ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 677 หน้าแดง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 677 หน้าแดง

บทที่ 677 หน้าแดง

สวีเฉิงเจ๋อไม่คาดคิดว่า แม้ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน แต่ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์

เพราะเมื่อมีคนใช้ชีวิตของเขาเพื่อปฏิบัติต่อเจ้า ในสายตาเจ้าจะมองไม่เห็นคนอื่นอีกต่อไป

ในหัวใจของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือเป็นเหมือนเมล็ดพืชที่หยั่งราก แตกหน่อ และปักหลักอยู่ในหัวใจของนาง เติบโตขึ้นทุกวัน แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน สุดท้ายก็ราวกับปมรากที่พันกัน จะแยกอย่างไรก็แยกไม่ออก

อาหารสำหรับครอบครัวกู้ในคืนนี้ถูกจัดการโดยฉินเย่จือ!

เมื่อเห็นฉินเย่จือในห้องครัว อาโม่เกือบจะเป็นลมเพราะตกใจ

“นายท่าน… ท่าน… ท่านทำ…”

อาโม่ถือฟืนอยู่ในอ้อมแขนและเดินเข้าไปในครัว ทันทีที่เขาเข้าไปในครัวก็เห็นฉินเย่จือม้วนแขนเสื้อขึ้น และถือมีดในมือพร้อมที่จะหั่นผัก

เมื่ออาโม่เห็นก็ตกตะลึงจนฟืนในอ้อมแขนหล่นลงบนพื้น รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้ามีดทำครัวในมือของฉินเย่จือทันที

แต่ฉินเย่จือหันกลับมาอย่างช้า ๆ หลีกเลี่ยงอาโม่ และพูดเบา ๆ ว่า “ไปก่อไฟ!”

เขาไม่เคยเห็นเจ้านายของเขาทำอาหารมาก่อน!

อาโม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาเป็นคนของกู้เสี่ยวหวาน ทำได้เพียงฟังคำสั่งของกู้เสี่ยวหวานเท่านั้น เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือมีท่าทีแน่วแน่ เขาทำได้เพียงพูดว่า “ตกลง!”

เมื่อไปเติมฟืนที่เตา อาโม่ก็แอบมองไปข้างหน้าเป็นครั้งคราว และเห็นว่าฉินเย่จือกำลังล้างผักอยู่ครู่หนึ่ง และชั่วขณะหนึ่งทุกอย่างก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และกำลังทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบราวกับว่าทำเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ

ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด ฉินเย่จือไม่ได้พูดอะไรเลย หากแต่มือของเขายังคงเคลื่อนไหว และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ปลานึ่งและผัดผักก็ถูกปรุงจนเสร็จ เนื่องจากร่างกายของกู้เสี่ยวหวานยังไม่หายดีนัก เขาจึงเรียนรู้จากกู้เสี่ยวหวาน เตรียมเนื้อสดและหั่นเป็นชิ้น ตีไข่สองฟองและใส่ลงในกระทะ

เมื่อข้าวสุกแล้ว น้ำแกงเนื้อก็เสร็จพอดี

ครั้งที่เขาเคยบาดเจ็บ หมอบอกว่าเขากินเผ็ดไม่ได้ กินได้แต่อาหารจืด ๆ กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าเขาจะไม่ชินจึงเปลี่ยนเป็นเนื้อ ไข่ และปลา สลับกันไปทุก ๆ วัน แม้ว่ามันจะเป็นแกงจืด แต่ก็ยังพอมีรสชาติอยู่บ้าง

แต่เมื่อปลี่ยนอาหารทุกวันก็ทำให้รู้สึกสดชื่อในทุกวัน ในเวลานั้นฉินเย่จือกินอาหารอย่างมีความสุข

คราวนี้พวกเขาอาศัยอยู่ในสวนหลี่ และไม่มีพ่อครัวจากร้านจิ่นฝูมาทำอาหารให้กู้เสี่ยวหวาน

ไม่มีใครในครอบครัวที่จะดูแลนางได้ ในฐานะที่เป็นผู้ชายที่อายุมากสุดในครอบครัว การเพิ่มน้ำหนักให้กู้เสี่ยวหวานจึงเป็นหน้าที่ของเขาทั้งหมด

อาโม่ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

ปฏิบัติตามคำสั่งของฉินเย่จือและทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ

“เติมฟืนเข้าไปอีกหน่อย ไฟควรจะแรงกว่านี้…”

อาโม่หยิบฟืนสองอันแล้วโยนลงในเตา

“อย่าเติมฟืนเข้าไปเยอะนักสิ ไฟมันแรงเกินไป..”

