บทที่ 660 นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ
บทที่ 660 นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ
ถ้านายท่านไม่ได้อยู่ในห้อง หลี่ฝานอาจยอมผ่อนปรนให้สวีเฉิงเจ๋อเข้าไป
ทว่าตอนนี้นายท่านเป็นเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องจุดอ่อนของเขา และจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องกู้เสี่ยวหวานเด็ดขาด นับประสาอะไรกับสวีเฉิงเจ๋อ แม้แต่กู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงยังต้องยอมไปพักผ่อนตามคำเกลี้ยกล่อมของเขา จุดประสงค์คือเพื่อให้กู้เสี่ยวหวานอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ และอย่าให้ใครรบกวนการพักฟื้นของนาง
หากเขาพาสวีเฉิงเจ๋อเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เพียงแต่นายท่านจะไม่ยอมให้สวีเฉิงเจ๋อย่างกรายเข้าไปข้างในแล้ว นายท่านคงไม่ยอมให้เขาเข้าไปอีกเช่นกัน
เขายังตั้งใจจะขอร้องอาโม่!
อาโม่คุกเข่าอยู่ทั้งคืนในห้องของเขา เด็กคนนี้ก็ดื้อด้านยิ่งนัก โดยบอกว่าหากนายท่านไม่สั่งให้เขาลุกขึ้น เขาก็จะคุกเข่าอยู่ที่นี่ตลอดไป
หากเขายังคุกเข่าเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าขาของเขาจะได้รับบาดเจ็บ
ครั้นเห็นหลี่ฝานแสดงออกอย่างแน่วแน่ สวีเฉิงเจ๋อก็ไม่กล้าที่จะดื้อรั้น
เมื่อเห็นว่าสวีเฉิงเจ๋อไม่ยืนกรานอีกต่อไป หากแต่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล หลี่ฝานเองก็ต้องการจะรักษาหน้าของเขา ท้ายที่สุดก็ยอมผ่อนปรน และบอกให้เขามาพบเสี่ยวหวานในตอนเช้าตรู่
“คุณชายสวีไม่ต้องกังวล ไข้ของเสี่ยวหวานลดลงมากแล้ว คาดว่าหลังจากพักผ่อนอีกหนึ่งวันร่างกายของนางจะดีขึ้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เมื่อเสี่ยวหวานตื่นและร่างกายดีขึ้น ข้าจะส่งคนไปแจ้งข่าวกับคุณชายอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลา ข้าจะเชิญคุณชายสวีมาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน!” หลี่ฝานกล่าวด้วยความเคารพ
สวีเฉิงเจ๋อเป็นบัณฑิตมากด้วยความรู้ หากเขามีความทะเยอทะยานในอาชีพมากกว่านี้ เกรงว่าเวลานี้เขาคงจะมีตำแหน่งใหญ่โต
เขาไม่เข้าสอบจวี่เหริน และกลับไปที่เมืองหลิวเจีย ชายหนุ่มเต็มใจจะอยู่กับพ่อแม่ของตนเอง และตั้งใจที่จะประกอบอาชีพอาจารย์ที่หอหนังสือวี้
หลี่ฝานเคารพครอบครัวของสวีเซียนหลินอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางทำให้สวีเฉิงเจ๋อขุ่นเคือง
เมื่อเห็นว่าหลี่ฝานกล่าวเช่นนั้น สวีเฉิงเจ๋อจะพูดอะไรได้อีก? เขาทำได้เพียงหันหลังกลับและออกจากร้านจิ่นฝูไป แต่ไม่วายหันกลับมาย้ำกับหลี่ฝานว่า ให้ส่งข่าวบอกตนเมื่อกู้เสี่ยวหวานฟื้น
หลี่ฝานตอบลตกลง จากนั้นก็ส่งสวีเฉิงเจ๋อออกไป
หลังจากกลับเข้ามาในร้านอาหาร พลันเห็นนายท่านเปิดประตูและเดินออกมาอย่างมีความสุข นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย มันน่าแปลกใจจนเกือบทำให้เขาตกบันได
หลังจากจับราวบันไดได้ เขาก็วิ่งเหยาะ ๆ ขึ้นไปจนถึงชั้นสาม และเอ่ยด้วยความเคารพ “นายท่านมีคำสั่งอะไรหรือไม่?”
“ไปเตรียมน้ำสำหรับอาบ ข้าต้องการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า!” ฉินเย่จือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เวลานี้เขาไม่สนใจว่าตนเองจะถูกตำหนิ
ปรากฏว่ากู้เสี่ยวหวานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยกลิ่นลอยโชยออกมา!
ยิ่งร่างกายดีขึ้น จมูกก็จะยิ่งไวขึ้นเป็นธรรมชาติ เมื่อกู้เสี่ยวหวานตื่นขึ้นมาก็พลันได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวลอยมาเตะปลายจมูก
เหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเวลานาน
เมื่อนางลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองถูกโอบรัดไว้ในอ้อมแขนของคนผู้หนึ่งอย่างแน่นหนา มือของนางเองราวกับปลาหมึกคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้
กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่เด็กหญิงที่เพิ่งเริ่มตกหลุมรัก และรู้ว่าตนเองเป็นคนชวนฉินเย่จือขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันเพื่อพักผ่อน และตนเองนอนหลับไม่ค่อยสบายนัก
นางมักจะได้ยินเสี่ยวอี้พูดว่า ยามค่ำคืนตนเองชอบเข้าไปกอดกู้เสี่ยวอี้
นั่นเป็นนิสัยที่นางเคยชินมาโดยตลอด ถ้านางนอนโดยไม่มีอะไรอยู่ในอ้อมแขน นางก็จะรู้สึกไม่สบายใจ
คราวนี้ เมื่อลืมตาขึ้นและเห็นตนเองกำลังกอดคนที่อยู่ข้างหน้าอย่างแน่นหนา กู้เสี่ยวหวานไม่รู้สึกว่านางถูกคนอื่นเอาเปรียบ ถ้าพูดถึงเรื่องการเอาเปรียบจริง ๆ ก็คงเป็นนางที่คอยใช้ประโยชน์จากเขาทุกอย่าง
นางเป็นคนชวนให้ฉินเย่จือขึ้นมาบนเตียง
กอดฉินเย่จือไว้ด้วยความเคยชิน ส่วนมากนางเป็นผู้กระทำ!
เขาหน้าตาดีกว่านางมากมาย หากจะพูดว่าเอาเปรียบก็คงจะเป็นนางที่เอาเปรียบเขา!
จากสิ่งที่นางเคยดูในโทรทัศน์เมื่อชาติก่อน เมื่อนางเอกและพระเอกนอนร่วมเตียงเดียวกัน จากนั้นจะต้องมีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจไม่ใช่หรือ? กู้เสี่ยวหวานไม่คิดว่านางต้องกรีดร้องในขณะนี้!
เด็กหนุ่มอายุสิบหกไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้อง แต่จิตวิญญาณของนางเป็นหญิงสาววัยใกล้จะสามสิบแล้ว ตอนนี้นางกำลังทำอะไรอยู่?!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็มุ่ยปาก นางได้ประโยชน์จากทุกสิ่ง
เมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของคนในอ้อมกกอด ฉินเย่จือลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมากเสน่ห์ “ตื่นแล้วหรือ?”
เสียงนั้นราวกับแทรกซึมเข้าสู่ใจของผู้ฟัง มันแทรกซึมเข้าสู่ส่วนลึกที่สุดของจิตใจ หยั่งรากลึกในหัวใจของนาง!
กู้เสี่ยวหวานนิ่งงันพูดไม่ออก แหงนหน้ามองฉินเย่จืออย่างงุนงง
และฉินเย่จือก็ก้มหน้าลงมา ทั้งสองสบประสานสายตากัน
ร่างกายมีท่าทางคลุมเครือ แม้แต่ก็ดวงตาฉายแววสับสน
ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นอายบางอย่างไหลวนอยู่ในนั้น ลมหายใจอุ่นพ่นรดใบหน้าของกันและกัน
กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถเสแสร้งอีกต่อไป นางมีร่างกายอายุสิบปีและมีจิตวิญญาณของหญิงสาวที่อายุเกือบสามสิบปี หากนางไม่รู้จักวิธีจัดการเรื่องนี้ นางคงจะใช้ชีวิตอย่างไร้ค่ามาเกือบสามสิบปี
อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์ เพราะนางไม่รู้ว่าจะมองไปทางอื่นอย่างไร
ใบหน้าที่หล่อเหลาของฉินเย่จือฉายชัดในแววตา จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากบาง คิ้วคมเข้ม และดวงตาเรียวยาว มันทำให้นางรู้สึกว่าเขาดูดีเกินไป
กู้เสี่ยวหวานกำลังหลงใหลราวกับต้องมนต์สะกด
ดวงตางดงามของฉินเย่จือราวกับดอกไม้ในวสันตฤดู และพระจันทร์ในสารทฤดู มันทำให้กู้เสี่ยวหวานลุ่มหลง
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของคนตรงหน้า ฉินเย่จือก็คลี่ยิ้ม ยื่นมือออกมาเกาเบา ๆ ที่ปลายจมูกอันบอบบางของกู้เสี่ยวหวาน การเคลื่อนไหวแสนอ่อนโยน แต่กลับทำให้หัวใจสั่นไหวยิ่งกว่าเดิม
สติของกู้เสี่ยวหวานถูกดึงกลับมา
ครั้นเห็นรอยยิ้มมุ่งร้ายของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานพลันหน้าแดงด้วยความเขินอาย ย่นคอหนีและก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย เหลือเพียงกลุ่มผมนุ่มให้ฉินเย่จือเมียงมอง
แต่หลังจากนั้น ฉินเย่จือก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
“พี่ใหญ่ฉิน เจ้าไม่ได้อาบน้ำมานานแค่ไหนแล้ว?”
กู้เสี่ยวหวานยกมือขึ้นปิดจมูดและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นสุนัขจิ้งจอกสาวแสนสวย ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยความเขินอาย