ก่วงลิ่งกงที่กำระฆังดารายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
ตรงนี้เพิ่งจะติดต่อกันเสร็จ โกวเยว่ก็รีบรายงานด่วนว่า “ท่านอ๋อง รอบๆ ปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ขอรับ!”
ก่วงลิ่งกงเงยหน้ามองไปทางดาราจักร เห็นเพียงกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลๆ กำลังพุ่งเข้ามา แล้วจู่ๆ ก็หยุดอยู่กับที่อีก เป็นทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อ เหมือนกำลังพิสูจน์คำพูดของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่รุกและไม่ถอย ได้แต่เราอยู่อย่างนั้น
บางครั้งการโจมตีก็อาจจะบีบให้คนต่อต้านจนถึงที่สุด เมื่อข้าศึกมาถึงกำแพงเมืองแล้วกลับทำให้คนกดดันยิ่งกว่า ความรู้สึกเหมือนเป็นกองทัพที่ชนะโดยไม่ต้องรบ
ก่วงลิ่งกงสีหน้าบูดเบี้ยวขึ้นหลายส่วน ทัพใหญ่ด้านนอกที่สามารถเข้ามาล้อมได้ทุกเมื่อปรากฏตัวแล้ว ข้างในก็มีลั่วหม่างที่พร้อมจะตรึงไว้ไว้ได้ทุกเมื่อ เขารู้ว่าสิ้นอนาคตแล้ว ถ้าสู้กันขึ้นมาก็ยากจะพ้นภัยนี้ แต่ก็ทนข่มกลั้นความโมโหนี้ไม่ไหว คำพูดคุกคามของหนิวโหย่วเต๋อเมื่อครู่นี้ยังดังอยู่ข้างหู เขาเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันตกผู้สง่าผ่าเผย มีบารมีสะเทือนใต้หล้ามาหลายปีขนาดนี้ คิดจะให้เขาทนรับความอัปยศไปสวามิภักดิ์เหรอ?
การปรากฏตัวของทัพใหญ่ก็สะเทือนไปถึงหวงฮ่าวกับกูอวี้เฉิงให้เข้ามาดูด้วยกัน พวกเขาเดินมาตรงหน้าก่วงลิ่งกง สบตากันแวบหนึ่ง แล้วหวงฮ่าวเตือนว่า “ท่านอ๋อง ลั่วหม่างไปสวามิภักดิ์ต่อหนิวโหย่วเต๋อแล้ว”
กูอวี้เฉิงบอกอีกว่า “ฟังจากที่ลั่วหม่างบอก ใต้บังคับบัญชาพวกเรามีคนของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ไม่น้อย ถ้าลงมือขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไหร่ที่แว้งกัดฝ่ายเรา”
ไม่เห็นทั้งสองพูดโดยไม่เอ่ยถึงทัพใหญ่ที่ล้อมอยู่ด้านนอกเลยสักนิด สายตาของก่วงลิ่งกงก็หยุดอยู่บนใบหน้าทั้งสอง มองประเมินฝั่งซ้ายทีฝั่งขวาที แล้วถามช้าๆ ว่า “หนิวโหย่วเต๋อสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรพวกเจ้าล่ะ?”
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง หางตาชำเลืองมองทัพอารักขาของก่วงลิ่งกงอยู่รอบๆ พวกเขาได้แต่เงียบงันไม่ตอบอะไร
ก่วงลิ่งกงจ้องทั้งสองด้วยสายตาเยียบเย็น เข้าใจท่าทีของทั้งสองแล้ว ที่กล้ามาพูดต่อหน้าเขาอย่างนี้ แสดงว่าต้องติดต่อกำลังพลเบื้องล่างให้ให้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว
รอได้สักครู่หนึ่ง หวงฮ่าวก็กุมหมัดคารวะ “พวกเราสองคนยินดีติดตามท่านอ๋องบุกน้ำลุยไฟ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทัพใหญ่ของชิงและพุทธะจะตามมาถึงเมื่อไหร่?”
กูอวี้เฉิงบอกอีกว่า “ท่านอ๋อง ถ้าทัพใหญ่ของชิงและพุทธะยังไม่มาอีก ก็เกรงว่าจะมาไม่ทันแล้ว”
“ไสหัวกลับไป!” ก่วงลิ่งกงกล่าวเสียงเรียบ
“…” หวงฮ่าวและอวี้เฉิงงงงวย นึกว่าตัวเองฟังผิดไป
“ไสหัวไป!” ก่วงลิ่งกงตะคอกอีกครั้ง
“…” หวงฮ่าวและอวี้เฉิงเข้าใจแล้ว พูดไม่ออกเช่นกัน ฟังออกเเล้วว่าก่วงลิ่งกงซ่อนไฟโกรธเอาไว้ในอก จึงไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีก ไม่อย่างนั้นกลัวว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
ทั้งสองถอยออกไปอย่างว่านอนสอนง่าย ระแวดระวังรอบด้าน แล้วเหาะขึ้นฟ้าไป กลับไปหากำลังพลของตัวเอง
ขณะมองส่งทั้งสองจากไป โกวเยว่ก็ค่อยๆ หันไปมองก่วงลิ่งกง แล้วเตือนว่า “ท่านอ๋อง ปล่อยพวกเขากลับไปแบบนี้ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด!”
“ใจคนกระจัดกระจายแล้ว ฝืนรั้งไว้จะมีความหมายเหรอ? ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ข้าไร้ความสามารถ ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ได้!” ก่วงลิ่งกงหันมองรอบข้างอย่างช้าๆ สายตากวาดมองบนตัวกำลังพลทัพอารักขาของตัวเอง สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาลง “ขอความช่วยเหลือจากชิงและพุทธะ บอกว่าข้าถูกทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไว้แล้ว!”
บนสนามรบที่โจมตีสกัดอย่างดุเดือด ตามที่กำลังพลสองร้อยล้านของชิงและพุทธะทยอยถูกปล่อยออกมา แนวป้องกันทัพใหญ่ของเหยียนซู่ก็โดนตีแตกแล้ว
ความองอาจห้าวหาญของชิงและพุทธะทำให้กำลังพลของตัวเองมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะตะโกนเข่นฆ่าเสียงดังทะลุฟ้า แล้วบุกเข้ามาฝั่งนี้ราวกับคลื่นโหมซัดสาด
เหยียนซู่เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโจมตีแนวป้องกันแตกเร็วขนาดนี้ ยามเผชิญหน้ากับพลังรบอันห้าวหาญของทัพใหญ่ของชิงและพุทธะ ทั้งยังมีความได้เปรียบด้านกำลังพลอีก เขารู้สึกดีต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือพยายามถ่วงเวลาอีกฝ่ายไว้ให้มากที่สุด
ทว่าเมื่อชิงและพุทธะปล่อยกำลังพลสองร้อยล้านออกมา ก็พยักหน้าให้กันไกลๆ จากนั้นทั้งสองก็ควงอาวุธสังหารตรงไปยังทัพกลางที่เหยียนซู่นั่งบัญชาการ
วรยุทธ์ของทั้งสูงส่งลึกล้ำ พละกำลังอันห้าวหาญก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ดาบและกระบี่ในมือก็ยิ่งแหลมคมจนน่าตกใจ เมื่อเจอกับอาวุธของกำลังพลที่โจมตีสกัด ก็ฟันขาดราวกับใช้มีดหั่นเต้าหู้ทันที ทั้งสองคนสังหารเข้ามาในทัพที่วุ่นวายราวกับฝ่าน้ำตัดคลื่น สังหารจนพินาศย่อยยับ ไม่มีใครต้านไหว
เหยียนซู่สีหน้าเคร่งเครียด จ้องชิงและพุทธะที่สังหารเข้ามาตลอดทางโดยไร้คนต้าน ในใจรู้อยู่แล้วว่าพุ่งเป้าที่ตัวเอง
อวี้หลัวช่าและทหารกบฏของนางก็หัวใจกระตุกวูบเช่นกัน
เฮยทั่นเริ่มเครียดแล้ว เป็นเพราะดาบและกระบี่ในมือชิงและพุทธะแหลมคมเกินไป ฉากที่ฆ่ามังกรก่อนหน้านี้ เขาเองก็ไม่ได้ตาบอด เห็นหมดแล้ว
พอเฮยทั่นโบกมือ ก็ปล่อยตั๊กแตนทมิฬขนาดตัวมหึมาแปดสิบกว่าตัวที่เหมียวอี้ให้มาทั้งหมด เตรียมตัวรับศึกแล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็หวังว่าตั๊กแตนทมิฬจะช่วยต้านให้เขาได้สักหน่อย จะได้ทำให้เขาหนีไปได้สะดวก
เขาเป็นคนรู้กาลเทศะมาตลอด เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่สู้ไม่ชนะจริงๆ เขาก็จะต้องหนีแน่นอน ไม่สู้ตายจนถึงที่สุด
จากสิ่งนี้จะเห็นเลยว่าเหมียวอี้ยอมควักเนื้อขนาดไหนเพื่อการโจมตีสกัดนี้ แม้แต่ตั๊กแตนทมิฬก็ให้เฮยทั่นทั้งหมด
แน่นอน เฮยทั่นก็ไม่ลืมที่จะเตือนเทพสตรีทั้งสอง “พี่สาวทั้งสอง พวกท่านต้องต้านให้ไหวนะ! ถ้าพวกท่านต้านไม่ไหว เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ก็จะถูกล้างเผ่าพันธุ์!”
เทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองมองเหยียดเขาปราดหนึ่ง แล้วก็จ้องชิงและพุทธะที่โจมตีเข้ามาพร้อมกัน
ไม่เห็นอีกฝ่ายโจมตีเข้ามาใกล้แล้ว ผู้หญิงทั้งสองก็ถลันตัวออกมาพร้อมกัน พวกนางโบกแขนสองข้าง ปีกเปล่งแสงขนาดใหญ่ที่เหมือนเงามายาก็สะบัดออกมา
ชิงและพุทธะฟันดาบกับกระบี่ในมือออกมาพร้อมกันฟันไปบนปีกแสงเงามายา แต่กลับเงียบเชียบไร้เสียง ราวกับฟันไปบนปุยนุ่น และไม่มีทางฝ่าแรงต้านอันเหนียวยืดหยุ่นของปีกได้ กลับเป็นแสงสว่างที่พุ่งจากปีกราวกับเข็มเหล็กที่แทงให้ทั้งสองเจ็บจริง บีบให้ทั้งสองต้องถลันตัวหลบ
หลังจากชิงและพุทธะหลบได้แล้วก็ทำสีหน้าตกตะลึง ทั้งคู่พบว่าเกราะอิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองภาคภูมิใจทำอะไรแสงสว่างนั้นไม่ได้เลย
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ประมุขชิงตะคอกถาม
เทพสตรีคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนทว่าน่าเกรงขาม “ตอนขู่หมิงกับชิงเทียนอยู่ต่อหน้าข้าก็ยังไม่เคยกำเริบเสิบสานขนาดนี้ แต่พวกเจ้าบังอาจกดขี่ให้เผ่าหงส์และเผ่ามังกรเป็นทาส ทำเรื่องที่ฝ่าฝืนเจตจำนงของสวรรค์เช่นนี้ ทำให้ดินแดนอันสงบสุขกลายเป็นดินแดนมรณะ ไม่กลัวจะโดนสวรรค์ลงโทษบ้างเหรอ?”
เมื่อเห็นผู้หญิงทั้งสองสามารถต้านทานชิงและพุทธะได้อย่างสบายๆ เฮยทั่นก็ฮึกเหิมทันที ตะโกนเสียงดังว่า “อย่ามัวพูดพร่ำทำเพลง เล่นงานพวกเขาให้ตายไปเลย!”
จากคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงอาจารย์ของตัวเอง ชิงและพุทธะกลับตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ประมุขพุทธะถามอย่างตกใจว่า “อย่าบอกนะว่าพวกเราคือเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์? พวกเจ้าตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เทพสตรีอีกคนกล่าวว่า “เห็นแก่ไมตรีที่เคยมีกับขู่หมิงและชิงเทียน ไม่อยากทำให้พวกเจ้าลำบาก ในเมื่อรู้แล้วว่าเป็นพวกเรายังไม่รีบหันหลังกลับไปอีก!”
หันหลังกลับ? จะหันหลังกลับได้อย่างไร? ประมุขชิงกล่าวยังโมโห “ได้! ขอเพียงพวกเจ้าไม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ พวกเรารับประกันว่าจะไม่ทำให้เผ่าหงส์และเผ่ามังกรลำบาก พวกเจ้าหลีกไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”
เฮยทั่นโวยวายเหมือนเสียงผีทันที “พี่สาวทั้งสองอย่าไปฟังคนต่ำทรามพูดเหลวไหล เดี๋ยวต่อไปเขาจะต้องรวบรวมกำลังพลมากวาดล้างที่แดนดึกดำบรรพ์แน่นอน!”