อาโม่ดึงมือของเขาที่ถือฟืนกลับอย่างเชื่อฟัง และจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของฉินเย่จือด้วยดวงตาเบิกกว้าง ปากของเขาใหญ่มากจนสามารถใส่ไข่เข้าไปได้

“นายท่าน ท่านเรียนรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร…”

อาโม่รู้สึกประหลาดใจ

แต่เมื่อเห็นฉินเย่จือเงยหน้าขึ้นและจ้องมองมาที่เขา อาโม่ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเขาพูดจาดูมีพิรุธ และเปลี่ยนคำพูดของเขาทันที “นายน้อยฉิน …”

โชคดีที่เมื่อพวกเขาอยู่ข้างนอก เขาก็เรียกฉินเย่จือเช่นนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องยาก

เมื่อได้ยินการเปลี่ยนแปลงคำพูดของอาโม่ ฉินเย่จือก็กลับมายุ่งกับการเคลื่อนไหวในมือของเขาอีกครั้ง

“หวานเอ๋อร์มีจิตใจที่ละเอียดอ่อน หากนางได้ยินเกรงว่านางจะคิดเรื่องไร้สาระ” หลังจากที่ฉินเย่จือกล่าวเช่นนี้ ก็กล่าวว่า “เจ้าถือจานนี้ออกไป แล้วเรียกให้พวกเขามากินได้”

“ขอรับ นายน้อยฉิน!” อาโม่ตอบรับทันที

คราวนี้เรียกนายน้อยฉินได้อย่างราบรื่นมาก

ฉินเย่จือพยักหน้าอย่างพึงพอใจ อาโม่จัดอาหารและก่อนที่เขาจะจัดจาน เขาก็ได้ยินฉินเย่จือพูดว่า “เอาล่ะ ไปเรียกพวกเขาที่นี่!”

“แต่ชามกับตะเกียบพวกนี้…” อาโม่ยังมีชามและตะเกียบสะอาดอยู่ในมือ ยังไม่ได้วางลง!

ฉินเย่จือกล่าวว่า “วางลงแล้วเรียกพวกเขามา!”

อาโม่ได้รับคำสั่ง วางภาชนะบนโต๊ะอาหาร และรีบวิ่งไปที่ห้องโถง

ในขณะนี้กู้หนิงอัน กู้หนิงผิง และกู้เสี่ยวอี้กำลังคุยกันอย่างเงียบ ๆ หัวเราะเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาไม่กล้าทำเสียงดังเลยเพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานที่พักผ่อนอยู่ในเก้าอี้เอนกายจะตื่น

อาโม่ก้าวไปข้างหน้าและไม่ปลุกกู้เสี่ยวหวาน แต่มาที่กู้หนิงอันและคนอื่น ๆ และกล่าวอย่างสุภาพว่า “นายน้อย คุณหนู นายน้อยฉินบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกินกันเถอะ!”

“โอ้…”

เมื่อพวกเขาได้ยินว่าฉินเย่จือทำอาหาร ทุกคนก็ส่งเสียงโห่ร้อง

กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้จับมือกันแล้ววิ่งเข้าไปในครัว กู้หนิงอันไม่ลืมที่จะหัวเราะตามหลังและบอกให้พวกเขาวิ่งช้าลง

จากนั้นเขาก็ไปที่เก้าอี้หวายและมองไปที่กู้เสี่ยวหวานที่กำลังหลับสนิท เมื่อกำลังคิดว่าจะปลุกนางดีหรือไม่ เขาก็ได้ยินเสียง “ชู่” ดังอยู่ข้าง ๆ

กู้หนิงอันเอียงศีรษะและเห็นฉินเย่จือยืนอยู่ข้างเขาโดยใช้นิ้วชี้ขวาแตะบนริมฝีปากเพื่อเป็นการเตือนกู้หนิงอันว่าอย่าปลุกนาง

“เจ้าไปกินข้าวก่อนเถอะ ปล่อยให้นางนอนพักสักครู่ ข้าแบ่งอาหารไว้ให้นางแล้ว” ฉินเย่จือนั่งลงข้างเขาและกระซิบแผ่วเบา

“แล้วท่านล่ะ?” กู้หนิงอันเอ่ยถามอย่างกังวลเมื่อเห็นว่าเขาจะไม่กิน

“ข้าไม่หิว พวกเจ้าไปกินข้าวกันก่อนเถอะ! เมื่อพี่สาวเจ้าตื่น ข้าจะพานางไปกินข้าว หากไม่มีใครกินข้าวกับนาง นางจะกินไม่อร่อย!” ฉินเย่จือมองไปที่กู้เสี่ยวหวานที่กำลังหลับ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี

กู้หนิงอันที่อยู่ข้าง ๆ เห็นแววตานั้นแล้วรู้สึกว่าหน้าเขาแดงขึ้น แววตาของฉินเย่จือเมื่อมองดูพี่สาวตอนนี้ช่างน่าประทับใจจริง ๆ…

หวั่นไหว…

มีความอ่อนโยนและเอ็นดูในดวงตาคู่นั้น ฉินเย่จือดูเหมือนจะไม่มองพี่สาว ราวกับว่าเขากำลังมองนางแบบว่า… เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นสายตาเช่นนี้มาก่อน!

แต่จำไม่ได้สักที

ท่าทางนั้นทำให้กู้หนิงอันรู้สึกเขินเล็กน้อย

กู้หนิงอันรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางที่อ่อนโยนราวกับน้ำของเขา

หลังจากตอบรับ เขาก็รีบวิ่งไปทันที เมื่อเขาไปไกลและมองย้อนกลับไป ฉินเย่จือยังคงทำแบบเดิม และมันก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย!

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท