บทที่ 483 ซักถามฉินเย่จือ
บทที่ 483 ซักถามฉินเย่จือ
เมื่อเห็นว่าฮูหยินสวียังคงมองหน้านาง กู้เสี่ยวหวานก็ถามอย่างเขินอาย “ฮูหยิน มีอะไรติดหน้าข้าอยู่หรือเจ้าคะ?”
ขณะที่กู้เสี่ยวหวานพูด นางใช้มือสัมผัสใบหน้าของนางโดยไม่ตั้งใจ
ฮูหยินสวียิ้ม “ไม่ แค่ข้าไม่ได้เจอเสี่ยวหวานนานแล้ว เจออีกครั้งจึงเห็นเสี่ยวหวานสูงขึ้นและอ้วนขึ้น ผิวของเจ้าแดงก่ำและงดงามกว่าเมื่อก่อนนัก”
กู้เสี่ยวหวานก้มศีรษะด้วยความเขินอาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง “ขอบคุณเจ้าค่ะฮูหยิน!”
ตอนนี้เองฮูหยินสวีก็มองไปยังคนที่อยู่ข้าง ๆ กู้เสี่ยวหวาน
เด็กหนุ่มผู้นั้น วันนี้แต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินเข้มห่อหุ้มร่างอันสง่างามไว้ ทำให้ตัวคนยิ่งดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
เด็กหนุ่มผู้นี้หล่อเหลาจริง ๆ!
ด้วยท่าทางอันสูงส่งเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเขาจึงได้มาอยู่ข้างถนนและได้รับการช่วยเหลือจากกู้เสี่ยวหวาน
ฮูหยินสวีเหลือบมองหลายครั้งและในใจนึกสงสารเล็กน้อย แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้เดินตามกู้เสี่ยวหวานและมีชีวิตที่ดี นางก็ค่อนข้างรู้สึกโล่งใจ
“เอาล่ะ มานั่งคุยกันเถอะ!” ฮูหยินสวีรีบบอกให้ทั้งสองคนนั่งลง
กู้เสี่ยวหวานกับฉินเย่จือต่างก็นั่งลงตามคำชักชวน
ฮูหยินสวีกับกู้เสี่ยวหวานพูดคุยกัน โดยส่วนใหญ่ได้พูดถึงสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานต้องการได้ยินมากที่สุด ซึ่งก็คือเรื่องภายในสำนักศึกษาของกู้หนิงอัน
“หนิงอันผู้นี้ต้องประสบความสำเร็จแน่” ฮูหยินสวีกล่าวชม “เด็กคนนี้สามารถทนต่อความยากลำบากได้ ทั้งยังฉลาดเฉลียว อาจารย์าสวีกับเฉิงเจ๋อล้วนชมหนิงอันต่อหน้าข้าทุกวัน บอกว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์และสติปัญญาที่เหมาะกับการศึกษานัก”
กู้เสี่ยวหวานเห็นฮูหยินสวีชื่นชมกู้หนิงอันอย่างไม่ปิดบัง นางก็รู้ว่ากู้หนิงอันทำได้ดีจึงรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ฮูหยิน หนิงอันสามารถเป็นเช่นนี้ได้ ต้องขอบคุณการดูแลและสั่งสอนของฮูหยินและท่านอาจารย์” กู้เสี่ยวหวานกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของกู้เสี่ยวหวาน ฮูหยินสวีก็ลอบพยักหน้าเงียบ ๆ บรรดาลูกของครอบครัวนี้ล้วนเป็นคนกตัญญู!
หลังจากคุยกับกู้หนิงอัน ฮูหยินสวีก็มองไปที่ฉินเย่จืออีกครั้ง
“ขอถามน้องชายตัวน้อยผู้นี้สักหน่อยได้หรือไม่ว่า ก่อนนี้บ้านเขาอยู่ที่ไหน” ฮูหยินสวีถามด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นนางถามตัวเอง ฉินเย่จือก็รีบป้องมือและตอบว่า “ตอบฮูหยิน ผู้น้อยมาจากเขตภูเขาหมิน”
ภูเขาหมินคือส่วนเหนือสุดของราชวงศ์ชิง ติดกับอาณาจักรหนานหลิง
เป็นสถานที่ที่มีภูเขาสูงและเทือกเขาสูงชัน
แน่นอนว่าฮูหยินสวีย่อมรู้เรื่องนี้ สวีเซียนหลินเคยบอกกับนางแล้ว
“โอ้ นั่นไกลจากเมืองหลิวเจียนัก!” ฮูหยินสวีถอนหายใจ
ฉินเย่จือพยักหน้าและส่งเสียงตอบ “ใช่ หลังจากที่บิดามารดาของข้าเสียชีวิต บ้านของข้าก็ถูกไฟไหม้เช่นกัน ข้าจึงไม่มีที่อยู่อาศัย ดังนั้นข้าจึงร่อนเร่ไปเรื่อยจนกระทั่งลี้ภัยไปยังเมืองรุ่ยเสียน หลังจากเร่ขอทานมาตลอดทางข้าก็มาถึงหมู่บ้านอู๋ซีในเมืองหลิวเจีย ข้าบังเอิญได้พบกับแม่นางกู้ ซึ่งนางกรุณารับข้าเอาไว้!”
