บทที่ 371 ปกป้องทรัพย์สิน
บทที่ 371 ปกป้องทรัพย์สิน
ในตอนนี้น้ำเสียงที่ดุร้ายหายไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารแทน “สาวน้อยเสี่ยวหวาน ข้าไม่สบายจริง ๆ ข้าไม่สามารถแม้แต่จะยืนขึ้นได้ แต่เพื่อเด็กสองคนนี้ ข้าจึงต้องพยายามลุกขึ้นมา”
คำพูดนั้นราวกับหมายความว่า เจ้ามารังแกลูกสองคนของข้าเช่นนี้ ข้าจึงต้องมาขอคำอธิบาย! ราวกับว่านางกำลังโทษกู้เสี่ยวหวานอยู่
กู้เสี่ยวหวานเยาะเย้ย “โอ้? อย่างนั้นเองหรือ? อาสะใภ้สามช่างเป็นแม่ที่ดีเสียจริง! แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ท่านเคยกดข้าลงพื้นและตบข้าในที่แห่งนี้ ท่านแม่ของข้าคงไม่ต้องปีนขึ้นมาจากหลุมเพื่อตามหาท่านเลยหรือ คนอื่นรังแกลูกตัวเองเช่นนี้ ท่านพ่อกับท่านแม่คงไม่สบายใจแน่!”
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานเป็นเหมือนคาถาสะกดให้ร่างกายของเฉาซื่อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ครู่หนึ่ง นางมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยท่าทางแปลก ๆ และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ร้องไห้ออกมา “หวาน … สาวน้อยเสี่ยวหวาน … เจ้าพูดอะไรกัน พ่อแม่ของเจ้า … ตายไปหลายปีแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าตายแล้ว ดังนั้นท่านจึงไม่กลัวอะไรเลยใช่หรือไม่ หรือท่านคิดว่าท่านพ่อและท่านแม่ของข้าตายไปแล้ว จึงง่ายต่อการมารังแกใช่หรือไม่? อาสะใภ้สาม ท่านพ่อของข้าออกเงินแต่งสะใภ้มาให้อาสาม เขาต้องแบกหนี้สินไว้ทั้งหมด แต่พวกท่านกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เพราะท่านพ่อกับท่านแม่ข้าต้องการหารายได้จึงต้องแยกจากพวกเราไป แล้วเรื่องนี้ ข้าไปคิดบัญชีกับใครได้บ้าง?”
คำพูดสุดท้ายของกู้เสี่ยวหวานหนักหน่วง นางจ้องไปที่เฉาซื่ออย่างดุเดือด สายตานั้นทำให้เฉาซื่อตกตะลึงหงายหลังล้มลงกับพื้น
“ข้าว่าแปลกนะ ไหน ๆ วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านก็อยู่ที่นี่ เช่นนั้นเรามาคุยกันเรื่องนี้กันดีกว่า” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าได้ยินจากลูกทั้งสองคนของท่านว่า ในอนาคตเมื่อกู้ถิงถิงจะแต่งงาน ข้าต้องเป็นคนจ่ายค่าสินสอดให้ และเมื่อกู้ซุ่นสีจะแต่งภรรยา ข้าก็ต้องออกค่าสินสอดให้อีก เพราะอะไรกันล่ะ?”
“เพราะเจ้ามีเงิน!” เฉาซื่อโพล่งออกมาโดยไม่ได้คิด
ทันทีที่คำพูดของเฉาซื่อออกมา ความโกลาหลก็เกิดขึ้น เมื่อเหล่าคนข้าง ๆ ได้ยินคำพูดของเฉาซื่อ พวกเขาก็เริ่มกระซิบกระซาบกันทันที
“เฉาซื่อช่างไร้เหตุผลเสียจริง เด็กพวกนั้นเป็นลูกของนางเองนะ การขอให้คนอื่นมอบสินสอดทองหมั้นให้เช่นนี้ นี่มันเหตุผลอะไรกัน!” ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว
“ช่างน่าไร้ยางอายเสียจริง เฉาซื่อ เจ้าเป็นคนที่ฉวนฟู่ออกเงินให้แต่งเข้ามา แล้วการที่ลูกของเจ้าจะแต่งงานก็ยังต้องให้คนอื่นมาออกเงินให้อีกหรือ เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง!”
