บทที่ 395 กลับบ้าน
บทที่ 395 กลับบ้าน
ฉินเย่จือมองกริชเล่มนั้น
ครั้นจ้าวเซิงเห็นว่าภารกิจเสร็จสิ้นลง เขาจึงประสานมือและกล่าวว่า “แม่นาง ข้าน้อยขอตัว ดังนั้นข้าจึงต้องบอกลา! หากในอนาคตมีวาสนา เราคงจะได้พบกันใหม่”
หลังจากที่จ้าวเซิงจากไป กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยหลังจากผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของกู้เสี่ยวหวานจึงกล่าวว่า “เสี่ยวหวาน นี่ก็ดึกแล้ว เหตุใดพวกเราไม่กลับบ้านกันล่ะ!”
จากที่นี่กลับไปบ้านยังมีหนทางที่ยาวไกล กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและกล่าวคำอำลากับสวีเฉิงเจ๋อ
สวีเฉิงเจ๋อมาส่งพวกเขาที่ประตูเมือง เมื่อเห็นว่าเกวียนของพวกเขาเคลื่อนไปไกลแล้วจึงกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
เสี่ยวลู่เห็นว่านายน้อยของเขาคอยมองไปรอบ ๆ จึงสงสัยเล็กน้อย “นายน้อย ในคืนนี้ท่านได้จองที่นั่งในร้านจิ่นฝูเพื่อเชิญแม่นางกู้และคนอื่น ๆ ไปทานอาหารเย็นแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่ไปเสียล่ะ?”
สวีเฉิงเจ๋อถอนหายใจยาว หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย การที่เขาเก็บกู้จือเหวินไว้ เขาไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด แค่รู้สึกว่ามีบางอย่างในหัวใจของเขา และเขาไม่รู้ว่าทำไม!
ระหว่างทางกลับ ฉือโถวกำลังขับเกวียนวัวอยู่ข้างหน้า กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ นั่งอยู่ข้างหลัง
ลมในตอนกลางคืนหนาวไปถึงกระดูก ยังดีที่ตอนขามากู้เสี่ยวหวานได้เอาผ้าห่มเก่าเตรียมไว้ในเกวียน เผื่อว่าตอนกลางคืนจะหนาว จะได้นำมันออกมาคลุมได้
กู้เสี่ยวหวานคิดถึงเรื่องกู้จือเหวินอีกครั้ง และทุกคนรู้สึกมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจเล็กน้อย คนอื่น ๆ ต่างก็มีช่วงเวลาที่ดี
“ท่านพี่ ท่านเขียนด้วยมือซ้ายได้จริงหรือ?” กู้หนิงผิงเบิกตากว้างและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ลายมือมือซ้ายของท่านสวยกว่ามือขวาของข้าเสียอีก!”
กู้เสี่ยวหวานกลอกตาไปที่เขา “หนิงผิง เจ้ากำลังชื่นชมข้าหรือกำลังดูถูกตนเองอยู่กันแน่?”
“ทั้งหมด ทั้งหมด!” กู้หนิงผิงยิ้มและลูบหัวตนเอง “ท่านพี่ ท่านพ่อของเราเก่งมากจริง ๆ! ไม่ว่าสิ่งใด ท่านพ่อก็สามารถทำได้!”
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้จะตอบอย่างไร นางไม่เคยพบพ่อคนนี้มาก่อน เขาเก่งอะไรตนเองก็ไม่อาจรู้ได้!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องอะไรที่นางทำได้ก็ล้วนบอกว่าพ่อเป็นคนสอน ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องจัดการเรื่องโกหกนี้ให้ได้
นางกล่าวได้เพียงว่า “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่า ท่านพ่อฉลาดมาก ไม่ว่าสิ่งใด เพียงแค่เขาเรียนรู้ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง และท่านพ่อเรียนรู้มาหลายปีแล้ว หากไม่ใช่เพราะที่บ้านรับผิดชอบค่าเล่าเรียนของทั้งสองคนไม่ไหว บางทีท่านพ่อของเราอาจจะเป็นขุนนางไปแล้วก็ได้!” กู้เสี่ยวหวานยังคงโกหกต่อไป เด็กเหล่านี้จำเรื่องเมื่อสองสามปีก่อนไม่ได้ อย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดี และแน่นอนพวกเขาก็ไม่สามารถไปถามคนอื่นได้
“เช่นนั้นเสี่ยวหวาน อันสีครามนั้นกลั่นมาจากต้นคราม แต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม*[1] คือสิ่งใด?” ใบหน้าของฉินเย่จืออยู่ใต้หน้ากาก ดังนั้นนางจึงมองไม่เห็นว่าตอนนี้เขาแสดงออกอย่างไร แต่เมื่อฟังน้ำเสียง นางก็สามารถบอกได้ว่าฉินเย่จือกำลังยิ้มอยู่
กู้เสี่ยวหวานเอียงศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ทำไมเจ้ายังใส่หน้ากากนี้อยู่ เจ้าไม่รำคาญหรือ?” หลังจากกล่าวจบ นางก็ถอดหน้ากากออกจากใบหน้าของฉินเย่จือโดยไม่คิด “ตอนนี้ดึกแล้ว การสวมหน้ากากนี้มันดูประหลาดนัก”
หลังจากกล่าวจบ นางก็กำลังจะโยนหน้ากากออกจากเกวียน ฉินเย่จือรีบคว้ามันไว้และกล่าวว่า “เจ้าจะทำอะไร? อย่าทิ้งมันนะ!”