ฉินเย่จือพูดอย่างไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง ราวกับว่าคนที่พูดถึงไม่ใช่ตนเอง
ใบหน้าของฮูหยินสวีดูไม่ดีนัก เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินเย่จือพูด นางก็รู้สึกเก้อเขินและละอายใจเล็กน้อย นางรีบพูดว่า “ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้เจตนาที่ขุดเรื่องน่าเศร้าของเจ้าออกมา”
ฉินเย่จือโบกมือและไม่พูดอะไร
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองไปที่ฮูหยินสวีอย่างสงสัย โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮูหยินสวีในวันนี้ เหตุใดนางจู่ ๆ ถึงได้ถามเกี่ยวกับฉินเย่จือ
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเหลือบมองตนเองด้วยใบหน้าที่งงงวย ฮูหยินสวีก็รู้ว่าตนถูกกู้เสี่ยวหวานสงสัยแล้ว
นางรีบหยุดคำถามที่กำลังจะโพล่งออกมา “อดีตก็คืออดีตไปแล้ว เสี่ยวหวานพาเจ้าเข้ามา เจ้าต้องปฏิบัติต่อผู้คนในตระกูลกู้ด้วยใจ และเจ้าอย่าได้มีความคิดเป็นอื่น เด็กสาวของตระกูลกู้ แม้ว่าบิดาของนางจะจากไปแล้ว แต่พวกเราเป็นญาติกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ตระกูลสวีของพวกเราจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่!”
คำสุดท้ายที่ฮูหยินสวีพูดนั้นค่อนข้างหนักแน่น และดูเหมือนว่าจะเห็นคำเตือนแฝงอยู่ในนั้น
กู้เสี่ยวหวานกลับมารู้สึกตัวในทันที นางรู้สึกเขินเล็กน้อยที่เมื่อครู่นี้นางนึกสงสัยฮูหยินสวี
ฉินเย่จือเข้าใจความคิดของฮูหยินสวีเช่นกัน จึงลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและพูดอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณฮูหยินที่กล่าวเตือน ในชีวิตนี้ ข้าฉินเย่จือจะปฏิบัติต่อเสี่ยวหวานด้วยใจจริง ถ้าชั่วชีวิตนี้ของนางดี ข้าก็จะสบายดีเช่นกัน ถ้าใครกล้าที่จะรังแกนาง แม้ว่าข้า ฉินเย่จือจะต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ข้าก็จะปกป้องความปลอดภัยของเสี่ยวหวานไว้ให้ได้”
หลังจากพูดแบบนี้ ฉินเย่จือก็เอียงศีรษะและเหลือบมองกู้เสี่ยวหวาน ซึ่งขณะนี้ได้มองขึ้นมาที่เขาเช่นกัน
ภายในดวงตาของฉินเย่จือมีความแน่วแน่และเด็ดขาด ในขณะที่ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานกำลังลุกโชนราวกับลูกปัดสีดำส่องประกายระยิบระยับ
เมื่อเห็นฉินเย่จือพูดเช่นนี้ ฮูหยินสวีก็นึกถึงสิ่งที่ลูกชายของนางเคยกระซิบข้างหูนาง เมื่อครู่นางได้ถามในสิ่งที่ต้องการแล้ว ทั้งนางก็ได้พูดถึงทุกอย่างที่นางต้องการพูด รวมถึงการเตือนด้วย ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งอกและไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อีก
นางหันไปมองกู้เสี่ยวหวาน ก่อนทั้งสองจะพูดคุยกันและหัวเราะกันต่อ
เมื่อครู่กู้เสี่ยวหวานคิดว่าฮูหยินสวีจงใจทำให้ฉินเย่จือลำบาก นางจึงรู้สึกอับอายเล็กน้อย
ฮูหยินสวีเห็นความอับอายของกู้เสี่ยวหวาน แต่นางไม่ได้เปิดเผยมัน
ฉินเย่จือนั่งอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ ฟังคนทั้งสองคุยกัน กู้เสี่ยวหวานพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจในชีวิตประจำวัน ซึ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับฉินเย่จือ ฉินเย่จือเองก็จะเม้มริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย
เขาไม่ได้เขินอายหรือเบื่อหน่ายเลย ท่าทางดูจะเพลิดเพลินไปกับเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน แม้ฮูหยินสวีที่กำลังคุยกับกู้เสี่ยวหวานจะรู้ว่ามีคนที่นางไม่รู้จักอยู่ข้าง ๆ นางก็ไม่รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด
ฉินเย่จือใส่ใจความรู้สึกของพวกนางเป็นอย่างมาก เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยหางตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเป็นครั้งคราว สายตาที่มองไปยังกู้เสี่ยวหวานอย่างรักใคร่
ฮูหยินสวีเป็นคนนอก ดังนั้นนางจึงมองเห็นความหมายในสายตาของฉินเย่จือได้ชัดเจน นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากดูอย่างระมัดระวังสองสามครั้ง ในที่สุดก็รู้ว่าสายตาของฉินเย่จือที่มองไปกู้เสี่ยวหวานเป็นเพียงสายตาของพี่ชายของเขาที่มองน้องสาวของเขาอย่างรักใคร่ ไม่มีอย่างอื่น สะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งนัก
กู้เสี่ยวหวานรับเขาเข้ามา เป็นธรรมดาที่เขาจะมีความตั้งใจที่จะต้องตอบแทนบุณคุณต่อกู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานใจดีและเป็นเด็กดี แต่น่าเสียดายที่นางยังเด็กเกินไป
มิฉะนั้น…
ฮูหยินสวีรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เฉิงเจ๋อแก่กว่ากู้เสี่ยวหวานมาก มิฉะนั้น ถ้ากู้เสี่ยวหวานโตขึ้นอีกสองสามปีและสวีเฉิงเจ๋อรออีกสักหน่อย…