บทที่ 406 เมาเรือ
บทที่ 406 เมาเรือ
“ท่านลุงกุ้ยอย่าพูดเช่นนั้นเลย การตามหากุ้ยชุนเจียวเป็นเรื่องใหญ่อันดับแรก ถ้ามีเรื่องอะไร ค่อยกลับไปคุยกันทีหลัง!” กู้เสี่ยวหวานแนะนำ
กุ้ยซื่อเช็ดน้ำตาของนาง แต่หายากที่นางจะไม่โต้เถียงกับกุ้ยสวิ้นเหอ ดูเหมือนว่านางจะกลัวจริง ๆ
กุ้ยซื่อดูโศกเศร้า นางเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานอย่างเป็นทุกข์เล็กน้อยและกล่าวอย่างอึดอัดว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เมื่อก่อนข้าเคย… จริง ๆ…”
กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เมื่อเห็นท่าทางของกุ้ยซื่อก็รู้ว่านางอึดอัดใจเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงขัดจังหวะและกล่าวว่า “อย่าพูดถึงมัน เมื่อเจอกุ้ยชุนเจียวแล้วค่อยพูด!”
กุ้ยซื่อพ่นลมออกมาแล้วก้มหน้าลงอีกครั้งด้วยสีหน้ากังวลใจ
ฉินเย่จือดึงแขนเสื้อของกู้เสี่ยวหวาน และเอ่ยถามเบา ๆ “เสี่ยวหวาน เมื่อไปถึงหมู่บ้านเหมย เจ้าจะไปตามหานางอย่างไร?”
หมู่บ้านเหมยเป็นสถานที่ที่พ่อค้าผู้นั้นพากุ้ยชุนเจียวไป
กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะ “ข้ายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และข้าก็ไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่เมื่อเรือเทียบท่า เราค่อย ๆ หาก็ได้ คืนนี้เราจะต้องตามหานางเจอได้แน่”
ฉินเย่จือพยักหน้าตอบรับ กุ้ยชุนเจียวพักอยู่กับชายผู้หนึ่งคืน ซึ่งน่าอันตรายมากยิ่งขึ้น
บนเรือนอกจากจะน่าเบื่อแล้ว ก็ไม่มีอะไรนอกจะความน่าเบื่อ
กู้เสี่ยวหวานใช้เวลาทั้งวันในเกวียนและบนเรือ วันนี้ทั้งวันนางก็กินเพียงอาหารเช้าเท่านั้น หลังจากนั่งเรือมาได้ไม่นานท้องของนางก็เริ่มรู้สึกหิว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ความหิวจะมาถึง กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกเหมือนเป็นกรดไหลย้อน และอยากจะอาเจียนออกมา
นี่ไม่ใช่อาการหิวแต่อย่างใด แต่…
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเศร้าที่พบว่าตนเองเมาเรือ!
ใบหน้าที่งดงามของกู้เสี่ยวหวานปรากฏสีหน้าที่ขมขื่น ใบหน้าของนางซีดเซียวและสีหน้าก็ดูแย่มาก
โดยไม่คาดคิด แทนที่จะเป็นลมจากเกวียนวัว แต่นางกำลังจะเป็นลมบนเรือ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกคลื่นไส้ และกรดในกระเพาะของนางก็พลุ่งพล่าน
ฉินเย่จือที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่านางเมาเรือ เขาจึงดึงนางไว้และใช้มือขวาลูบหลังนางแผ่วเบาแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เมาเรือใช่หรือไม่?”
กู้เสี่ยวหวานตอบรับอยากยากลำบาก นางขดตัวเหมือนลูกแมว ครั้นฉินเย่จือเห็นนางเป็นเช่นนั้น เขาจึงประคองกู้เสี่ยวหวานอย่างทุกข์ใจและดึงนางให้ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้นางพิงตนเองได้ มืออีกข้างตบหลังนางเบา ๆ และเอ่ยกระซิบ “เจ้าพักสายตาสักครู่เถอะ”
เรือโคลงเคลงตลอดเวลา และวันนี้กู้เสี่ยวหวานก็นั่งเกวียนไปกลับถึงสี่รอบ นอกจากอาหารเช้า นางก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลยนอกจากกลืนน้ำลาย ครั้นมาขึ้นเรืออีกครั้ง ท้องของนางว่างเปล่า ไม่แปลกใจเลยที่นางจะเป็นลม
เมื่อฉินเย่จือตบหลังนางเบา ๆ กู้เสี่ยวหวานเอนกายพิงไหล่ของฉินเย่จือ ความปั่นป่วนในท้องของนางก็บรรเทาลงเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานหยุดพูด และได้ยินเสียงกรนดังแผ่วเบา น้ำเย็นเยียบและสายลมที่พัดผ่าน ฉินเย่จือเกรงว่ากู้เสี่ยวหวานจะหนาว ดังนั้นเขาจึงรีบถอดเสื้อคลุมของตนเองออกมาและคลุมตัวนางเอาไว้
ร่างกายทั้งหมดของกู้เสี่ยวหวานแอบอิงร่างกายของฉินเย่จืออย่างกลมเกลียว ฉินเย่จือรู้สึกว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะเกิดอาการเมื่อยล้า ดังนั้นเขาจึงโอบกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขนของเขา และปล่อยให้นางหลับสนิทราวกับเด็กทารก
กุ้ยซื่อที่เห็นกู้เสี่ยวหวานพลันก็รู้สึกตกใจ
ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ และกู้เสี่ยวหวานก็หลับสนิทไปแล้ว ฉินเย่จือที่สวมเสื้อผ้าบาง ๆ หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
กุ้ยซื่อรีบไปเขย่ากุ้ยสวิ้นเหอและชี้ไปที่พวกกู้เสี่ยวหวาน กุ้ยสวิ้นเหอเหลือบมองและกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของชุนเจียว ทุกคนจะเหนื่อยมากเช่นนี้หรือไม่? ให้คนอื่นหยุดพักบ้างไม่ได้เลยหรือ”
กุ้ยสวิ้นเหอคิดว่ากุ้ยซื่อจะเหน็บแนมคนอื่นอีกครั้ง แต่คราวนี้กุ้ยซื่อกลับก้มหน้าลงด้วยความอึดอัดใจ นางแค่แปลกใจเล็กน้อย ส่วนเรื่องอื่น ๆ นางไม่ได้ใส่ร้ายกู้เสี่ยวหวานจริง ๆ
วันนี้นางรู้สึกละอายใจกับกู้เสี่ยวหวานมามากพอแล้ว เมื่อก่อน เหตุใดนางถึงใส่ร้ายกู้เสี่ยวหวานกันนะ?