“จะเก็บมันไว้ทำไมเล่า? มันดูน่ากลัวและน่าเกลียดมากนะ!” กู้เสี่ยวหวานมุ่ยปากและกล่าวด้วยความรังเกียจ
“โอ้ เจ้าก็ยังคิดว่ามันน่าเกลียดหรือ!” ฉินเย่จือแกล้งทำเป็นโกรธและกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้เป็นคนเลือกด้วยตนเองหรอกหรือ? พวกหนิงผิงต่างก็เลือกอันที่น่ารักและสวยงาม เจ้าเลือกอันนี้ให้ข้า ข้าก็คิดว่าเจ้าชอบมันเสียอีก!”
คิดว่าข้าชอบหน้ากากอันนี้หรือ! กู้เสี่ยวหวานคร่ำครวญในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าที่คอยยั่วยวนดอกท้อเน่า ๆ เหล่านั้นอยู่เสมอ ข้าก็คงจะไม่ต้องเสียเงินไปกับสิ่งนี้!
“ถ้าน่าเกลียดก็โยนทิ้งไป!”
“ไม่ทิ้ง นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เจ้ามอบให้ข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเก็บมันไว้!” ฉินเย่จือยิ้มเก็บหน้ากากไว้ในเสื้อของเขา
ฉินเย่จือผู้นี้มีเสน่ห์จริง ๆ เขามีใบหน้าและรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความสงบและซับซ้อนราวกับเป็นชายวัยกลางคน
จิตใจของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพียงแค่มองไปที่ฉินเย่จือ ดวงตาเรียวยาวของเขาก็เปรียบดั่งดวงดาวที่สว่างที่สุดในท้องฟ้า
กู้เสี่ยวหวานพึมพำเบา ๆ และไม่กล่าวอะไรอีก
กู้หนิงผิงมองไปที่พี่สาวและอาจารย์ของเขาด้วยท่าทางตลก และหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข
“ท่านพี่ ท่านไม่ได้เลือกหน้ากากที่น่าเกลียดให้อาจารย์เพียงเพราะมีผู้หญิงคอยมองเขาอยู่ตลอดทางหรอกหรือ!” จู่ ๆ กู้หนิงผิงก็นึกถึงบางสิ่งและพูดขึ้นในทันใด
“เจ้าเด็กคนนี้ เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร!” กู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่กู้หนิงผิงที่กำลังยิ้มและกล่าวว่า “ข้ากลัวว่าผู้หญิงที่ส่งสายตาให้เขาจะมาฆ่าข้าต่างหาก”
ผู้หญิงเหล่านั้นมีดวงตาที่ชั่วร้ายจริง ๆ
ฉินเย่จือในตอนนั้นมีแต่ความอ่อนโยน แต่เมื่อถึงเวลาที่จะมองดูนาง สายตาคู่นั้นก็ราวกับจะกินนาง ความอ่อนโยนในตอนนั้นไปอยู่ที่ไหนกัน
“ท่านพี่ ส่งสายตาให้คืออะไร? เหตุใดข้าไม่เห็นพวกเขาให้อะไรกับพี่ใหญ่เลย?” กู้เสี่ยวอี้เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาพลางเอียงศีรษะ มองดูแล้วน่ารักน่าชังยิ่งนัก
จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ ในใจของนางไม่สามารถบอกคนกลุ่มนี้ได้ ในตอนแรกนางจะอธิบายว่ามันเป็นผักปวยเล้งในฤดูใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้ยังไม่มีผักปวยเล้ง เมื่อพูดออกไปก็คงจะต้องอธิบายอีกยาวแน่
กู้หนิงอันยิ้มและตบหัวกู้เสี่ยวอี้เบา ๆ เพื่อปลอบโยน “เด็กโง่ มันไม่ใช่สิ่งของ! เมื่อโตขึ้นเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้เอง”
นั่นหมายความว่าเจ้ายังเด็กเกินจะเข้าใจ แต่กู้หนิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และเอ่ยถามกู้หนิงอัน “แล้วท่านพี่ ทำไมท่านเข้าใจ แต่ข้าไม่เข้าใจเล่า”
“แล้วใครบอกให้เจ้าเลิกเรียนกันเล่า!” กู้เสี่ยวหวานสูดหายใจอย่างเย็นชา และกู้หนิงผิงก็แลบลิ้นใส่พี่สาวของเขาทันที ท่าทางเช่นนั้นดูสนิทสนมกันมาก
ฉินเย่จือที่ด้านข้างไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ กู้เสี่ยวหวานจึงกระซิบอย่างไม่พอใจ “ความสามารถในการล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ*[2] ของเจ้านี่มันไม่ธรรมดาจริง ๆ”
กู้เสี่ยวหวานมุ่ยปากและคำพูดที่นางกล่าวออกมาก็เป็นการแดกดัน
“ข้าไปทำอะไรให้กันเล่า?” ฉินเย่จือยักไหล่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวอย่างไร้เดียงสา
ผู้หญิงเหล่านั้นมองเขาด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ว่าเขาจงใจยั่วยวนพวกนางเสียหน่อย
ตั้งแต่เขามาถึงหมู่บ้านอู๋ซี นอกจากจะออกไปตัดฟืน ตักน้ำ และสอนศิลปะการป้องกันตัวให้กู้หนิงผิงแล้ว ในเวลาอื่นเขาก็ยังตัวติดกับกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลาและไม่เคยออกไปไหนคนเดียว นับประสาอะไรกับการยั่วยวนผู้อื่น
*[1] นักเรียนเหนือกว่าครู คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน
*[2] ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