เมื่อทุกคนในที่นี้รุมด่าเฉาซื่อ ใบหน้าของนางก็แสดงความไม่พอใจเล็กน้อย และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “กู้เสี่ยวหวานมีเงิน การที่นางออกเงินให้กับลูกสองคนของข้ามันผิดตรงไหน อย่างไรเสีย นางก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของลูกข้า!”
“เฉาซื่อ เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง!” ครั้นได้ยินเรื่องนี้ หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็รู้สึกว่าเขาเสียหน้าไปหมดแล้วจากการมาที่นี่
เขามากับเฉาซื่อเพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับเฉาซื่อ และมาเพื่อทำให้กู้เสี่ยวหวานเป็นทุกข์ เขาจึงยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่กล่าวอะไรและไม่ช่วยเหลือหรือพูดแทนใคร
คราวนี้เมื่อเขาได้ยินเฉาซื่อกล่าวคำที่ไร้ยางอายเช่นนี้ หัวหน้าบ้านเหลียงก็รู้สึกละอายและรีบด่าว่า “เฉาซื่อ อย่าพูดถึงเรื่องเจ้ารองในตอนนั้นเลย ในตอนนั้นเจ้าสามอยากแต่งงานกับเจ้าจะเป็นจะตาย บ้านแม่เจ้าก็ดีเสียจริง ตั้งราคาเจ้าสาวมากถึงขนาดสามารถแต่งเจ้าสาวมาได้ถึงห้าคน แต่เพื่อแต่งเจ้าเข้ามา ครอบครัวรองจึงต้องแบกรับภาระหนี้ทั้งหมดไว้ ถึงเจ้าจะไม่ซาบซึ้งก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เจ้ายังกล้ามาวุ่ยวายกับลูกของพวกเขาอีก เจ้าไม่กลัวเจ้ารองกับเถียนซื่อปีนจากหลุมขึ้นมาหาหรืออย่างไร!”
ในเวลานี้ มีความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าของเฉาซื่อ
“และยังบอกว่ากู้เสี่ยวหวานจะต้องออกเงินให้ลูกสองคนของเจ้า เจ้าพูดได้ดีจริง ๆ” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกล่าวต่ออย่างประชดประชัน ใบหน้าที่แก่ชราของเขาแดงก่ำ จากนั้นเขาก็โบกมือและเตือนเฉาซื่อ “เฉาซื่อ เจ้ารีบลุกขึ้นแล้วรีบกลับบ้านไปเสีย ศักดิ์ศรีของบ้านสามถูกเจ้าทำเสียไปหมดแล้ว”
ไม่รู้ว่าความคิดนี้ของเฉาซื่อมาจากที่ไหน และเป็นเรื่องตลกมากที่จะขอให้เด็กมาออกค่าสินสอดให้กับลูกของนาง
เฉาซื่ออยากจะกล่าวต่อ แต่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกลอกตาและสูดจมูกอย่างเย็นชา “ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก”
คนรอบข้างก็ด่าว่า “เฉาซื่อ เจ้าช่างไร้ยางอาย สาวน้อยเสี่ยวหวานทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเจ้าเป็นญาติของข้า ข้าจะไล่เจ้าไปด้วยไม้กวาด”
“มาเรียกความโชคร้ายที่ประตูบ้านของคนอื่นในช่วงปีใหม่เช่นนี้ เฉาซื่อ ถ้าเป็นข้า ข้าก็จะไล่เจ้าออกไปเช่นกัน!”
“ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าไม่อยู่บ้าน ลูกทั้งสองของเจ้าก็มากินข้าวที่บ้านของกู้เสี่ยวหวาน นางมีคุณธรรมที่สุดแล้ว พวกเขาทำทุกอย่างที่เคยทำมา เจ้าอย่ามาเห็นผิดเป็นชอบและมาด่าเด็กเหล่านี้อีกเลย”
ทุกคนก่นด่าคนละประโยค ด่าจนใบหน้าของเฉาซื่อแดงก่ำ ไม่รู้เพราะนางโกรธหรือกลัว
เมื่อกู้ถิงถิงเห็นผู้คนรอบ ๆ ตำหนิตนเอง ใบหน้าของนางก็แดงก่ำ และกล่าวเสียงดังว่า “ครอบครัวของพี่เสี่ยวหวานมีเงิน ให้พวกข้าสักนิดจะเป็นอะไรไป?”
“ใช่แล้ว ท่านแม่ของข้าบอกว่า ไม่ว่าครอบครัวของพวกเขาจะมีเงินเท่าไร ครึ่งหนึ่งของเงินนั้นก็ต้องเป็นของข้า!” กู้ซุ่นสีพูดเสริมขึ้น
เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองอ้าปากพูด เฉาซื่อก็ไปปิดปากพวกเขาไม่ทัน คำพูดหลุดออกมาจากปากของพวกเขาแล้ว และนางเห็นทุกคนรอบตัวพร้อมใจกันด่าพวกนางอีกครั้ง
“เฉาซื่อ ครอบครัวของเจ้าช่างเป็นครอบครัวที่วิเศษ ข้านับถือกู้เสี่ยวหวานจริง ๆ การที่มีญาติเช่นเจ้า และยังคงปฏิบัติกับลูกสองคนของเจ้าเช่นนี้ แถมยังให้อาหารแก่ลูกสองคนของเจ้ากินอีก น้ำใจของกู้เสี่ยวหวานช่างยอดเยี่ยม!”
“ใช่แล้ว ๆ เฉาซื่อ การที่เด็กหญิงวัยสิบขวบจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่เจ้าก็ยังอยากจะได้ของของนาง เจ้าสมควรถูกสวรรค์ลงโทษแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าความคิดเห็นของผู้คนรอบตัวเข้าข้างตนเอง นางจึงพยักหน้าขอบคุณผู้คนรอบตัว
“ขอบคุณทุกท่าน” กู้เสี่ยวหวานมองไปที่เฉาซื่อที่นั่งอยู่บนพื้นและถอนหายใจ “อาสะใภ้สาม ข้าไม่สนหรอกว่า ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าต้องให้เงินท่าน แต่ท่านต้องจำเอาไว้ด้วยว่า ในตอนนั้นที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเสียไป ท่านเคยยื่นมือเข้ามาช่วยหรือไม่ ตอนนี้ครอบครัวข้าดีขึ้นแล้ว แต่ท่านยังมาวุ่นวายอยากได้นั่นอยากได้นี่ของข้า ข้าบอกไว้เลยนะว่า ข้าไม่ใช่คนตระหนี่ กับลูกสองคนของท่านเมื่อพวกเขาไม่มีอาหาร ข้าจะให้พวกเขากินอย่างเพียงพอ แต่ถ้าอยากจะแย่งชิงสมบัติของครอบครัวข้า ข้าเตือนท่านแล้ว อย่าคิดเช่นนั้นอีก ไม่อย่างนั้น …”
หลังจากกล่าวจบ นางก็ยิ้มอย่างเย็นชาและเหลือบมองดูผู้คนรอบ ๆ ตัว ราวกับว่านางจะกล่าวกับทุกคนในหมู่บ้านฟังด้วย “ทุกท่านคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองรุ่ยเสียน ใครก็ตามที่คิดชั่วเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะปกป้องทรัพย์สินเหล่านั้นด้วยชีวิต!”