แค่คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลสักหน่อย กู้เสี่ยวหวานก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จะมากอดกับผู้ชายเช่นนี้ได้อย่างไร แต่หลังจากครุ่นคิดแล้ว นอกจากผืนน้ำก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เห็น คนพายเรือก็ไม่รู้จักพวกเขา แล้วใครจะเอาไปพูดกัน
คนพายเรือที่เห็นฉินเย่จือถอดเสื้อผ้าและวางแขนโอบกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ก็ยิ้ม และกล่าวกับพวกกุ้ยซื่อว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ช่างดีจริง ๆ!”
กุ้ยสวิ้นเหอกลัวในสิ่งที่กุ้ยซื่อจะกล่าว ดังนั้นเขาจึงกล่าวทันทีว่า “ใช่แล้ว!” พลางขยิบตาให้กุ้ยซื่อ
กุ้ยซื่อพยักหน้าและกล่าวออกมา “ใช่แล้ว นางเป็นคนมีวาสนา!”
ฉินเย่จือไม่ได้หลับสนิท ดังนั้นเขาจึงได้ยินคำตอบของกุ้ยซื่อที่ตอบคนพายเรือโดยธรรมชาติ แม้ว่ากุ้ยซื่อผู้นี้จะชอบเหน็บแนม แต่ดูเหมือนว่าจิตใจจะไม่ได้เลวร้าย อย่างน้อยนางก็รู้ว่าไม่ควรกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา
เรือโคลงเคลงและแล่นไปอย่างช้า ๆ เมื่อฟ้ามืดสนิท กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ก็มาถึงฝั่ง
กู้เสี่ยวหวานนอนหลับสนิทบนไหล่ของฉินเย่จืออย่างสบายใจ นางหลับมาตลอดทาง เมื่อฉินเย่จือปลุก กู้เสี่ยวหวานก็ตื่นขึ้น
เมื่อกู้เสี่ยวหวานลืมตาขึ้น นางก็เห็นว่ามีเพียงแสงจันทร์เท่านั้น และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นชายฝั่งและเห็นแสงไฟ นางจึงรู้ว่าพวกเขาได้มาถึงหมู่บ้านเหมยกันแล้ว
กู้เสี่ยวหวานตกใจและรีบหันหลังกลับทันที สีหน้าของฉินเย่จือมีความรู้สึกบางอย่างปรากฏอยู่
กู้เสี่ยวหวานบิดขี้เกียจ ทันใดนั้นก็รู้สึกเหนียวที่มุมปากและเมื่อสัมผัสมันด้วยมือก็พบว่ามุมปากของตนเปียก กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างขมขื่น ภายในใจเขินอาย นางจะน้ำลายไหลได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานสัมผัสเสื้อผ้าของฉินเย่จือโดยไม่ต้องคิด และแน่นอนว่าเสื้อผ้าของฉินเย่จือก็เปียกเช่นกัน
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอับอายจนอยากจะเอาศีรษะมุดดิน ใบหน้าของนางแดงก่ำ โชคดีที่เป็นเวลากลางคืน ไม่เช่นนั้นฉินเย่จือจะต้องล้อเลียนนางแน่
“ข้าขอโทษ ข้าทำให้เสื้อผ้าของเจ้าเปียก!” กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างอึดอัดใจ และเมื่อนางพบว่าบนร่างกายของฉินเย่จือมีเพียงเสื้อผ้าบาง ๆ นางก็ตกตะลึง จากนั้นนางก็รู้ว่าความอบอุ่นที่ร่างกายของตนนั้นมาจากเสื้อคลุมของฉินเย่จือ
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกซาบซึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่นางก็ยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าถึงสวมเสื้อผ้าบาง ๆ เช่นนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก!”