บทที่ 657 อย่าขมวดคิ้วตลอดเวลาสิ
บทที่ 657 อย่าขมวดคิ้วตลอดเวลาสิ
ในเวลานั้น คำพูดเบา ๆ ของกู้เสี่ยวหวานทำให้หลี่ฝานตกใจ
ใช่ ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนผู้นั้นถูกผลักดันเข้าสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวังหรือไม่
เด็กเหล่านี้ไม่มีผู้ใหญ่ดูแล ซ้ำร้ายยังมีญาติชั่วร้ายบางส่วนคอยจับตาดู พวกเขายังเด็กมาก พวกเขามิอาจขยับไม้ขยับมือหรือทำงานหนักได้
หากพวกเขาต้องการอยู่รอด พวกเขาทำได้เพียงทำในสิ่งที่คนธรรมดาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
กู้เสี่ยวหวานยังกล่าวด้วยว่า นางต้องขอขอบคุณหลี่ฝาน เป็นเพราะเถ้าแก่อย่างหลี่ฝานทำให้นางมีสถานที่ในการแสดงความสามารถ
คิดอย่างนี้ก็ไม่ผิด ถ้าเขาไม่รู้สึกสงสารกู้เสี่ยวหวานและเด็ก ๆ เหล่านี้ เขาคงไม่ให้กู้เสี่ยวหวานมาเป็นคนทำบัญชีที่ร้านอาหารของเขา
ท้ายที่สุด ในยุคนี้มันก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับการที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะมาเป็นคนทำบัญชี
หลี่ฝานคิดถึงเรื่องนี้ก็นั่งลงและถอนหายใจสองสามที นอกจากความสงสารอย่างสุดซึ้งที่มีต่อกู้เสี่ยวหวานแล้ว ยังมีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อผู้คนในหมู่บ้านอู๋ซีด้วย
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้า ถ้าข้าเชื่อฟังนายท่านของข้า แม่นางกู้คงไม่ต้องมาทรมานมากขนาดนี้!” อาโม่ไม่นึกว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะถูกไฟคลอกตายในระหว่างที่เขาไม่อยู่ เขาคิดว่าถ้าแม่นางกู้เกิดเป็นอะไรไปจริง ๆ เขาคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง แต่จากนี้ไป เจ้าต้องให้ความสำคัญกับสาวน้อยเสี่ยวหวานเป็นอันดับแรก เนื่องจากนายท่านสั่งให้เจ้าดูแลนางอย่างดี เจ้าก็ควรมอบความภักดีทั้งหมดให้นาง!” หลี่ฝานถอนหายใจ
ครั้นเห็นท่าทางที่เศร้าสร้อยและโทษตนเองของอาโม่ หลี่ฝานจึงมิอาจปลอบโยนเขาหรือต่อว่าเขาไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะอาโม่จากไปโดยไม่ได้รับอนุญาต กู้เสี่ยวหวานก็คงไม่เป็นมีสภาพอย่างตอนนี้
“ยังมีโอกาสที่ว่าอยู่อีกหรือ?” อาโมร้องไห้อย่างขมขื่น ก่อนเงื้อมือขึ้นตบแก้มตัวเองอย่างแรง การตบสองครั้งนั้นหนักมาก ทำให้แก้มทั้งสองของเขาก็พลันแดงก่ำ
“เจ้าอยู่กับนายท่านมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นนายท่านจึงรู้แจ้งถึงความจริงใจและความภักดีของเจ้า เหตุใดเจ้าไม่ชดเชยล่ะ?” หลี่ฝานนึกถึงบางสิ่งและเอ่ยแนะนำ
“จะชดเชยอย่างไร?” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ อาโม่ก็เช็ดน้ำตาและถามขึ้นทันที
“เจ้าก็เข้าไปในบ้านกู้ โดยเปลี่ยนจากปกป้องแม่นางกู้ในความมืด เป็นปกป้องอย่างเปิดเผย!” หลี่ฝานกล่าว
“จะเข้าไปอยู่บ้านกู้ได้อย่างไร?” เมื่อได้ยินคำแนะนำนี้ ดวงตาของอาโม่ก็เป็นประกาย ใช่แล้ว! เขาสามารถแฝงตัวเข้าไปในตระกูลกู้และรับใช้กู้เสี่ยวหวานด้วยใจจริงได้
“ครอบครัวของแม่นางกู้ยินดีที่จะจ้างคนงานระยะยาวในอนาคต ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ เจ้าก็สามารถเข้าร่วมกับครอบครัวกู้ในฐานะคนงานระยะยาวได้ แต่นี่เป็นเรื่องที่ผิดต่อเจ้าจริง ๆ!” หลี่ฝานถอนหายใจ แต่ตอนนี้ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะบรรเทาความโกรธของนายท่านได้!
“เยี่ยมมาก!” อาโม่ไม่รู้สึกเสียใจเลย ตราบใดที่เขาสามารถเข้าไปในบ้านกู้ได้ นับจากนี้เขาก็จะสามารถปกป้องกู้เสี่ยวหวานได้ ซึ่งเขาไม่สนใจว่าตนจะกลายเป็นคนงานระยะยาวหรือไม่
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เขาต้องแสดงท่าทีและขอให้นายท่านให้อภัยเขา!
