ตอนแรกที่นางแต่งงานกับเหมียวอี้ ไม่ใช่เพราะพุ่งเป้าไปที่อำนาจของเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะนางชอบเขา
ตอนนี้ถึงได้พบว่า ความคิดที่นางมีต่อเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงในตอนแรกเป็นการคิดไปเองฝ่ายเดียว หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้แล้วถึงเริ่มเข้าใจทีละนิด เรื่องบางเรื่องไม่ได้งดงามอย่างที่นางคิดไว้ นางค่อยๆ ค้นพบเช่นกันว่าสำหรับคนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างเหมียวอี้ เรื่องความรักระหว่างชายหญิงไม่ได้สำคัญ
นางกับเหมียวอี้มีโอกาสพบหน้ากันไม่มาก ต่อให้พบหน้ากัน เหมียวอี้ก็เหมือนจะรับผิดชอบเต็มที่มาก ที่บอกว่ารับผิดชอบเต็มที่มากก็คือทำเรื่องระหว่างชายหญิงกับนาง เหมือนกับพยายามทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเพื่อให้นางพอใจ แต่กลับไม่มีเวลาแสดงความรักกับนาง ทำให้ทุกครั้งที่นางไปพบเหมียวอี้ ดูเหมือนไปเพื่อทำเรื่องอย่างนั้นอย่างเดียว ทำให้ทุกครั้งนางลังเลว่าควรจะไปหาหรือไม่
ในปีก่อนๆ ตอนยังไม่เคยผ่านเรื่องระหว่างชายหญิง ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดถึงหมายความว่าอะไร นางทำตัวเอาใจยากต่างๆ นานา ที่จริงแล้วเป็นเพราะอยากแต่งงานกับเหมียวอี้ ตอนนี้เริ่มตระหนักได้ถึงคำพูดของพวกผู้ใหญ่แล้ว
พวกอวี้หลิงเจินเหรินมาแล้ว เป่าเหลียนที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหันตัวมา แล้วทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งสาม
ตอนนี้เป่าเหลียนเติบโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ใบหน้างดงามราวกับภาพวาด เรือนร่างก็ยิ่งดูสุกงอมมีเสน่ห์ อุปนิสัยใจคอแบบเด็กสาวในปีนั้นลดลงแล้ว ดูสุขุมมากขึ้น ยามขยับลูกตามองก็มีลักษณะเฉพาะตัวของผู้ที่อยู่เหนือคนอื่น
“เฮ้อ การต่อสู้ในใต้หล้านี้ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด” อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ สำนักลมปราณก็ถูกบีบจนไม่มีทางเลือกเช่นกัน หลบภัยอันตรายอยู่ที่ดินแดนทุรกันดารนี้ ไม่หลบคงไม่ได้ ด้วยความสัมพันธ์ของฝั่งนี้กับหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าเจอกับกำลังพลของประมุขชิงที่ผ่านทางมา มีหรือที่จะปล่อยพวกเขาไป จะถือโอกาสปราบปรามพวกเขาแน่ ต่อให้สำนักลมปราณจะทำอย่างไรก็ตามต้านการโจมตีของทัพใหญ่ไม่ไหว เขากลับมาถามถึงประเด็นหลักว่า “เจ้าสำนักเชิญพวกเรามามีเรื่องอะไร?”
เป่าเหลียนบอกว่า “ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมาแล้ว ต้องการให้สำนักลมปราณฟังคำสั่งระดมพล ให้ความร่วมมือในการขัดขวางการรวมตัวของศิษย์ชาวพุทธอย่างสุดกำลัง ก็เลยอยากจะฟังความเห็นของบรรดาผู้อาวุโสสักหน่อยค่ะ” นางไม่ได้บอกเรื่องที่อวิ๋นจือชิวสัญญาว่าจะแต่งตั้งนางให้เป็นสนมสวรรค์
อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน “แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสำนักกับหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ประกาศต่อภายนอก แต่คนในใต้หล้าก็ได้ยินข่าวลือมานานแล้ว และความสัมพันธ์ของสำนักลมปราณกับหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อรบแพ้ เกรงว่าคงเลิกคิดได้เลยว่าสำนักลมปราณจะมีจุดจบที่ดี ตอนนี้มีทางเลือกอีกเหรอ?”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินส่ายหน้าเช่นกัน “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะประกาศตนเป็นราชันแล้ว สถานการณ์ตอนนี้น่ากลัวมากจริงๆ เมื่อก่อนใครจะไปคาดคิดว่าฆราวาสตัวเล็กๆ ของสำนักลมปราณจะมีวันนี้ได้? สงครามลมคาวฝนเลือดที่เขาก่อขึ้นมาพัดม้วนไปทั้งใต้หล้าแล้ว เกรงว่าคนที่ถูกม้วนไปด้วยในครั้งนี้คงไม่ได้มีแค่สำนักลมปราณ ทุกสำนักในใต้หล้านี้ต้องเลือกฝั่งอยู่ท่ามกลางความยากลำบาก ถ้ายืนผิดฝั่ง ก็จะต้องมีภัยถูกล้างสำนักแน่นอน! ถ้าไม่เลือกเลยทั้งสองฝ่าย หลังจากจบเรื่องไม่ว่าใครจะแพ้หรือจะชนะ ก็เกรงว่าคงไม่มีที่ยืนในใต้หล้าอีกต่อไป”
อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ “ไม่มีทางเลือก!”
ผ่านไปคู่เดียว ศิษย์สำนักลมปราณก็รวมตัวกัน นอกจากลูกศิษย์ที่ส่วนน้อยที่เป่าเหลียนนำเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่สำนัก ศิษย์คนอื่นๆ ที่สามารถเหาะเหินได้ดาราจักรได้ก็มารวมตัวกันหมด รวมตัวกันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ถูกบีบให้เข้าร่วมการรบราฆ่าฟันอย่างไม่เต็มใจ…
ริมทะเลสาบที่มีทิวทัศน์ภูเขาเขียวน้ำใสงดงาม ในลานบ้านด้านหลังของบ้านพักภูเขาหลังหนึ่งที่ผ่านมาหลายยุคแล้ว มีคนทยอยออกจากประตูพระจันทร์ฝั่งซ้ายและขวาเพื่อรวมตัวกัน จางเทียนเซี่ยวกับหลันโฮ่วบังเอิญเกือบเดินชนกันตรงประตูพระจันทร์ หลันโฮ่วหลีกทางให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย จางเทียนเซี่ยวทำเสียงฮึดฮัด “เชอะ” แล้วเดินออกไปก่อน
ทั้งสองมาอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังรวมตัวกัน มีคนกั้นอยู่ไม่ไกลนัก กำลังรออย่างเงียบๆ
จนกระทั่งคนมารวมตัวกันได้พอสมควรแล้ว เจ้าของบ้านที่ผมหงอกขาวคนหนึ่งก็เดินออกมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นตานฉิงนั่นเอง
เมื่อตานฉิงโผล่หน้ามา ก็ทำให้คนกลุ่มนี้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีหลายคนรู้จักเขา ที่จริงตานฉิงมาพักอยู่ที่นี่นานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยปรากฏตัวเลยก็เท่านั้นเอง
ตานฉิงยืนบนบันได ดวงตาโตกวาดมองกลุ่มคน พร้อมกล่าวด้วยเสียงดังกังวานว่า “ข้าคือตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิมาร ข้ารออยู่ที่นี่มาหลายปีโดยไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้า เพียงเพราะว่าโจรกบฏมีเจตนาใส่ร้าย ตอนนี้โจรกบฏสิ้นอนาคตแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องนอนจำศีลอีก ไม่ปิดบังทุกคน ราชันสวรรค์หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ ที่จริงแล้วเป็นคนของหกลัทธิ เป็นราชาปราชญ์ที่หกลัทธิของพวกเราร่วมกันแต่งตั้ง!”
“หา! หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหกลัทธิเหรอ…” คนกลุ่มนี้ฮือฮา นึกไม่ถึงเลยจริงๆ
จางเทียนเซี่ยวกับหลันโฮ่วอดไม่ได้ที่จะสบตากันแม้จะอยู่ห่างกัน เรื่องนี้แม้แต่พวกเขาสองคนก็ไม่รู้ เดิมทีทั้งสองไม่ใช่คนของลัทธิมารเลย เป็นเพราะหลังจากรับงานจากอวิ๋นจือชิวแล้ว ใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลงมากจนต้องมาหลบภัยอยู่ที่นี่
ตานฉิงกลัวว่าทุกคนจะไม่ตกตะลึงมากพอ พูดต่ออีกว่า “ลัทธิมารของพวกเราก็มีประมุขปราชญ์คนใหม่ตั้งนานแล้วเช่นกัน ชื่อว่าอวิ๋นอ้าวเทียน! อวิ๋น? ทุกคนเข้าใจความหมายหรือยัง? อวิ๋นจือชิว ราชินีสวรรค์คนปัจจุบันก็คือคนของลัทธิมาร เป็นหลานสาวแท้ๆ ของประมุขปราชญ์ ลัทธิมารของพวกเราอดทนมาหลายปีขนาดนี้ วันดีๆ กำลังจะมาถึงแล้ว!”
“หลายปีมานี้ราชาปราชญ์ทนแบกรับความอัปยศ ผ่านความยากลำบากอยู่ในเขตตำหนักสวรรค์ก็เพื่อหกลัทธิ ในที่สุดก็ทำให้หกลัทธิได้เจอกับสถานการณ์เหมือนอย่างตอนนี้แล้ว! ตอนนี้เป็นโอกาสดีมากที่หกลัทธิจะโจมตีกลับและกำจัดโจรกบฎในรวดเดียว ถึงเวลาที่พวกเราจะได้ใช้กำลังแล้ว! ราชาปราชญ์มีบัญชา สั่งให้พวกเราโจมตีสกัดไม่ให้กองทัพพระรวมตัวกัน พวกเราต้องทุ่มเทสุดกำลัง ขอเพียงเห็นคนหัวโล้น ก็สังหารทิ้งตรงนั้นได้เลย…”
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มคนที่อยู่ในลานบ้านด้านหลังก็พุ่งขึ้นฟ้าไป มนุษย์ธรรมดาที่ปัดกวาดอยู่ตรงลานบ้านด้านหน้าบังเอิญไปเห็น ก็ยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไป เอามือขยี้ตามองอีกที ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว
และในดาราจักรตอนนี้ ฝั่งหนึ่งคือสมาชิกของหน่วยตรวจการขวาตำหนักสวรรค์ สมาชิกสมาคมวีรชนส่วนหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ คนในสำนักที่เชื่อฟัง ทั้งยังมีศิษย์ชาวพุทธจำนวนหนึ่งด้วย ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่ซ่อนตัวอยู่และถูกเหมียวอี้เรียกมา สมาชิกอีกส่วนหนึ่งของสมาคมวีรชนที่สามารถควบคุมได้ คนในสำนักที่เชื่อฟังคำสั่ง พวกข้าทาสที่แอบทำงานให้แม่ทัพใต้บังคับบัญชา โถงชุมนุมอัจฉริยะและพวกนักพรตอิสระ อำนาจของทั้งสองฝ่ายกำลังเปิดฉากเข่นฆ่ากันอยู่ในดาราจักร
กำลังพลที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะสามารถเรียกใช้งานได้ ตอนนี้กำลังช่วยสร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้ศิษย์ชาวพุทธรวมตัวกัน ส่วนกำลังพลที่เหมียวอี้ใช้งานได้ก็กำลังขัดขวางเต็มที่ กำลังพลที่กระจัดกระจายของทั้งสองฝ่าย เมื่อมารวมตัวกันแล้วก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ถึงขั้นมากกว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักของทั้งสองฝ่ายด้วย กำลังพลที่กระจายตัวกันอยู่ทำได้เพียงฆ่าฟันกันอย่างนี้ ไม่เคยฝึกรวมกันมาก่อน ปรับตัวกับการรวมกลุ่มขนาดใหญ่เพื่อทำสงครามไม่ได้ เดิมทีก็เป็นกำลังพลที่รวมตัวกันชั่วคราวอยู่แล้ว
การรบราฆ่าฟันของคนพวกนี้ ที่จริงแล้วก็ตัดสินแพ้ชนะอะไรไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับการบ่อนทำลายกันและกัน
สรุปก็คือเรื่องสงครามในใต้หล้านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักของทั้งสองฝ่ายอีกแล้ว กำลังแฝงที่ทั้งสองฝ่ายสามารถนำออกมาใช้ได้ ตอนนี้กำลังเปิดศึกกันทั่วทุกด้านแล้ว ไฟสงครามแผดเผาทั่วทุกหย่อมหญ้า แทบจะไม่มีพื้นที่ไหนที่โชคดีรอดพ้น
พวกเดียวที่รอดพ้นก็คือ นักพรตอิสระที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของอำนาจท้องถิ่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่จริงแล้วคนพวกนี้มีสัดส่วนเยอะสุดในใต้หล้า ในจำนวนนั้นมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย แต่ขาดการรวมกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ สร้างกำลังที่ตัวเองควรจะมีไม่ได้ ปกติแค่ทะเลาะเบาะแว้งเอาเปรียบกันเองก็ยังพอไหว แต่ยามเผชิญหน้ากับสงครามอย่างนี้ ก็ทำได้เพียงหาที่ซ่อนตัว
นักพรตประเภทนี้หวังอิสระเสรี ไม่อยากถูกอะไรควบคุม บางคนก็ไม่อยากได้เกียรติยศความร่ำรวยอะไร ไม่อยากขายชีวิตเพื่อทำงานให้ใคร บางคนก็ทำผิดกฎ บางคนก็ไม่ชอบสิ่งต่างๆ ภายในตำหนักสวรรค์ บางคนอยากจะสร้างผลงานแต่ก็ไม่มีช่องทาง บางส่วนมีความสามารถจำกัด จึงขี้คร้านจะไปหวังอะไรอย่างนั้น
ในป่าที่มีหมอกพิษลอยวนเวียน สาวงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งเหาะลงมาเหยียบใต้ต้นสนสีเขียวเข้มบนหน้าผา นางนั่งลงข้างโต๊ะม้าหิน แล้วสะบัดมือโยนหินสามก้อนลงไปในหุบเขาเพื่อฟังเสียงสะท้อนกลับ
ผ่านไปครู่เดียว ในหุบเขาก็มีคนสองคนเหาะเข้ามา เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เหมียวอี้รู้จักสองคนนี้ เป็นสหายเก่าที่เหมียวอี้รู้จักกันในป่าลืมทุกข์ปีนั้น ปานเยว่กงกับชิงเหมย
ที่จริงเหมียวอี้ก็รู้จักสาวงามหยาดเยิ้มคนนี้เช่นกัน นางคือฮวาหูเตี๋ย เป็นเถ้าแก่เนี้ยของโรงรับจำนำผีเสื้อที่รู้จักกันตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังคงงดงามมีเสน่ห์เหมือนเดิม
ชิงเหมยคือถาดใบหนึ่ง ในถาดมีสุราอาหารชั้นดี วางลงบนโต๊ะหินแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พอได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าพี่หญิงฮวามา ชิมสุราชั้นดีที่ข้ากลัั่นมาใหม่หน่อยสิ”
สองสามีภรรยานั่งลง ฮวาหูเตี๋ยเดาะลิ้นกล่าวว่า “มีแต่พวกเจ้าสองผัวเมียนี่แหละที่อิสระเสรี แต่หลังจากนี้ข้าก็จะเป็นเหมือนพวกเจ้าแล้ว เตรียมจะย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านของพวกเจ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยินดีต้อนรับหรือเปล่า”
ชิงเหมยรินสุราพลางตอบด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวจะมาชอบดินแดนที่มีแต่หมอกพิษของพวกเราได้ยังไง” รินสุราเต็มจอแล้วยื่นให้ แล้วก็รินให้ปานเยว่กงอีก
“เจ้าอย่าทำร้ายพวกเราเลย ถ้าเจ้าหนีไปแล้ว มีหรือที่ตระกูลโค่วจะปล่อยเจ้าไป ถึงตอนนั้นถ้าตามมาเจอ จะไม่ดึงพวกเราไปเกี่ยวข้องด้วยเหรอ” ปานเยว่กงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ตอนจ่อสุรามาตรงปาก ฮวาหูเตี๋ยก็ถอนหายใจเบาๆ อีก นางวางจอกสุราลง เหมือนไม่มีอารมณ์จะดื่มแล้ว ส่ายหน้าบอกว่า “ตระกูลโค่วจบแล้ว ล่มสลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ต่อไปนี้ไม่มีตระกูลโค่วอะไรอีกแล้ว ข้าถูกแก้พันธนาการโดยสมบูรณ์แล้ว”
สองสามีภรรยาตกใจ ปานเยว่กงถามด้วยความสงสัย “ตระกูลโค่วมีอำนาจสูงเสียดฟ้า ถึงขนาดไม่ต้องไว้หน้าประมุขชิงก็ยังได้ จะจบลงได้ยังไง เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?”
ฮวาหูเตี๋ยมองทั้งสองแล้วส่ายหน้าทันที “พวกเจ้ายังไม่ได้ยินเรื่องราวภายนอกจริงๆ ดาราจักรด้านนอกสู้กันจนอลหม่านหมดแล้ว สหายเก่าคนนั้นของพวกเจ้าน่ะ หนิวโหย่วเต๋อ อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก่อกบฏแล้ว ฮุบกำลังพลของเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ แล้วก็เคลื่อนทัพไปหาโค่วหลิงซวี ตระกูลโค่วถูกหนิวโหย่วเต๋อบีบให้ตายหมดทั้งตระกูลแล้ว โค่วหลิงซวีรบตาย ตายอยู่ภายใต้ทวนของหนิวโหย่วเต๋อ เฮ้อ อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง โค่วหลิงซวี สหายเก่าคนนั้นของพวกเจ้าเป็นคนโหด โค่นล้มทีละฝ่าย ดูจากแนวโน้มสถานการณ์นี้ คนต่อไปคงเป็นก่วงลิ่งกงแล้ว”
สองสามีภรรยาตกใจไม่เบาจริงๆ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว ได้ยินว่าร้ายกาจมาก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้
“ประมุขชิงจะนิ่งดูดายเชียวหรือ?” ปานเยว่กงถาม
“ประมุขชิง?” ฮวาหูเตี๋ยหัวเราะเบาๆ “ได้ยินว่าในศึกแรก กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านที่ประมุขชิงส่งไปลอบจู่โจมโดนหนิวโหย่วเต๋อฆ่าจนเกลี้ยงไม่เหลือเกราะ ได้ยินว่าไม่เหลือรอดสักคน นี่เป็นกองทัพองครักษ์แปดร้อยเชียวนะ! ได้ยินว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลของประมุขชิงก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อรับไว้แล้วเช่นกัน ลูกชายคนนั้นของประมุขชิงก็โดนหนิวโหย่วเต๋อตัดหัวส่งไปตรงหน้าประมุขชิง ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหมือนจะตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อด้วย ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อประกาศตนเป็นราชันแล้ว มีหรือที่ประมุขชิงจะนิ่งดูดาย คงจะหาโอกาสสู้ตายกันไปข้าง เฮ้อ ไม่มีตระกูลโค่วแล้ว ฝูงมังกรไร้หัว คนที่คอยทำงานอยู่เบื้องล่างอย่างพวกเราจะทำยังไงได้ ไม่มีใครกล้าบอกด้วยว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลโค่ว แบบนั้นไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ? ทุกคนเก็บของแยกย้ายกันไปหมดแล้ว!”
ชิงเหมยลองถามว่า “ตระกูลโค่วไม่เหลือใครสักคนเลยเหรอ? โค่วหลิงซวีเป็นบิดาบุญธรรมของฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? หนิวโหย่วเต๋อกับโค่วเหวินหลานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนี่? อย่าบอกนะว่าแม้แต่โค่วเหวินหลานก็ฆ่าไปด้วย?”
ฮวาหูเตี๋ยยกจอกสุราขึ้นดื่มหมดจอก แล้วดันจอกออกไป ให้นางรินให้เต็ม พูดหยอกล้อว่า “บิดาบุญธรรมนับเป็นอะไรล่ะ? ความสนิทสนมเล็กน้อยกับโค่วเหวินหลานนับเป็นอะไรล่ะ? ขนาดกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้าน เวลาจะฆ่าขึ้นมาก็ตาไม่กะพริบเลย ไม่ใช่แปดพัน แปดหมื่น แต่เป็นแปดร้อยล้านชีวิตเชียวนะ เจ้ารู้สึกว่าคนประเภทนี้จะสนใจข้อผูกมัดนี้หรอ? วีรบุรุษในใต้หล้าต่อสู้กัน คนใจอ่อนมีเมตตาอยู่ไม่รอดหรอก ในสายตาของคนอย่างพวกเขา มีอะไรสำคัญกว่าการช่วงชิงความเป็นใหญ่ล่ะ? พวกเขาจะเก็บโค่วเหวินหลานเอาไว้ล้างแค้นให้ตระกูลโค่วเชียวเหรอ? เกรงว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือตัดรากถอนโคน มีหรือที่จะให้โอกาสโค่วเหวินหลานรอดชีวิต!”
รายละเอียดบนสนามรบ ที่จริงนางก็ไม่ได้รู้ชัดเจน บางคำถามนางก็เดาตามความคิดตัวเอง
…………………………