ประมุขพุทธะควงดาบพระชี้ไปยังฮยทั่นที่ปลุกปั่น “เจ้าอ้วนดำ เก่งนักก็อย่าหลบหลังผู้หญิง ออกมา!”
เฮยทั่นตะคอกกลับไปทันที “แม้แต่กับผู้หญิงยังเอาชนะไม่ได้ ยังคิดจะมาสู้กับเทพมังกรผู้นี้อีกเหรอ? ถ้าข้าลงมือเมื่อไหร่ ก็ไม่ได้เกรงใจเหมือนพวกนางหรอกนะ!”
เทพมังกร? อย่าบอกนะว่าเจ้าอ้วนดำนี่คือหนึ่งในแปดเทพมังกรผู้พิทักษ์เผ่ามังกร? ชิงและพุทธะชะงักไปครู่หนึ่ง แทบจะโดนขู่ให้กลัวแล้ว
“แกร๊งๆๆ…”
มีเสียงโลหะกระทบกันดังมาจากข้างหลัง ชิงและพุทธะหันกลับไปมอง เห็นอู๋ฉวี่กำลังเรียกพวกเขากลับไป
บนสนามรบ แม้แต่พวกเขาก็ยังต้องฟังคำบัญชาการของอู๋ฉวี่ เมื่อเห็นว่ามีเทพสตรีเผ่าหงส์ขวางอยู่ ทำอะไรกลับศูนย์บัญชาการของอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งสองแล้วทำได้เพียงเลี้ยวสังหารกลับไป กลับไปโดยไม่สนอะไรราวกับกองทัพที่วุ่นวายไร้คน ห้าวหาญดุดันจริงๆ
อวี้หลัวช่าและพวกทหารกบฏโล่งอก อวี้หลัวช่าเองก็กลัวเช่นกัน
เฮยทั่นกลับโวยวายว่า “พี่สาวทั้งสอง พวกท่านรีบจัดการพวกเขาสิ ให้พวกเขาหนีไป!”
ผู้หญิงทั้งสองไม่สนใจเขาเลย ถลันตัวกลับมาแล้ว
เหยียนซู่ขมวดคิ้วถามทั้งสอง “ทำไมปล่อยไปล่ะ?”
สำหรับเขาแล้ว เทพสตรีกลับตอบอย่างจริงจัง “ด้วยพลังของพวกเราตอนนี้ ทำได้เพียงต้านพวกเขาไว้ ถ้าอยากจะปราบพวกเขานั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็คงไม่นิ่งดูดาย ปล่อยให้พวกเขาสังหารเผ่าหงส์และเผ่ามังกรหรอก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหยียนซู่กุมหมัดคารวะขอบคุณทั้งสอง เมื่อครู่ถ้าไม่มีสองคนนี้ เกรงว่าตัวเองคงจะมีอันตราย
“เกิดเรื่องอะไร?” ประมุขชิงที่กลับมาถึงทัพกลางของค่ายทัพตัวเองเอ่ยถามอู๋ฉวี่
อู๋ฉวี่รายงานว่า “ก่วงลิ่งกงขอความช่วยเหลือ บอกว่าถูกทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไปแล้ว กลัวว่าจะยืนหยัดได้ไม่นาน แนะนำให้แบ่งกำลังทหารไปช่วย!” เขาเห็นว่าทั้งสองถูกต้านไว้จึงเรียกกลับมา ถ้าสามารถทำลายศูนย์บัญชาการของอีกฝ่ายได้ในอึดใจเดียว เขาก็จะรอต่อไปได้เหมือนกัน
ชิงและพุทธะหันกลับไปมองบนสนามรบ รู้สึกเดือดดาลนิดหน่อย สุดท้ายก็ถูกถ่วงไว้จนได้ อีกฝ่ายมีกำลังพลหนึ่งพันล้านกว่า ต่อให้ฝั่งนี้ได้เปรียบและชนะได้ แต่ก็ใช่ว่าจะกำจัดอีกฝ่ายได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายต้องการนำชีวิตของคนกลุ่มนี้มาถ่วงพวกเขาเอาไว้
หลังจากปรึกษากัน ชิงและพุทธะก็ตัดสินใจนำกำลังพลหนึ่งพันล้านเร่งไปช่วยก่วงลิ่งกง แล้วที่เหลือให้อู๋ฉวี่บัญชาการอยู่ที่นี่ เมื่อปราบกำลังพลกลุ่มนี้ได้ อู๋ฉวี่เคยนำทัพตามไปช่วยอีกที
กำลังพลในมือเหยียนซู่มีจำกัด ทำได้เพียงมองอีกฝ่ายแบ่งกำลังพลหนึ่งพันล้านออกไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
แต่เมื่อเห็นชิงและพุทธะไปแล้ว เฮยทั่นก็แบกดาบใหญ่ลงสนามทันที นำฝูงตั๊กแตนทมิฬออกจากขบวนรบไปโจมตีศูนย์บัญชาการของอู๋ฉวี่ อยากจะสร้างผลงานใหญ่
ทว่าข้างกายอู๋ฉวี่กักตุนกำลังพลไว้จำนวนมาก พอยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ระลอกเดียว ตั๊กแตนทมิฬก็ทนรับไม่ไหวเช่นกัน ถูกยิงตายคาที่เป็นหลายตัว เฮยทั่นตกใจจนรีบหดหัวกลับมา ถือดาบใหญ่สังหารอยู่ในขบวนรบอย่างเต็มที่
เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์มีขนาดร่างกายใหญ่เกินไป ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ก็ไม่สามารถแสดงบทบาทอะไรในขบวนรบได้มากนัก เพราะจะทำให้คนฝ่ายตัวเองบาดเจ็บง่าย จึงทำได้เพียงดูการต่อสู้เอาสนุกอยู่ในทัพกลาง
ลั่วหม่าง หวงฮ่าวและกูอวี้เฉิงยอมสวามิภักดิ์แล้ว
กูอวี้เฉิงกับหวงฮ่าวออกจากการควบคุมของทัพอารักขาก่วงลิ่งกงด้วยกัน แล้วติดต่อไปหาลั่วหม่างทันที ทั้งสามนำกำลังพลไปยอมสวามิภักดิ์ต่อชิงเยว่ที่กำลังล้อมอยู่
กำลังพลที่หนาแน่นดำเป็นพืดเร่งไปสวามิภักดิ์ต่อกำลังพลของชิงเยว่
ก่วงลิ่งกงที่ได้รับรายงานไม่พูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่ยืนเงียบอยู่บนยอดเขา โกวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ลองมองหน้าเขา เผื่อจะมองอะไรออกบ้าง แต่กลับมองอะไรไม่ออกเลย
ผู้ตรวจการซ้ายทัพอารักขาไป่เจ๋อ ผู้ตรวจการขวาเซี่ยงหมั่นถัง ทั้งสองต่างก็ยืนสีหน้ากระวนกระวายอยู่ข้างหลังก่วงลิ่งกง
ทัพอารักขาสองพันล้านตามแทบภูเขารอบๆ พากันมองมาทางฝั่งนี้
ไม่ว่าใครก็มองออกว่าสิ้นอนาคตแล้ว โกวเยว่ตะโกนเรียกอยู่ข้างกายก่วงลิ่งกง “ท่านอ๋อง!”
ก่วงลิ่งกงกวาดมองสายตานับไม่ถ้วนตามแนวภูเขาที่กำลังมองตัวเองอยู่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา “ให้ทางรอดกับพวกพี่น้องเถอะ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
เขาเข้ามาในถ้ำภูเขา โยนชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่งออกมา หน้าประตูเป็นคลื่นกระเพื่อม เขาเดินเข้าไปแล้ว
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งในลานบ้านทยอยกันลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่เขา เม่ยเหนียงแล้วบรรดาอนุภรรยาเดินเข้ามาใกล้และต้องการจะคุยด้วย แต่ก่วงลิ่งกงยกมือห้าม เดินเข้าไปในห้องคนเดียว
รอจนกระทั่งโกวเยว่เข้ามาในห้องอีก ก็เห็นก่วงลิ่งกงถอดเกราะรบแล้ว กำลังนอนพักสายตาอยู่บนเก้าอี้นอน
หมายความว่าอะไร? โกวเยว่พูดไม่ออก ก้าวขึ้นมาข้างหน้ากำลังจะเอ่ยถาม แต่ได้ยินก่วงลิ่งกงบอกว่า “อย่าถามข้า ทุกอย่างให้เจ้าเป็นคนจัดการ เราจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”
หลังจากโกวเยว่ออกไปเงียบๆ ก่วงลิ่งกงก็ค่อยๆ หลับตาลง ผิวหนังกล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงครางสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น ใบหน้าชราเต็มไปด้วยน้ำตา…
…………………………