“ตราบใดที่นายท่านไม่โกรธข้า จากนี้ไป ข้าจะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อปกป้องแม่นางกู้!” อาโม่พูดอย่างหนักแน่น
และในที่สุด กู้เสี่ยวหวานก็ตื่นขึ้นในวันที่สามหลังจากมาถึงร้านจิ่นฝู
เมื่อตื่นขึ้นมา นางรู้สึกว่าร่างกายของนางอ่อนแรงและหนักอึ้งราวกับถูกรถทับ กล้ามเนื้อและกระดูกของนางก็เจ็บปวด
ครั้นลืมตาขึ้น นางเห็นด้านบนของเพดานทันที กู้เสี่ยวหวานมองดูอยู่สองหน แต่นางก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เมื่อนางต้องการหันศีรษะไปมองรอบ ๆ ด้วยการเคลื่อนไหวของนาง แม้จะแผ่วเบา แต่นางก็ยังปลุกฉินเย่จือขึ้น
จากนั้น กู้เสี่ยวหวานก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและคุ้นเคย หากแต่ซีดเซียวมากขยายเข้ามาในสายตาของนาง ซึ่งใบหน้านั้นมีทั้งความตื่นเต้นและความกังวลอยู่
ฉินเย่จือมองไปยังกู้เสี่ยวหวานที่กำลังลืมตาขึ้น เขาตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ก่อนเห็นดวงตากลมโตชุ่มฉ่ำกะพริบมองมาที่เขาแต่ไม่พูดจา
ฉินเย่จือตกใจมาก เขารีบคว้ามือของกู้เสี่ยวหวาน และเรียกด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หวานเอ๋อร์…”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก สีหน้าของเขาเคร่งเครียด เขากลั้นหายใจและจ้องมองนาง หัวใจของเขาเต้นแรงราวกับว่าเขาหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่สนใจอีกว่านางอยู่ที่ไหน!
นางตระหนักแล้วว่า ตราบใดที่ฉินเย่จืออยู่ด้วย นางจะปลอดภัย!
ภาพมากมายแวบเข้ามาในหัว ความทรงจำที่กระจัดกระจายและแตกสลายย้อนกลับเข้ามาในความคิดของนาง
นางถูกขังอยู่ในห้องโถงบรรพชน… เป็นไข้… และกำลังจะถูกเผาทั้งเป็น
ดูเหมือนว่าครั้งสุดท้ายที่นางตื่นขึ้น นางพบว่าตนเองถูกมัดไว้กับเสา และมีไฟลุกโชนอยู่ใต้เท้า อุณหภูมินั้นสูงจนมันสามารถแผดเผาคนให้ถึงตายได้
ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน แต่มันทำให้หัวใจของฉินเย่จือบีบรัดขึ้น เขากระชับมือของกู้เสี่ยวหวานแน่นขึ้น จากนั้นก็พึมพำด้วยความทุกข์ใจ “หวานเอ๋อร์…”
เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่คนตรงหน้าจะตื่นขึ้นมาและตอบสนองต่อเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ “อืม” ธรรมดา ๆ มันก็จะทำให้เขารู้ว่าคนตรงหน้าปลอดภัยและสบายดี
คำพูดของหมอพานทำให้เขาขวัญผวา
ถ้านาง… เป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ…
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของฉินเย่จือก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจที่ไม่สามารถบรรยายได้ เขาเพียงรู้สึกว่าความปวดใจนั้นแผ่ซ่านไปทั้งตัว ทำให้คนรู้สึกว่าหัวใจกำลังจะแตกสลาย
ตลอดเวลากู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดจา เพียงมองไปที่ฉินเย่จือนิ่ง การจ้องมองนั้นทำให้ฉินเย่จือแทบพังทลายกว่าเดิม
เมื่อเขากำลังจะคลั่ง เขาก็เห็นกู้เสี่ยวหวานยื่นมือที่ไม่ได้ถูกเขากุมขึ้นและยืดออกมาตรงหน้าฉินเย่จือ ก่อนลูบไล้หน้าผากและคิ้วของเขาที่ขมวดกันเป็นร่องลึกเบา ๆ
เสียงนั้นอ่อนแอและแผ่วเบานัก แต่กลับเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดที่ฉินเย่จือเคยได้ยินมาในชีวิตนี้
“อย่าขมวดคิ้วตลอดเวลาสิ มันดูไม่ดีนะ!”
ตอนแรกฉินเย่จือยังคงกังวลเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไป เขามีความสุขและตื่นเต้นอย่างสุดจะพรรณนา เขายื่นมือออกไปในทันใด แต่เขารู้ว่าตอนนี้ร่างกายของกู้เสี่ยวหวานยังคงอ่อนแอมาก ดังนั้นเมื่อเขากำลังจะแตะตัวกู้เสี่ยวหวาน เขาจึงผ่อนแรงลง เขากอดกู้เสี่ยวหวานไว้เบา ๆ เหมือนกุมหยกอันบอบบาง
การเคลื่อนไหวนั้นนุ่มนวลราวกับถนอมสมบัติที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก
ไข้ของกู้เสี่ยวหวานลดลงแล้ว แต่นางมีเหงื่อออกทั่วร่าง และร่างกายของนางก็อ่อนแอ บางทีอาจเป็นเพราะนางนอนนิ่งเป็นเวลานาน หลังของนางจึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย