี้ในบ้านของแซ่เหลย มีอีกคนที่นางคุ้นเคย ลุงใหญ่ กู้ฉวนลู่
กู้ฉวนลู่รู้สึกกระสับกระส่ายเพราะการซื้อที่ดินของกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นเขาจึงต้องมาถามหมอเหลยให้ชัดเจน
เมื่อหมอเหลยเห็นกู้ฉวนลู่เข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากสั่งให้ต้มชา เขาก็เดินตามกู้ฉวนลู่เข้าไปนั่งในห้อง
“หมอเหลย ในครั้งที่แล้วเราตกลงกันดีแล้ว หลังจากงานนั้นเสร็จ เราจะแบ่งกันเป็นสามต่อเจ็ด ท่านยังไม่ลืมใช่หรือไม่?” ทันทีที่กู้ฉวนลู่มา เขาเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นตรง ๆ
เมื่อหมอเหลยเห็นว่าที่กู้ฉวนลู่มาครั้งนี้ เขาจึงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “คุณชายกู้ แน่นอนว่าข้ารู้ ข้าได้รับเงินจากญาติผู้นั้นห้าร้อยตำลึงเงิน พวกเราแบ่งสามต่อเจ็ด ข้าได้หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน ท่านได้สามร้อยห้าสิบตำลึงเงิน ไม่ผิดแน่!”
“คุณแน่ใจหรือว่านั่นคือทั้งหมด” กู้ฉวรลู่ถามอย่างเร่งรีบ
หมอเหลยเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินคำพูดของกู้ฉวนลู่ ดวงตาของเขาเป็นประกาย “ความหมายของคุณชายกู้ก็คือ ญาติท่านยังมีเงินอีกอย่างนั้นหรือ?”
กู้ฉวนลู่พยักหน้า “มีอีกมาก! ”
หมอเหลยดีใจมาก สีหน้าพลันเต็มไปด้วยความละโมบ “อย่างนั้นเรามาสร้างสถานการณ์ใหม่กันเถอะ!”
กู้ฉวนลู่รีบส่ายหัว กู้เสี่ยวหวานผู้นี้ไม่ใช่คนโง่ และเมื่อนางรู้สึกตัว เกรงว่านางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ถ้ามาอีกก็กลัวว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดเผย
“ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น!” กู้ฉวนลู่รู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง และกล่าวโทษหมอเหลยอีกครั้ง “ครั้งที่แล้วท่านน่าจะเอามาให้เยอะกว่านี้”
“คุณชายกู้ นี่ยังไม่เยอะอีกหรือ?” เมื่อหมอเหลยได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานยังมีเงินอยู่ในมืออีก เขาคิดถึงครั้งนั้นที่เอามาแค่หกร้อยตำลึงเงิน เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาทำมากเกินไป คนอื่นจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน
“สาวน้อยในหมู่บ้านที่จ่ายเงินห้าร้อยตำลึงเงินเพื่อไปพบหมอ จะไม่มีผู้ใดเชื่อแน่!” หมอเหลยอธิบาย “เงินห้าร้อยตำลึงเงินนี้ ถ้าเป็นท่าน ท่านจะนำออกมาใช้ในครั้งเดียวหรือไม่?”
หมอเหลยไม่คิดว่าเขาทำอะไรผิด แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยก็ตาม
แต่กู้ฉวนลู่ไม่คิดอย่างนั้น เขาลำบากเพื่อสร้างสถานการณ์แต่ได้เงินเพียงสามร้อยห้าสิบตำลึงเงิน เมื่อคิดถึงบางสิ่ง กู้ฉวนลู่ก็เอ่ยถามอีกครั้ง “หมอเหลย ท่านไม่ได้ยักยอกไว้ส่วนตัวใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นกู้ฉวนลู่เอ่ยถามอย่างสงสัย หมอเหลยก็รู้สึกกระวนกระวาย หากแต่ก็รีบแสร้งยิ้ม “ความสัมพันธ์ของเราคืออะไร ข้าจะยักยอกไว้เป็นการส่วนตัวได้อย่างไร!”
กู้ฉวนลู่เหลือบมองที่หมอเหลยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และเมื่อเห็นหมอเหลยรู้สึกถ่อมตนเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม หนึ่งร้อยตำลึงเงินที่เขาอมไป คงจะไม่ให้เขาคายออกมาหรอกนะ?
“ไม่อย่างนั้นพวกเราลองมาคิดหาวิธีที่จะแย่งเงินมาอีกดีหรือไม่?” หมอเหลยคิดว่าการร่วมมือกับกู้ฉวนลู่ผู้นี้เป็นผลกำไรมหาศาล หัวใจของกู้ฉวนลู่ก็มืดมนพอที่จะคิดร้ายกับหลานสาวของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เดิมทีหมอเหลยเป็นพ่อค้าและเขาสนใจแต่ผลกำไรเท่านั้น เมื่อเห็นว่าเขามีช่องทางทำเงิน เขาจะยังสนใจอะไรอีก
“ท่านคิดอย่างไร?” กู้ฉวนลู่กล่าวอย่างโกรธจัด “นางใช้เงินซื้อที่ดินไปแล้ว ยังจะมีอะไรให้แย่งมาอีก?”
เป็นอย่างนี้นี่เอง ที่กู้ฉวนลู่มากล่าวหาตนเองอย่างไม่พอใจเช่นนี้ เดิมทีจุดประสงค์ของเขาเป็นเพราะเสียใจ และเพื่อดูว่าเขาจะคิดหาวิธีได้หรือไม่ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่กู้ฉวนลู่กล่าว หมอเหลยก็ไม่เปิดเผยเป้าหมาย